16 ส.ค. 2566 | 19:55 น.
- ไมเคิล ออร์ นักอเมริกันฟุตบอลที่เป็นต้นเรื่องของภาพยนตร์และหนังสือ The Blind Side เคยซาบซึ้งใจกับช่วงเวลาที่ครอบครัวซึ่งรับเขามาดูแล ปฏิบัติกับเขาอย่างดี
- ภายหลังภาพยนตร์โด่งดังและประสบความสำเร็จเมื่อปี 2009 ในปี 2023 ไมเคิล ออร์ ยื่นเอกสารร้องเรียนเรียกร้องส่วนแบ่งรายได้ที่เป็นธรรมจากภาพยนตร์ที่ใช้เรื่องราวของเขาเล่าเรื่อง และเปิดเผยสิ่งที่เขารู้สึกเจ็บปวดในใจ
ภาพยนตร์เป็นอีกหนึ่งสื่อที่ทรงพลัง มันถูกนำมาใช้งานในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นเชิงโฆษณาชวนเชื่อตั้งแต่ระดับการเมือง หรือใช้งานในแง่ให้ความบันเทิง ให้แรงบันดาลใจ หรือจะเป็นการสื่อสารแนวคิดต่าง ๆ โครงเรื่องไปจนถึงบทพูดจากตัวละครในสื่ออาจมีสักคำจากบางฉากที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของใครหลายคนไปได้
ขณะเดียวกัน เรื่องราวในชีวิตจริงของผู้คนก็มักถูกหยิบมาใช้เป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตสื่ออันทรงพลังเช่นกัน
ครั้งหนึ่ง เรื่องราวของไมเคิล ออร์ นักอเมริกันฟุตบอลชื่อดังถูกหยิบมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ The Blind Side: Evolution of a Game (2006) โดยไมเคิล ลูอิส หนังสือของลูอิส ถูกหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ในชื่อเรื่องเดียวกันคือ The Blind Side
หนังสือและภาพยนตร์มีโครงเรื่องหลักเล่าชีวิตของไมเคิล ออร์ (Michael Oher) นักอเมริกันฟุตบอลแห่งลีก NFL ชีวิตของเขาพลิกผันมาจากเด็กไร้บ้าน กลายมาเป็นนักอเมริกันฟุตบอลชื่อดังภายหลังได้รับการดูแลจากครอบครัวชาวอเมริกัน ไมเคิล ออร์ ก้าวไปถึงความสำเร็จระดับแชมป์ซูเปอร์โบวล์ร่วมกับทีมบัลติมอร์ ในปี 2012
ครอบครัวที่รับอุปการะของไมเคิล คือ ลีห์ แอน ทูฮี (Leigh Anne Tuohy) เธอเป็นสถาปนิกออกแบบภายใน พร้อมกับฌอน ทูฮี (Jean Tuohy) สามีของเธอ
ขณะที่ในภาพยนตร์ The Blind Side แอน ทูฮี รับบทโดย แซนดรา บุลล็อก (Sandra Bullock) ซึ่งเป็นบทที่ทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และรางวัลลูกโลกทองคำด้วย
ภาพยนตร์และเรื่องราวจากในหนังสือเล่าเนื้อหาที่กินใจ ให้แรงบันดาลใจในการต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ ทำให้ตัวภาพยนตร์ได้รับรางวัลและคำชมไม่น้อย แต่เช่นเดียวกับสื่อบันเทิงอื่น ๆ ในข้อเท็จจริงแล้ว ชีวิตจริงของไมเคิล ออร์ บางส่วนแตกต่างจากเนื้อหาในภาพยนตร์ที่ปรับแต่งรายละเอียดไปบ้าง เช่น ไมเคิล ออร์ ไม่ได้ไร้บ้านแบบสภาพในหนัง แต่เขาแค่ไปพักอาศัยในบ้านของคนรู้จัก และไมเคิล ออร์ กล่าวว่า เขารู้จักอเมริกันฟุตบอลก่อนจะรู้จักครอบครัวทูฮี ไม่ได้มาเรียนรู้อเมริกันฟุตบอลจากครอบครัวทูฮี แบบในหนัง
แม้รายละเอียดในภาพยนตร์จะออกมาแตกต่างจากข้อเท็จจริง (หากอ้างอิงตามคำกล่าวอ้างของไมเคิล ออร์) แต่บทสรุปของภาพยนตร์ค่อนข้างตรงใจกับผู้คน บ่งชี้ถึงทางเลือกในชีวิต คุณค่าของครอบครัว ความสำคัญของโอกาส และการมอบโอกาสให้ผู้อื่น ซึ่งดูจะเป็นเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างดี
ภาพยนตร์ The Blind Side เข้าฉายตั้งแต่ปี 2009 เวลาล่วงเลยผ่านมาเกินทศวรรษ ในปี 2023 สื่อกีฬาฝั่งสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่อาจทำให้คอหนังซึ่งเคยเสพภาพยนตร์เรื่องนี้ หรืออาจได้รับอิทธิพลบางอย่างจากหนังไม่ว่าจะมากหรือน้อย ข้อมูลที่สื่ออเมริกันเปิดเผยอ้างอิงจากเอกสารทางกฎหมายที่ ไมเคิล ออร์ ยื่นเอกสารทำเรื่องร้องเรียนต่อศาลเทนเนสซี เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2023 (ตามเวลาท้องถิ่น)
โลกความเป็นจริงไม่สวยงามแบบโลกมายา?
เอกสารร้องเรียนความยาว 14 หน้า ทำให้ชาวไทยหลายคนนึกถึงคำว่า ‘คดีพลิก’ เรื่องราวในเอกสารทางกฎหมายขัดแย้งกับสิ่งที่ถูกนำเสนอในภาพยนตร์ ไมเคิล ออร์ อ้างว่า ครอบครัวทูฮี ไม่ได้ ‘อุปการะ’ ไมเคิล สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องโกหกซึ่งเกิดจากครอบครัวที่ต้องการหาผลประโยชน์จากเขาเพื่อเพิ่มฐานะความร่ำรวยให้ครอบครัวเอง
ส่วนหนึ่งของเนื้อหาในเอกสารกล่าวอ้างว่า 3 เดือนหลังจากไมเคิล ออร์ อายุ 18 ปีเมื่อปี 2004 สามีภรรยาทูฮี หลอกให้ไมเคิล เซ็นเอกสารมอบอำนาจให้ครอบครัวทูฮีเป็นผู้พิทักษ์ดูแล ซึ่งทำให้พวกเขามีอำนาจตามกฎหมายในการทำสัญญาทางธุรกิจในนามของไมเคิล ออร์
เอกสารร้องเรียนยังระบุว่า คู่สามีภรรยาทูฮี ใช้อำนาจในฐานะผู้พิทักษ์ดูแล เซ็นสัญญาที่จะทำให้พวกเขาได้รับผลประโยชน์จากภาพยนตร์ ขณะที่ตัวไมเคิล ออร์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของต้นเรื่องไม่ได้รับอะไรเลย
หลังจากนั้น ครอบครัวทูฮี ยังเรียกไมเคิล ออร์ วัย 37 ปีว่าเป็นบุตรบุญธรรมและใช้การยืนยันนั้นมาโปรโมตมูลนิธิของพวกเขาเอง รวมถึงโปรโมตงานของลี แอน ทูฮี ซึ่งทำงานเขียนและเป็นนักพูดให้แรงบันดาลใจด้วย โดยเอกสารระบุว่า ไมเคิล ออร์ ค้นพบเรื่องโกหกเหล่านี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ซึ่งส่งผลกระทบกระเทือนความรู้สึกของเขา
แน่นอนว่าการเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ยังคงอยู่ในขั้นเบื้องต้น ทนายความที่เป็นตัวแทนของครอบครัวทูฮี ไม่ได้รับโทรศัพท์จากสื่อกีฬาชื่อดังในสหรัฐฯ อย่าง ESPN แต่ระบุว่า พวกเขาจะทำเอกสารทางกฎหมายตอบโต้ข้อกล่าวหาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ขณะที่ฌอน ทูฮี สามีของ แอน ทูฮี ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นแห่งหนึ่ง เล่าความรู้สึกว่า เขาค่อนข้างช็อกกับสิ่งที่ไมเคิล กล่าวหา ฌอน อ้างว่า ครอบครัวทูฮี ไม่ได้รับเงินจากภาพยนตร์เลย มีเพียงเงินที่ได้จากส่วนแบ่งจากหนังสือที่เขียนโดยไมเคิล ลูอิส ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลต้นทางสำหรับตัวภาพยนตร์
“มันเป็นเรื่องน่าเสียใจที่จะคิดว่าเราทำเงินจากเด็ก ๆ ของเรา แต่เราจะยังรักไมเคิล ที่อายุ 37 เหมือนกับที่รักเขาเมื่อตอนอายุ 16” ฌอน ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นในสหรัฐฯ
ข้อมูลที่ออกมายังมีเอกสารร้องเรียนอีกชิ้นที่ร้องขอให้ศาลสั่งยุติสถานะผู้พิทักษ์ดูแลของครอบครัวทูฮี และขอให้ออกคำสั่งห้ามครอบครัวทูฮี ใช้ชื่อและอัตลักษณ์ต่าง ๆ ของไมเคิล ออร์ รวมถึงเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลรายได้ใด ๆ ที่ครอบครัวทูฮี ได้รับจากการใช้ชื่อไมเคิล ออร์ ไปจนถึงเรียกร้องให้คู่สามีภรรยาจ่ายส่วนแบ่งที่เหมาะสม และค่าชดเชย
หากมองในบริบทคนนอก เชื่อว่าแกนหลักของสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดกับไมเคิล ออร์ น่าจะเป็นเรื่องตัวเลขส่วนแบ่งรายได้
อำนาจและผลประโยชน์
เรื่องนี้มีข้อมูลที่แตกต่างหลากหลายกัน แต่ละฝ่ายยกข้อมูลของตัวเองขึ้นมากล่าวอ้าง ครอบครัวทูฮี เคยเผยในหนังสือ In a Heartbeat: Sharing the Power of Cheerful Giving ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2010 ว่า “แบ่งกัน 5 ก้อน”
ครอบครัวทูฮี มักปฏิเสธเรื่องที่พวกเขาได้รับรายได้มากจากภาพยนตร์ พวกเขาบอกว่าได้รับรายได้เป็นก้อน และไม่ได้รับค่าตอบแทนรูปแบบอื่นจากภาพยนตร์ ขณะที่การแบ่งรายได้ก็แบ่งกันในครอบครัว
ข้อมูลนี้ขัดแย้งกับเอกสารทางกฎหมายที่ถูกยื่น ในเอกสารระบุว่า รายได้ตัวภาพยนตร์จ่ายให้ครอบครัวทูฮี และลูกอีก 2 คน มอบเป็นเงินให้รายละ 225,000 ดอลลาร์สหรัฐ และยังมีรายได้ 2.5 เปอร์เซ็นต์จากรายได้ที่ภาพยนตร์ทำได้ เชื่อกันว่า ภาพยนตร์ The Blind Side ทำรายได้จากการฉายในโรงหนัง มากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รายได้จากการขายวัตถุบันทึกรูปแบบต่าง ๆ เป็นหลักหลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ
หากอ้างอิงตามข้อมูลชุดนี้ ครอบครัวทูฮี ทำรายได้จากภาพยนตร์ The Blind Side จำนวนไม่น้อยเลย ขณะที่เอกสารร้องเรียน ไมเคิล ออร์ อ้างว่า ในปี 2007 เขาเซ็นสัญญาแยกอีกฉบับที่มีผลทำให้มอบสิทธิ์ในเรื่องราวของเขาต่อสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์แบบตลอดชีพ โดยไม่มีรายละเอียดเรื่องส่วนแบ่งรายได้ใด ๆ
เอกสารระบุว่า ไมเคิล ออร์ จำไม่ได้ว่าเซ็นสัญญานี้ไป และถึงหากเขาเซ็นจริง ก็ไม่มีใครมาอธิบายเรื่องรายละเอียดให้เขารับรู้
ข้อมูลด้านไทม์ไลน์เป็นรายละเอียดอีกแง่มุมที่น่าสนใจ ไมเคิล ออร์ ให้ข้อมูลกับตัวแทนกฎหมายว่า ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในช่วงปี 2009 เป็นช่วงเดียวกับห้วงที่เขาเริ่มต้นอาชีพนักอเมริกันฟุตบอลใน NFL เมื่อปี 2009 เขาไม่ได้กลับมาสนใจหรือเอะใจเกี่ยวกับเรื่องสัญญาจนกระทั่งหลังจากเขาเลิกเล่นไปแล้วในปี 2016 ออร์ มาจ้างทนายช่วยสืบค้นรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญาและความเกี่ยวพันทางกฎหมายกับคนใกล้ชิดที่เขาคิดว่าเป็นพ่อแม่บุญธรรมของเขา
ทนายของออร์ ค้นพบเอกสารที่บ่งชี้สถานะ ‘ความเป็นผู้พิทักษ์ดูแล’ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งทำให้ออร์ เจ็บปวด เนื่องจากเขารู้สึกว่าครอบครัวทูฮี ไม่ได้อุปการะเขา
ตรงนี้มีรายละเอียดเล็กน้อยเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสถานะ ‘ความเป็นผู้พิทักษ์ดูแล’ กับ ‘ผู้อุปการะ’ ถ้าไมเคิล ออร์ ได้รับอุปการะ เขาถือเป็นสมาชิกครอบครัวตามกฎหมายของครอบครัวทูฮี และยังคงมีอำนาจในการดูแลรับผิดชอบทางการเงินของตัวเองตามกฎหมาย ขณะที่สถานะ ‘ผู้พิทักษ์ดูแล’ ไมเคิล ออร์ มอบอำนาจการรับผิดชอบทางการเงินของตัวเองให้ครอบครัวทูฮี ไม่ว่าเขาจะมีอายุเข้าเกณฑ์เป็นผู้ใหญ่ปกติซึ่งไม่ปรากฏสภาวะไร้สมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจก็ตาม
หากอ้างอิงตามข้อมูลในเอกสารและจากรายงานข่าวที่อ้างอิงคำบอกเล่าของตัวแทนทางกฎหมายของไมเคิล ออร์ เรื่องราวของ The Blind Side แตกต่างจากภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาแสนอบอุ่นใจ (feel good story)
จิตใจที่ยากหยั่งลึกถึง
การค้นพบข้อมูลและรายละเอียดตามที่ไมเคิล ออร์ กล่าวอ้าง ทำให้เขารู้สึกแตกร้าวลึกลงไปข้างใน แม่โดยกำเนิดของไมเคิล ออร์ มีลูกทั้งหมด 12 คน แม่โดยกำเนิดของออร์ มีปัญหาติดยาเสพติด ไมเคิล ออร์ เคยอาศัยในสถานเลี้ยงดูเด็ก และเปลี่ยนโรงเรียน 11 ครั้งใน 9 ปี
เมื่อเพื่อนของพ่อมาพบเห็นความพิเศษบางอย่างของออร์ และแนะนำให้ออร์ เข้าเรียนในโรงเรียนคริสเตียนแห่งหนึ่งในย่านเมมฟิส ช่วงที่เขาเข้าเรียน (เกรด 10 ในสหรัฐฯ) ไมเคิล กลายเป็นนักเรียนที่โดดเด่นด้านกีฬา ฉายแววทั้งกีฬาในลู่และลานสนาม ไปจนถึงบาสเกตบอล และแน่นอนว่ารวมถึงอเมริกันฟุตบอล
ช่วงนั้นไมเคิล ออร์ ยังไม่สามารถหาที่อยู่เป็นหลักแหล่งอย่างมั่นคง ยังต้องพักอาศัยบ้านเพื่อนสลับเปลี่ยนกันไปตามสถานการณ์ ซึ่งเพื่อนที่เขาไปพักด้วยมีครอบครัวทูฮี ซึ่งมีลูกเข้าเรียนที่เดียวกันรวมอยู่ด้วย ครอบครัวทูฮี เล็งเห็นถึงศักยภาพด้านกีฬา และเชิญให้ไมเคิล ออร์ มาพักที่บ้านบ่อยขึ้น เริ่มพาไปช้อปปิ้งด้วย และเชิญให้ไมเคิล ออร์ มาอยู่ที่บ้านด้วยเลย และบอกให้ไมเคิล ออร์ เรียกพวกเขาว่า ‘พ่อ’ และ ‘แม่’
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ไมเคิล รู้สึกประทับใจกับช่วงเวลานั้น และทำให้ไมเคิล เชื่อใจครอบครัวทูฮี
แต่เรื่องราวนำมาสู่การยื่นเอกสาร้องเรียนต่อภาครัฐ สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งที่รายงานจาก ESPN หยิบยกมาเอ่ยถึงคือคำกล่าวของไมเคิล ออร์ ที่ผ่านมา เขาเคยกล่าวว่า เขายอมรับเรื่องการใช้ชีวิตภายใต้มายาคติที่ภาพยนตร์ The Blind Side ที่นำเสนอเรื่องราวโทนอบอุ่นหัวใจ โดยให้เหตุผลว่า สารจากภาพยนตร์ในแง่แรงบันดาลใจมีน้ำหนักเหนือกว่าความเจ็บปวดซึ่งเป็นผลมาจากการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แต่ความคิดนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเช่นกัน
ไมเคิล ออร์ ตีพิมพ์หนังสือของเขาเองเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2023 เนื้อหาส่วนหนึ่งในหนังสือชื่อ When Your Back's Against the Wall ไมเคิล เอ่ยถึงส่วนที่ภาพยนตร์ได้สร้างสรรค์ขึ้นมามากมาย ซึ่งเขาซาบซึ้งสำหรับเรื่องเหล่านี้ และเขาระบุว่า คนที่รับรู้เรื่องราวของเขาอาจรู้สึกช็อกว่า ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวทั้งหมดกลับเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของความเศร้าและความเจ็บปวดลึก ๆ ในใจของไมเคิล ตลอด 14 ปี
ความเป็นจริงของชีวิตคนเรามีหลากหลายมิติ สุข เศร้า เหงา ซึ้ง เรื่องราวและความรู้สึกต่าง ๆ ผูกโยงกันไปกับผู้คนรอบข้าง และผู้คนที่ไม่รู้จัก ไม่ว่าเรื่อง The Blind Side เกี่ยวกับไมเคิล ออร์ และครอบครัวทูฮี จะถูกมองอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ผูกพันเชื่อมโยงกับชีวิตผู้คนและความรู้สึกอันแสนหลากหลายและซับซ้อนอยู่เสมอ หนีไม่พ้นเรื่องอำนาจ และผลประโยชน์
เรื่อง: ธนพงศ์ พุทธิวนิช
ภาพ: แฟ้มภาพ จาก Getty Images.
อ้างอิง: