10 พ.ค. 2562 | 18:36 น.
การปรากฏตัวของ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” ในโลกฟุตบอล เป็นเสมือนการพลิกโฉมครั้งสำคัญของวงการก็ว่าได้ ในบรรดากุนซือวัยเลข 4 ตอนปลายที่ผลงานโดดเด่นที่สุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ไม่มีใครเหนือกว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (Pep Guardiola) กุนซือชาวสเปนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงต่อเนื่องติดต่อกันทั้ง 3 ทีมที่ทำงานด้วยกับบาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิก และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ก่อนที่จะมาเป็นกุนซือ หรือก่อนหน้านั้นที่เขาเป็นกัปตันบาร์ซ่า หลังยุคดรีมทีมของโยฮัน ครัฟฟ์ เป๊ป เป็นคนกีฬาอีกรายที่เริ่มจากบทบาทเล็กที่สุดแต่ก็สำคัญต่อทีมอย่าง “บอลบอย” หรือเด็กเก็บบอลนั่นเอง สำหรับแฟนบอลสเปน ความทรงจำหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสรคือภาพที่สนามคัมพ์นู เมื่อ ค.ศ. 1986 เกมรอบรองชนะเลิศ ศึกยูโรเปี้ยน คัพ นัดที่ 2 ซึ่งบาร์ซ่า โกงความตายด้วยการยิง 3 ประตูจากแฮตทริกของหัวหอกตัวสำรองและกลับมาชนะจุดโทษโกเธนเบิร์ก จากสวีเดนหลังจากนัดแรกทีมจากสเปนโดนยิงมาก่อน 0-3 ทันทีที่วิคเตอร์ มูโนซ สังหารจุดโทษชี้ชะตาส่งบาร์ซ่า เข้าชิงแชมป์บอลยุโรปอีกสมัย บอลบอยจากคาตาโลเนีย วัย 15 ปีซึ่งยังทำหน้าที่เก็บบอลในสนามคัมพ์นูวิ่งเข้าไปขอเสื้อมูโนซ แต่เป๊ปไม่เคยได้เสื้อที่เขาเอ่ยปากขอนักเตะบาร์ซ่าอย่างมูโนซ หรือแม้แต่แกรี่ ลินิเกอร์ หัวหอกชาวอังกฤษที่โด่งดังในช่วงหลังจากนั้นและได้ย้ายไปร่วมทัพบาร์ซ่า เป๊ป ก็ไม่เคยได้เสื้อของแข้งดังตามฝัน เมื่อครั้งที่ลินิเกอร์ มาสัมภาษณ์เป๊ป สมัยที่เป็นกุนซือแล้ว เป๊ป ยังเอ่ยปากย้อนความหลังแบบติดตลกว่าเขาจำเรื่องนี้ไม่เคยลืม หนุ่มคาตาโลเนียไต่เต้าจากระบบเยาวชนในเลอ มาเซีย จากบอลบอยและนักเตะเยาวชน มาสู่บทบาทมิดฟิลด์คนสำคัญของทีมชุดใหญ่ภายใต้ร่มเงาของโยฮัน ครัฟฟ์ กุนซือดัตช์ และกลายเป็นกัปตันทีมบาร์ซ่า ในวัยแค่ 20 ต้น ๆ ช่วงเวลาที่เป๊ป เป็นนักเตะอยู่ก็มีโอกาสเรียนรู้งานและซึมซับปรัชญาแนวคิดเกี่ยวกับฟุตบอลจากโยฮัน ครัฟฟ์ กุนซือดัตช์ที่เคยค้าแข้งในทีมและกลับมาคุมทีมในช่วงปลายยุค 80s ถึงกลาง 90s ซึ่งเรียกกันในช่วงนั้นว่ายุคดรีมทีม เป๊ป แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ ระเบียบวินัย ความเฉลียวฉลาดในการเล่นและการใช้ชีวิต องค์ประกอบเหล่านี้คือดีเอ็นเอที่ทำให้เป๊ปได้รับการสนับสนุนจากครัฟฟ์ และผู้บริหารในสโมสรให้ขึ้นมาทำทีมชุดใหญ่ “เป๊ปไม่ได้มีแค่บุคลิกของผู้นำที่จะพาไปสู่ชัยชนะ แต่เป็นวิธีการอันจะพาไปสู่ชัยชนะด้วย” ครัฟฟ์ กล่าวถึงเป๊ปไว้อย่างน่าสนใจ ถึงจะได้รับความสนับสนุนจากคนที่เห็นแวว เป๊ป ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองเสมอ ในช่วงแรกที่ทำทีมชุดใหญ่ เป๊ป ได้รับค่าเหนื่อยไม่มากนักกับบาร์ซ่า แต่มาเริ่มรับรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อประสบความสำเร็จ ได้แชมป์มาประดับประวัติส่วนตัวมากขึ้น เป๊ป ตกลงรับสัญญาลักษณะนี้ไม่ใช่เพื่อคว้าโอกาสเท่านั้น แต่มันทำให้เห็นว่าเขามีความเข้าใจแก่นและวิธีคิดเชิงการบริหาร ซึ่งเป็นอิทธิพลจากครัฟฟ์ จากอาแจ็กซ์ ในลีกดัตช์ ครัฟฟ์ รับเงินค่าจ้างน้อย แต่มีโบนัสสูงลักษณะเดียวกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีคิดให้สโมสรรักษาสถานะการเงินเอาไว้ ไม่จ่ายเกินจำเป็นเมื่อยังไม่มีรายได้เข้ามา ถือว่าเป็นอีกฟันเฟืองที่ประยุกต์ใช้กับทีมในสเปน ต่อยอดให้บาร์ซ่า มีฐานะการเงินที่มั่นคงขึ้นในเวลาต่อมา นี่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เป๊ปเรียนรู้จากอาจารย์ลูกหนังสมัยที่ยังค้าแข้งกับบาร์ซ่า เป๊ป นำประสบการณ์จากที่เขาสัมผัสในเลอ มาเซีย (อคาเดมี่อันลือลั่นของบาร์เซโลน่า) อย่างเรื่ององค์ความรู้แง่การบริหารจัดการเกี่ยวกับฟุตบอล ระเบียบวินัย ยกระดับเพดานมาตรฐานและเป้าหมายของทีมแต่ก็มาพร้อมจิตวิทยาที่เหมาะสม ซึ่งทำให้เป๊ป ชนะใจนักเตะที่ยังไม่ถูกโละจากทีมในช่วงแรก เป๊ป ให้สัมภาษณ์เสมอว่าครัฟฟ์ คือคนที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการในเส้นทางอาชีพของเขามากที่สุด สิ่งที่สะท้อนอิทธิพลทางความคิดได้ชัดเจนน่าจะเป็นเรื่องความใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยแบบนักคิดนักปรัชญา แต่ดีกรีความใส่ใจของเป๊ป กลายเป็นสิ่งที่ทำให้บางคนเรียกเขาว่า “Perfectionist” เป็นคนที่ยึดมั่นในความสมบูรณ์แบบ กุนซือชาวสเปน มีมาตรฐานของตัวเองเสมอมา แฟนบอลเห็นกันดีจากลักษณะการทำงานของเป๊ป ทั้งในสเปน เยอรมนี มาจนถึงในอังกฤษ เป๊ป กล้าที่จะยึดมั่นปรัชญาการเล่นฟุตบอลแบบที่เขาเชื่อและศรัทธาเสมอมา กุนซือสเปนขึ้นมาทำทีมชุดใหญ่ครั้งแรกก็ปล่อยนักเตะที่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมออกแบบไม่ใยดี แม้ว่าจะเป็นดาวเตะ (แต่เริ่มฟอร์มตก) อย่างเดโก้ และโรนัลดินโญ่ เป๊ป ยังกำจัดผู้เล่นที่เป็นอิทธิพลเชิงลบต่อทีมออกอย่างกล้าหาญ สิ่งที่ใช้อุดทดแทนคือจิตวิทยาและระบบการบริหารจัดการที่มีระเบียบวินัยชัดเจนดังที่กล่าวข้างต้น นอกเหนือจากงานโค้ชในโลกฟุตบอล เป๊ป ยังเป็นคนลูกหนังแดนกระทิงดุสายพันธุ์แข็งกร้าว ยึดมั่นในอุดมการณ์ทั้งการกีฬา และการเมือง เขาเป็นคนกีฬาจากคาตาโลเนียอีกรายที่ต่อต้านการคุมขังนักการเมืองที่สนับสนุนการแยกตัวเป็นอิสระของคาตาโลเนีย แคว้นคาตาโลเนียที่เคยมีข้อพิพาทเรื่องการแยกตัวเป็นอิสระจากสเปน เป็นถิ่นกำเนิดของเป๊ป เขาออกตัวเป็นผู้สนับสนุนการแยกตัวออกเป็นอิสระอย่างชัดเจนเช่นเดียวกับนักเตะบาร์เซโลน่าหลายราย ในช่วงที่แกนนำเคลื่อนไหวเรียกร้องการแยกตัวถูกคุมขัง ชาวคาตาลันต่างนำผ้าสีเหลืองมาติดเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านการจองจำนักเคลื่อนไหวทางการเมือง แม้ว่าเป๊ป จะเคยถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) เตือนเรื่องการแสดงสัญลักษณ์ทางการเมืองมาแล้ว แต่ก็ยังยืนยันว่า จะแสดงออกไปจนกว่าผู้ถูกกักขังจะได้อิสระ เป๊ป ถึงกับลั่นว่า หากเอฟเอ ตั้งข้อหาแล้วจะลงโทษปรับเงิน เขาก็ยอมรับ บทบาทและการทำงานในสเปน ทั้งทางกีฬาและสังคม ไปจนถึงการทำงานในเยอรมนีฉายภาพตัวตนเป๊ป ผู้ยึดมั่นในปรัชญาของตัวเองอย่างแรงกล้า อย่างไรก็ตาม หลายคนมองว่าปรัชญาการทำทีมแบบเป๊ป เข้ามาใช้งานทรัพยากรที่มีพื้นฐานยอดเยี่ยมอยู่แล้วก็ทำให้ทีมประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นแบบที่โลกลูกหนังไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีมูลอยู่ส่วนหนึ่ง ถ้ายังจำกันได้ ฤดูกาลแรกที่เป๊ป คุมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กุนซือสเปนผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในสเปนและเยอรมนีตั้งแต่เริ่มทำงานในบทบาทกุนซือโดนวิจารณ์ว่า ไม่ยอมปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษ และมักเน้นเกมบุกมากเกินไปโดยไม่สนใจเกมรับ หลังจากที่เริ่มออกสตาร์ทฤดูกาลแบบสวยหรูก็เริ่มสะดุดและโดนวิจารณ์หนักขึ้น ฤดูกาลแรกกับเรือใบสีฟ้า คือปีเดียวที่เป๊ปไม่มีแชมป์ติดมือ เป๊ป ยอมรับผิดว่าในฐานะคนที่นำไอเดียของตัวเองมาปรับใช้แต่ไม่ได้ผล ที่ผ่านมา เขามีผู้เล่นอย่าง เมสซี่, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และโธมัส มุลเลอร์ (ในช่วงฟอร์มแรง) สำหรับแมนฯ ซิตี้ ที่ผู้เล่นมีศักยภาพสูง แต่ก็มีส่วนแตกต่างจากองค์ประกอบทรัพยากรในทีมซึ่งเป๊ป ทำงานด้วยก่อนหน้านี้ เขาต้องใช้เวลาศึกษาลักษณะผู้เล่นในทีมเพื่อหาแนวทางและตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้เล่นแต่ละคนในระบบ ฤดูกาลแรกซึ่งดูเหมือนว่า เป๊ปใช้ต้นทุนทั้งเรื่องเงินที่ลงทุนมหาศาลและใช้เวลาอย่างคุ้มค่า สุดท้ายก็สามารถปรับจูนผู้เล่นร่วมกับระบบจนโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมสะท้อนผ่านผลงานที่น่าจะเป็นทีมที่ดีที่สุดของยุโรปช่วงต้นฤดูกาล 2017-18 ถ้าจะให้บรรยายความยอดเยี่ยมและสถิติต่าง ๆ ของเป๊ป ในช่วงปีทองอีกปีของเรือใบสีฟ้าคงจะใช้พื้นที่เล่ายาวเกินไป หากหาตัวอย่างที่พอจะสะท้อนผ่านเรื่องราวที่น่าสนใจในสนามสักเรื่อง ขอยกเรื่องภาพที่เป๊ป กอดคอกระซิบกับ “บอลบอย” เสมือนเด็กเก็บบอลเป็นหนึ่งในผู้เล่นของตัวเองในเกมที่ถล่มคริสตัล พาเลซ 5-0 เป๊ป อธิบายการพูดคุยปริศนากับบอลบอยอันเป็นภาพที่ไม่ค่อยเห็นว่า ในช่วงเริ่มต้นเกม ทีมของเขา “เนือย” เกินไป หากมีเสียงนกหวีดเป่าฟาวล์ ไม่มีใครรีบหยิบบอลมาเล่น กว่าจะเล่นก็เสียเวลาไป 5-10 วินาที เกมถึงจะเริ่มเดินต่อ ทุกอย่างช้าไปหมด บอลบอยก็ช้าไปด้วย ในขณะที่เป๊ป มองว่าทีมของเขาควรสร้างจังหวะเกมเพื่อควบคุมโมเมนตัม แต่เมื่อกลับมาในครึ่งหลัง เมื่อผ่านการกระตุ้นและกำชับ ทีมเริ่มเล่นในสปีดของตัวเองได้ กุนซือสเปนต้องการให้จังหวะของเกมปรับเร่งขึ้น แม้แต่บอลบอยก็ยังเป็นส่วนหนึ่งที่เป๊ป มองว่าต้องถูกปรับด้วย การปรับจังหวะช่วยให้แมนฯ ซิตี้ ใส่สกอร์เป็นว่าเล่น ส่วนหนึ่งของการกระซิบนี้ก็เป็นไปเพื่อให้บอลบอยปรับจังหวะความเร็วการให้บอลตามทีมด้วย แฟนบอลบางท่านอาจเคยรับทราบว่า สโมสรหลายแห่งอบรมบอลบอยในสนามให้สอดคล้องกับแทคติกที่ทีมเล่นด้วย แต่ภาพที่ผู้จัดการลงมากำชับเองในแมตช์ทางการแบบใกล้ชิดขนาดนี้ปรากฏให้เห็นไม่บ่อยนัก ภาพที่เกิดขึ้นสะท้อนความลักษณะของเป๊ป ในแง่ความใส่ใจรายละเอียด สมกับบุคลิคแบบ Perfectionist ที่แฟนบอลรับรู้กัน ผลงานที่ยอดเยี่ยมจากฤดูกาลที่ 2 ของเป๊ป ซึ่งคว้าดับเบิลแชมป์ และทำลายสถิติมากมาย เป็นฤดูกาลที่แมนฯ ซิตี้ สร้างปรากฏการณ์ด้วยสไตล์การเล่นเร้าใจแบบที่แฟนบอลคุ้นเคยกับลายเซ็นของเป๊ป ในช่วงทำทีมในสเปน และเยอรมนี ต่อยอดมาถึงการเล่นในฤดูกาล 2018-19 ที่น่าจะเป็นฤดูกาลประวัติศาสตร์ซึ่งซิตี้ อีกปีจากที่พวกเขาขับเคี่ยวกับหงส์แดง ลิเวอร์พูล ฤดูกาลนี้ทีมจากเมอร์ซีย์ ไซด์ ทำผลงานดีที่สุดในลีกอีกฤดูกาลหนึ่งเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ของสโมสร หากพูดถึงภาพรวม ลีกใดที่มีเป๊ป ย่อมเป็นทั้งโชคดีและโชคร้ายในเวลาเดียวกัน พวกเขาโชคดีที่จะได้เห็นฟุตบอลที่น่าตื่นตาตื่นใจ กับบรรยากาศการขับเคี่ยวแข่งขันที่เข้มข้น กระแสความสนใจนำมาซึ่งรายได้โดยรวมของลีก แต่...ที่โชคร้ายคือ ทีมในลีกก็ต้องขับเคี่ยวแย่งแชมป์กับทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ถูกก่อร่างสร้างตัวด้วยแนวทางของกุนซือหนุ่มสเปนซึ่งเป็นกุนซือเจ้าของผลงานยอดเยี่ยมที่สุดในรอบทศวรรษ การันตีได้ว่า คู่แข่งต้องยกระดับคุณภาพของตัวเองขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งเป็นอย่างน้อย นักวิจารณ์ฟุตบอลท่านหนึ่งเปรยผ่านรายการวิทยุแบบทีเล่นทีจริง (แต่น่าสนใจ) ว่า สถานการณ์ของลิเวอร์พูล ในช่วงท้ายฤดูกาล 2018-19 หรืออาจเป็นสถานการณ์ของทีมอื่นในอนาคตที่ต้องมาแย่งแชมป์กับทีมของเป๊ป ว่าช่างเข้ากับวลีของจิวยี่ ตัวละครใน “สามก๊ก” อันอ้างอิงจากบุคคลจริง โดยในวรรณกรรม (ย้ำว่าฉบับ “วรรณกรรม”) บรรยายถึงวาระสุดท้ายของจิวยี่ ซึ่งรำพันว่า “เมื่อฟ้าส่งข้ามาเกิด ไฉนถึงส่งขงเบ้งมาด้วย” คงเดากันได้ว่า “ขงเบ้ง” ในบริบทนี้หมายถึงอะไร
เรื่อง : คุณวัฒนะ