15 ธ.ค. 2566 | 14:57 น.
- ‘โรนัลดินโญ่’ หรือชื่อจริงว่า ‘โรนัลโด เด อัสซิส โมเรร่า’ เขาเป็นนักฟุตบอลชาวบราซิล หนึ่งในตำนานของวงการโลกลูกหนัง
- เขาเกิด ณ เมืองโปร์ตู อาเลกรี ประเทศบราซิล โดยเขาสนใจเส้นทางลูกหนังจากพี่ชาย
- จากจุดสูงสุดบน แต่หลังจากแขวนสตั๊ด ชีวิตของโรนัลดินโญ่กลับผกผันอย่างหนัก
หากจะเอ่ยถึงนักฟุตบอลระดับตำนานของโลกลูกหนัง ผมเชื่อมั่นว่าหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ ‘โรนัลโด เด อัสซิส โมเรร่า’ หรือที่เรารู้จักกันในนาม ‘โรนัลดินโญ่’ นักฟุตบอลทีมชาติบราซิลรวมอยู่ในนั้นด้วยอย่างแน่นอน เจ้าตัวคือนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากมายทั้งในระดับทีมชาติและสโมสร
โดยในระดับทีมชาตินั้น โรนัลดินโญ่ถือว่ามีส่วนร่วมกับความสำเร็จของทีมชาติบราซิลตั้งแต่ระดับเยาวชนไปจนถึงทีมชาติชุดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการคว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี หรือฟีฟ่า ยู-17 เวิลด์ แชมเปียนชิพ (FIFA U-17 World Championship) แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอเมริกาใต้ หรือคอนเมโบล โคปา อเมริกา (CONMEBOL Copa América) แชมป์รายการฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชันส์ คัพ (FIFA Confederations Cup)
และเกียรติยศสูงสุดก็คือการเป็นหนึ่งในขุนพลแซมบ้าชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก หรือฟีฟ่า เวิลด์ คัพ (FIFA World Cup) ปี 2002 ที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วมกัน รวมทั้งยังสามารถคว้าเหรียญทองแดงในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2008 ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าในระดับทีมชาตินั้น โรนัลดินโญ่สร้างความสำเร็จในทุกรายการหลักมาหมดแล้ว
ส่วนในระดับสโมสร โรนัลดินโญ่ก็ย้ายมาค้าแข้งกับยอดทีมในยุโรปอย่างสโมสรปารีส แซ็ง แฌร์แม็ง (ฝรั่งเศส), บาร์เซโลน่า (สเปน) และเอซี มิลาน (อิตาลี) โดยเจ้าตัวมีส่วนร่วมในความสำเร็จของสโมสรบาร์เซโลน่าเป็นอย่างมาก ทั้งการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก (UEFA Champions League) และลาลีกา (La Liga) ผลงานดังกล่าวถือว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานของสโมสร
ขณะที่ในช่วงปลายอาชีพการค้าแข้ง โรนัลดินโญ่ยังมีส่วนร่วมในการพาทีมบ้านเกิดอย่างแอตเลติโก มิเนโร่ คว้าแชมป์รายการโคปา ลิเบอร์ตาดอเรส (Copa Libertadores) ซึ่งก็คือศึกชิงแชมป์สโมสรอเมริกาใต้ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าผลงานในระดับสโมสรของเจ้าตัวนั้นก็ไม่ธรรมดา
ผมเชื่อว่า เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ก็คงพอจะเห็นภาพนะครับว่าในช่วงชีวิตการค้าแข้งของโรนัลดินโญ่นั้นเต็มไปด้วยสีสันขนาดไหน แต่ถ้าใครยังมีคำถามถึงความเก่งกาจของนักเตะคนนี้ ก็คงต้องเล่าเพิ่มเติมอีกสักนิดครับว่า ผลงานส่วนตัวของเจ้าตัวก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน การันตีด้วยตำแหน่งบัลลงดอร์ (Ballon d’Or) ในปี 2005 และฟีฟ่า เวิลด์ เพลเยอร์ ออฟ เดอะ เยียร์ (FIFA World Player of the Year) 2 สมัยในปี 2004 และ 2005 ซึ่งรางวัลส่วนตัวทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในสมัยที่เจ้าตัวค้าแข้งอยู่กับสโมสรบาร์เซโลน่า กล่าวได้ว่าชื่อเสียงของโรนัลดินโญ่นั้นไม่ธรรมดา แม้จะเลิกเล่นฟุตบอลไปแล้วหลายปีก็ยังมีคนกล่าวถึงเจ้าตัวอยู่เสมอ
จากความสำเร็จในชีวิตการค้าแข้งของเจ้าตัวที่กล่าวมาทั้งหมด เชื่อว่าหลายคนคงคิดไม่ต่างจากผมว่า ชีวิตหลังจากแขวนสตั๊ดของโรนัลดินโญ่นั้นจะต้องมีแต่ความสุขสบายจากชื่อเสียง เกียรติยศ และเงินทองที่เจ้าตัวหามาได้
แต่ก็นั่นแหละครับโลกของเรามันไม่มีอะไรแน่นอน การที่เราเห็นว่าใครคนหนึ่งประสบความสำเร็จมากมายในอาชีพการงานก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตอีกด้านของเขาจะไม่มีปัญหา
หลังจากที่เจ้าตัวยุติเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพในปี 2018 โรนัลดินโญ่ก็ต้องพบกับมรสุมชีวิตมากมาย ทั้งเรื่องการถูกสื่อบราซิลแฉว่าเจ้าตัวเตรียมจะแต่งงานซ้ำซ้อน, การโดนฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกรณีเลิกรากับ ‘โคเอนโญ่’ แฟนสาวที่คบหากันมานาน, โดนรัฐบาลบราซิลฟ้องร้องคดีสิ่งแวดล้อม จากการสร้างท่าเรือและที่ตกปลาริมฝั่งแม่น้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต นำมาซึ่งการต้องชำระค่าปรับมากมาย
รวมถึงการถูกจำคุกในคดีพาสปอร์ตปลอม เรียกได้ว่าแต่ละเรื่องราวนั้นล้วนหนักหนาสาหัสจนทำให้ชีวิตของโรนัลดินโญ่ต้องดำดิ่งแบบสุดขีด อย่างที่ใครหลายคนคาดไม่ถึง
จากจุดสูงสุดบนผืนหญ้าสู่ห้องขังสิ้นอิสรภาพ เจ้าตัวมีเส้นทางเดินแต่ละก้าวอย่างไร อะไรคือสาเหตุให้ชีวิตของเจ้าตัวในปัจจุบันนี้ไม่สวยงามนัก เรามาติดตามไปพร้อม ๆ กันครับ
แรงบันดาลใจจากพี่ชายสู่เกรมิโอยอดสโมสรบราซิล
โรนัลดินโญ่ เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1980 ณ เมืองโปร์ตู อาเลกรี ประเทศบราซิล โดย ‘เจา เด อัสซิส โมเรร่า’ คุณพ่อของเจ้าตัวทำงานเป็นพนักงานอู่ซ่อมเรือและเล่นฟุตบอลกับสโมสรท้องถิ่น ส่วน ‘มิเกลิน่า เอโลอิ อัสซิส ดอส ซานโตส’ คุณแม่นั้นเป็นพยาบาล ซึ่งครอบครัวของโรนัลดินโญ่ ถือว่ามีฐานะอยู่ในระดับปานกลาง จนมาวันหนึ่งคุณพ่อของเจ้าตัวต้องมาเสียชีวิตลง นั่นจึงทำให้แม่และพี่ชายของโรนัลดินโญ่ต้องช่วยกันหาเลี้ยงครอบครัว โดยโรแบร์โตพี่ชายของเจ้าตัวนั้นเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสรเกรมิโอ
การที่โรแบร์โตได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของสโมสรเกรมิโอนั้นทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น และนั่นก็คือการส่งต่อแรงบันดาลใจมาให้แก่น้องชายอย่างโรนัลดินโญ่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องราวที่แปลกใหม่ของนักฟุตบอลในแถบละติน หากคุณสามารถเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ นั่นคือใบเบิกทางสู่ฐานะที่ดีขึ้น และหากสามารถมาค้าแข้งในทวีปยุโรปได้ก็ยิ่งจะทำให้นักฟุตบอลคนนั้นมีทั้งชื่อเสียงและเงินทองเพิ่มมากขึ้นตามไปอีก นั่นจึงทำให้เด็กน้อยอย่างโรนัลดินโญ่ต้องการเป็นนักฟุตบอลอาชีพเฉกเช่นเดียวกับพี่ชายของเขา
โรนัลดินโญ่เริ่มฉายแววความเป็นยอดนักฟุตบอลตั้งแต่วัย 8 ขวบ เจ้าตัวสามารถเล่นฟุตบอลได้ทุกรูปแบบตั้งแต่ฟุตบอล ฟุตซอล และฟุตบอลชายหาด โดยเฉพาะทักษะด้านฟุตซอลนั้นมีผลอย่างมากต่อสไตล์การเล่นฟุตบอลสนามใหญ่ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของโรนัลดินโญ่ เมื่อไรก็ตามที่เจ้าตัวได้ครอบครองลูกฟุตบอลก็ยากที่จะมีใครแย่งเอาไปได้ และด้วยทักษะที่โดดเด่นดังกล่าวทำให้โรนัลดินโญ่ได้เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับยอดสโมสรของบราซิลอย่างเกรมิโอ
โรนัลดินโญ่ทำผลงานได้ดีกับทีมชุดเยาวชนของสโมสรจนมีโอกาสติดทีมชาติบราซิลชุดอายุไม่เกิน 17 ปี และก็สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชนโลกในรุ่นดังกล่าวมาครองได้ในปี 1997 จากนั้นเจ้าตัวก็ได้มีโอกาสลงสนามให้กับสโมสรเกรมิโอชุดใหญ่ในศึกโคปา ลิเบอร์ตาดอเรส ปี 1998 - 1999 และก็ทำผลงานได้ดีมาอย่างต่อเนื่องจนได้รับความสนใจจากหลายทีมในทวีปยุโรป และหนึ่งในนั้นคือสโมสรอาร์เซนอลจากประเทศอังกฤษ
ชวดค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกสู่การเริ่มต้นในลีก เอิง
ในช่วงเวลาที่โรนัลดินโญ่ลงสนามให้กับสโมสรเกรมิโอนั้นเจ้าตัวได้รับความสนใจจากสโมสรอาร์เซนอลในศึกพรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษเป็นอย่างมากแต่ด้วยเงื่อนไขการขอใบอนุญาตทำงานหรือเวิร์กเพอร์มิทที่นักเตะนอกสหภาพยุโรปต้องมีจำนวนเกมการลงสนามในระดับนานาชาติให้ถึงตามจำนวนที่กำหนดไว้ ทำให้โรนัลดินโญ่ต้องชวดโอกาสมาค้าแข้งที่ประเทศอังกฤษอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตาม ยอดนักเตะดาวรุ่งจากบราซิลยังได้รับโอกาสลงเล่นในฟุตบอลลีกของยุโรปเมื่อสโมสรปารีส แซ็ง แฌร์แม็งในลีก เอิง ของประเทศฝรั่งเศสได้ตัดสินใจดึงเจ้าตัวไปร่วมทัพในปี 2001 ด้วยค่าตัวราว 5 ล้านยูโร และโรนัลดินโญ่ก็ตอบแทนความไว้วางใจได้อย่างน่าพอใจ แม้ในช่วงแรกจะเริ่มต้นจากการเป็นตัวสำรอง แต่พอปรับตัวได้แล้วเจ้าตัวก็เริ่มทำผลงานได้ดีขึ้นและทำประตูได้อย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นกำลังสำคัญของทีม
ถึงอย่างนั้น โรนัลดินโญ่ก็ยังถูกตำหนิจากกุนซืออย่าง ‘หลุยส์ เฟอร์นันเดซ’ นั่นก็เพราะว่าแข้งหนุ่มบราซิลรายนี้หลงแสงสีและให้ความสำคัญชีวิตกลางคืนในกรุงปารีสมากกว่าที่จะพุ่งสมาธิมาที่การเล่นฟุตบอลเพียงอย่างเดียว
แต่ถึงแม้ว่าโรนัลดินโญ่จะมีไลฟ์สไตล์ไปทางแสงสียามค่ำคืน แต่ผลงานในสนามก็ยังโดดเด่นจนไม่อาจปฏิเสธได้ และนั่นก็ทำให้เจ้าตัวได้เป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติบราซิลชุดฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ฟรีคิกมหัศจรรย์ ตราตรึงใจคนทั่วโลก ส่งบราซิลสู่แชมป์โลก
โรนัลดินโญ่ได้ลงสนามให้กับทีมชาติบราซิลในฟุตบอลโลก 2002 และก็ทำประตูแรกได้สำเร็จ จากการยิงลูกจุดโทษในเกมการแข่งขันรอบแรกกับทีมชาติจีน จากนั้นในการแข่งขันรอบควอเตอร์ไฟนอลหรือรอบ 8 ทีมสุดท้าย เจ้าตัวก็ทำประตูสำคัญให้ทีมชาติบราซิลสามารถกลับมาแซงเอาชนะทีมชาติอังกฤษไปได้ 2 - 1 ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศจนในท้ายที่สุดก็สามารถก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์โลกสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ
โดยจังหวะดังกล่าวเกิดขึ้นในนาที 50 เมื่อโรนัลดินโญ่ยิงลูกฟรีคิกจากทางฝั่งขวาของสนามบอลพุ่งลอยข้ามหัว ‘เดวิด ซีแมน’ ผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษเข้าไปตุงตาข่ายได้อย่างงดงาม ลูกยิงดังกล่าวกลายเป็นคำถามทันทีว่ามันคือความบังเอิญหรือตั้งใจของดาวรุ่งทีมชาติบราซิล แต่ไม่ว่าประตูนี้จะเกิดขึ้นจากอะไร มันก็คือหนึ่งในลูกยิงระดับตำนานของเวทีฟุตบอลโลกมาจนทุกวันนี้ และที่สำคัญมันคือประตูที่ทำให้ชื่อของโรนัลดินโญ่ได้รับการจับตามองจากสโมสรยักษ์ใหญ่ในเวลานั้น
“มันไม่ได้เกิดขึ้นแบบตั้งใจ แต่ผมก็รู้ว่า เดวิด ซีแมน มักจะออกมายืนหน้าเส้นประตูเสมอ จังหวะดังกล่าวเป็นความโชคดีของผมที่ลูกฟุตบอลเข้าประตูไปแบบนั้น มันเป็นหนึ่งในประตูที่สำคัญที่สุดของผม และมันเป็นประตูที่น่าทึ่งที่สุด เพราะไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ทุกคนก็จะถามผมเกี่ยวกับการยิงประตูในครั้งนั้น”
โรนัลดินโญ่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงประตูจากลูกฟรีคิกมหัศจรรย์ที่เกิดในฟุตบอลโลก 2002
ถิ่นคัมป์นูช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์บนผืนหญ้า
ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมของโรนัลดินโญ่ในฟุตบอลโลก 2002 ที่เจ้าตัวเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญพาทีมชาติบราซิลก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์โลกได้สำเร็จ ทำให้แข้งบราซิลรายนี้ได้รับความสนใจจากสโมสรต่าง ๆ มากมาย และหนึ่งในนั้นคือสโมสรบาร์เซโลน่าจากประเทศสเปน ที่สุดท้ายก็สามารถคว้าตัวโรนัลดินโญ่ไปรวมทีมได้ในปี 2003 ด้วยมูลค่าสัญญากว่า 30 ล้านยูโร แซงหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยอดทีมจากเกาะอังกฤษ
ที่สโมสรบาร์เซโลน่า โรนัลดินโญ่สามารถฉายฟอร์มเก่งออกมาได้อย่างคุ้มค่าการลงทุน และถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดในการเล่นฟุตบอลอาชีพของเจ้าตัว แข้งแซมบ้ารายนี้พายอดทีมของสเปนคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกสูงสุดหรือลา ลีกาได้ถึง 2 สมัยในฤดูกาล 2004 - 2005 และ 2005 - 2006 โดยในฤดูกาลหลังจากนั้นโรนัลดินโญ่สามารถทำประตูในฟุตบอลลีกไปได้ถึง 17 ประตู
จากนั้นในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปหรือยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 2005 - 2006 เจ้าตัวก็เป็นกำลังสำคัญพาทีมต้นสังกัดขึ้นสู่จุดสูงสุดของโพเดียม โดยสามารถทำประตูตลอดรายการไปได้ทั้งสิ้น 4 ประตู
และด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมกับสโมสรบาร์เซโลน่า ทำให้โรนัลดินโญ่ได้รับเลือกให้ได้รับรางวัลฟีฟ่า เวิลด์ เพลเยอร์ ออฟ เดอะ เยียร์ (FIFA World Player of the Year) 2 สมัยในปี 2004 และ 2005 รวมทั้งเกียรติยศสูงสุดในฐานะนักฟุตบอลก็คือการได้รับรางวัลลูกฟุตบอลทองคำหรือบัลลงดอร์ (Ballon d’Or) ในปี 2005 ซึ่งทั้งสองรางวัลที่เจ้าตัวได้รับมานั้นก็เป็นการการันตีได้ว่าฝีเท้าของโรนัลดินโญ่เหมาะสมกับคำว่าตำนานในโลกของฟุตบอล
นอกจากนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวเจ้าตัวก็ยังประสบความสำเร็จกับทีมชาติบราซิลเมื่อมีส่วนสำคัญในการพาทีมแซมบ้าคว้าแชมป์ฟุตบอลฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชันส์ คัพ 2005 โดยโรนัลดินโญ่สามารถยิงประตูได้ทั้งหมด 3 ประตู โดยหนึ่งในนั้นคือการทำประตูใส่ทีมชาติอาร์เจนตินาในรอบชิงชนะเลิศ
ในช่วงเวลาที่โรนัลดินโญ่ค้าแข้งอยู่กับบาร์เซโลน่า ลีลาการเล่นของเจ้าตัวนับว่าสร้างสีสันให้กับวงการลูกหนังแดนกระทิงดุอยู่ไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกันชีวิตนอกสนามของแข้งหนุ่มรายนี้ก็เต็มไปด้วยสีสันแบบสุดขั้วเช่นกัน แสง สี ปาร์ตี้ และชีวิตยามค่ำคืนค่อย ๆ พรากฟอร์มเก่งของเจ้าตัวไปเรื่อย ๆ ตามสัจธรรม จนในปี 2008 โรนัลดินโญ่ก็ต้องตัดสินใจอำลาถิ่นคัมป์นูไปสู่ความท้าทายใหม่ ทิ้งเอาไว้เพียงสถิติ 94 ประตูกับ 70 แอสซิสต์ จากการลงสนามทั้งสิ้น 207 นัดตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่แสนมหัศจรรย์
ซานซีโร่ โอกาสสุดท้ายบนแผ่นดินยุโรป
หลังจากโรนัลดินโญ่ต้องจากลาถิ่นคัมป์นูออกมาเขาก็ได้มาพบกับประสบการณ์ในประเทศอิตาลีกับสโมสรเอซี มิลาน อีกหนึ่งยอดทีมที่มีดีกรีมากมายระดับโลก โดยการเซ็นสัญญาดังกล่าวมีระยะเวลารวม 3 ปี และมีมูลค่ารวมประมาณ 24 ล้านยูโร
โดยฤดูกาลแรกของโรนัลดินโญ่กับเอซี มิลานนั้น ในช่วงครึ่งฤดูกาลแรกเจ้าตัวยังเป็นกำลังสำคัญของทีม และก็ทำผลงานได้ค่อนข้างน่าพอใจ แข้งบราซิลรายนี้ใช้เวลาเพียงปรับตัวกับฟุตบอลอิตาลีไม่นานนัก เพียงการลงสนามในกัลโช่ เซเรียอา นัดที่ 5 โรนัลดินโญ่ก็สามารถทำประตูแรกได้สำเร็จ แถมเป็นการทำประตูใส่สโมสรอินเตอร์ มิลาน คู่ปรับร่วมเมืองอีกต่างหาก
จากนั้นในอีก 2 เกมถัดมาเจ้าตัวก็ทำ 2 ประตูให้ทีมปีศาจแดงดำเอาชนะสโมสรซามพ์โดเรียไปได้ 3 - 0 และอีกนัดที่โรนัลดินโญ่ทำให้แฟนฟุตบอลเอซี มิลานต้องประทับใจก็คือเกมกับสโมสรนาโปลีที่เจ้าตัวสามารถทำประตูชัยได้สำเร็จ จากนั้นก็สามารถทำได้อีก 3 ประตูในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก
เรียกว่าในช่วงแรกนั้น โรนัลดินโญ่เปิดตัวกับยอดทีมจากอิตาลีได้แบบดูดีอยู่พอสมควร แต่พอการแข่งขันดำเนินมาถึงช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง มันกลายจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อสภาพความฟิตของเจ้าตัวนั้นมีปัญหา อีกทั้งระเบียบวินัยนอกสนามก็ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ เจ้าตัวใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ม้านั่งสำรอง สภาพร่างกายที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักทั้งบนผืนหญ้าและการล่าความสนุกในยามราตรี เริ่มส่งผลต่อพรสวรรค์ที่เจ้าตัวมี จนถึงขนาดกุนซืออย่าง ‘คาร์โล อันเชล็อตติ’ ต้องออกมาวิจารณ์ว่า
“ผมไม่แปลกใจเลยกับสภาพร่างกายของโรนัลดินโญ่ พรสวรรค์ของเขานั้นไม่ใช่ปัญหา แต่สภาพร่างกายที่ขาดความฟิตอย่างต่อเนื่องต่างหากที่เป็นปัญหา”
ในฤดูกาลถัดมา (2009 - 2010) โรนัลดินโญ่สามารถกลับมาสู่ฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมได้อีกครั้ง เมื่อได้รับบทบาทใหม่ในตำแหน่งกองกลางฝั่งซ้าย โดยในฤดูกาลนี้เจ้าตัวลงเล่นในกัลโช่ เซเรียอาไปกว่า 36 นัด ระยะเวลารวมกว่า 2,897 นาที เฉลี่ยได้ลงสนามนัดละ 80 นาที ทำประตูได้ทั้งสิ้น 12 ประตูกับอีก 18 แอสซิสต์ (อ้างอิงข้อมูลจาก transfermarkt.com) และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เล่นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดของสโมสรในฤดูกาลดังกล่าวอีกด้วย
อย่างไรก็ตามในฤดูกาลถัดมา ฟอร์มของโรนัลดินโญ่ก็หายเข้ากลีบเมฆไปอีกครั้ง เจ้าตัวเล่นได้เพียงครึ่งฤดูกาลก็ต้องลาจากถิ่นซานซีโร่ไปแบบเงียบ ๆ
กลับสู่แดนละตินเกียรติยศสุดท้ายคือแชมป์สโมสรอเมริกาใต้
หลังจากย้ายออกจากสโมสรเอซี มิลานโรนัลดินโญ่ตัดสินใจกลับมาค้าแข้งในลีกบ้านเกิดของตนเองกับสโมสรฟลาเมงโก้ และเจ้าตัวก็สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อลงสนามในฟุตบอลลีกสูงสุดของบราซิลไปกว่า 31 นัดในฤดูกาล 2011 และทำประตูได้ถึง 14 ประตูกับ 7 แอสซิสต์
จากนั้นในฤดูกาลถัดมาเจ้าตัวก็ย้ายไปค้าแข้งกับสโมสรคลับ แอตเลติโก มิเนโร่ และที่สโมสรแห่งนี้เจ้าตัวก็สามารถคว้าเกียรติยศสุดท้ายในการเล่นฟุตบอล นั่นก็คือการคว้าแชมป์รายการโคปา ลิเบอร์ตาดอเรส 2012 - 2013 ร่วมกับต้นสังกัด โดยเจ้าตัวลงสนามในรายการดังกล่าวไปทั้งสิ้น 14 นัด ทำประตูไป 4 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ พาสโมสรคลับ แอตเลติโก มิเนโร่ ขึ้นสู่ความเป็นยอดทีมของทวีปอเมริกาใต้ และก็มีส่วนร่วมพาสโมสรแห่งนี้ไปแข่งขันฟุตบอลสโมสรโลกหรือฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ (FIFA Club World Cup)
หลังจากโรนัลดินโญ่ประสบความสำเร็จกับสโมสรคลับ แอตเลติโก มิเนโร่ แล้วเจ้าตัวก็หันไปหาความท้าทายใหม่ในลีกเม็กซิโกก่อนจะกลับมาค้าแข้งให้กับสโมสรฟลูมิเนนเซ่ในประเทศบ้านเกิดเป็นสโมสรสุดท้ายในปี 2015 โดยลงสนามไปเพียง 7 นัดเท่านั้นก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะตัดสินใจยกเลิกสัญญากันด้วยดี
แต่อย่างไรก็ตาม การประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการของโรนัลดินโญ่กลับเกิดขึ้นในวันที่ 16 มกราคม ปี 2018 ผ่านทางพี่ชายของเจ้าตัว ซึ่งก็นับว่าเป็นการปิดฉากอาชีพนักฟุตบอลของโรนัลดินโญ่โดยสมบูรณ์
ชีวิตดำดิ่งหลังการจากลาผืนหญ้า
ชีวิตของโรนัลดินโญ่หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลไปแล้วกลับกลายเป็นที่ถูกพูดถึงอยู่หลายครั้ง เพราะเจ้าตัวต้องประสบกับมรสุมชีวิตมากมายดั่งเทวดาตกจากสวรรค์ เรื่องอื้อฉาวต่าง ๆ เกิดขึ้นจนกลบชื่อเสียงและผลงานในอดีตของเจ้าตัวไปจนแทบหมดสิ้น เริ่มจากในช่วงปี 2018 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของบราซิลได้นำเสนอข่าวว่า โรนัลดินโญ่กำลังจะจัดงานแต่งงานซ้ำซ้อนจนเจ้าตัวต้องรีบออกมาปฏิเสธเพราะการแต่งงานซ้ำซ้อนในประเทศบราซิลถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายและอาจต้องโทษจำคุกได้
แม้จะออกมาปฏิเสธ แต่ข่าวดังกล่าวก็ไม่ได้สงบลง เมื่อ ‘โคเอนโญ่’ แฟนสาวของเจ้าตัวตัดสินใจบอกเลิกและฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากโรนัลดินโญ่
เรื่องในครอบครัวยังไม่ทันจะจางหายไป เรื่องภายนอกก็เข้ามาถาโถมอีก เมื่อรัฐบาลบราซิลตัดสินใจฟ้องโรนัลดินโญ่ในข้อหาสิ่งแวดล้อมจากการที่เจ้าตัวสร้างท่าเรือและที่ตกปลาริมฝั่งแม่น้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ต้องชำระค่าปรับกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และที่เป็นข่าวดังก็คือ การที่โรนัลดินโญ่ต้องถูกจำคุกจากกรณีใช้พาสปอร์ตปลอมเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศปารากวัย
เรียกได้ว่าชีวิตหลังค้าแข้งของเจ้าตัวนั้นมีแต่เรื่องราวน่าปวดหัว อีกทั้งด้วยความที่โรนัลดินโญ่ติดนิสัยการปาร์ตี้อย่างหนัก และใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ทำให้เจ้าตัวมีหนี้สินมากมายจนต้องถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดเพื่อไปใช้หนี้ดังกล่าวจนแทบหมดเนื้อหมดตัว
นี่คือเรื่องราวของโรนัลโด เด อัสซิส โมเรร่า หรือ โรนัลดินโญ่ ยอดนักฟุตบอลทีมชาติบราซิลที่น่าจะเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตของคนทั่วไปได้เป็นอย่างดี
แม้เจ้าตัวจะมีพรสวรรค์บนผืนหญ้ามากมายเพียงไร หากใช้ชีวิตประมาทก็ต้องพบกับปัญหาที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็อดคิดไม่ได้นะครับว่า หากเจ้าตัวมีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตอย่างเช่นนักกีฬาอาชีพทั่วไป เส้นทางการค้าแข้งของเจ้าตัวจะเป็นอย่างไร จะยิ่งใหญ่ได้มากกว่านี้หรือไม่ ก็บอกได้ว่าเสียดายพรสวรรค์ของเจ้าตัวจริง ๆ ครับ
.
ภาพ : Getty Images