เดนนิส เบิร์กแคมป์ ตำนานแห่งอาร์เซนอลและอัศวินสีส้ม นักกีฬาคนแรกที่จะมีภาพบนแบงก์ยูโร

เดนนิส เบิร์กแคมป์ ตำนานแห่งอาร์เซนอลและอัศวินสีส้ม นักกีฬาคนแรกที่จะมีภาพบนแบงก์ยูโร

‘เดนนิส เบิร์กแคมป์’ (Dennis Bergkamp) อดีตนักฟุตบอลระดับตำนานของทีมชาติอัศวินสีส้มและสโมสรอาร์เซนอลแห่งเกาะอังกฤษมาไว้บนธนบัตรใบดังกล่าว ซึ่งเขาเป็นนักกีฬาฮอลแลนด์คนแรกที่ได้รับเกียรตินี้

  • เดนนิส เบิร์กแคมป์ เป็นอดีตนักฟุตบอลระดับตำนานของทีมชาติอัศวินสีส้มและสโมสรอาร์เซนอล
  • เขาเป็น เจ้าของประตูสุดคลาสสิคที่เป็นประตูชัยให้เนเธอร์แบนด์ชนะอาเจนตินาเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลกปี ’98

ช่วงต้นเดือนธันวาคม ค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา Mirror สื่อชื่อดังของประเทศอังกฤษได้นำเสนอข่าวว่า กระทรวงการคลังของประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์ ได้มีการออกธนบัตร 8 ยูโรฉบับพิเศษขึ้นมา โดยจะนำภาพของ ‘เดนนิส เบิร์กแคมป์’ (Dennis Bergkamp) อดีตนักฟุตบอลระดับตำนานของทีมชาติอัศวินสีส้มและสโมสรอาร์เซนอลแห่งเกาะอังกฤษมาไว้บนธนบัตรใบดังกล่าว ซึ่งเขาเป็นนักกีฬาฮอลแลนด์คนแรกที่ได้รับเกียรตินี้

สำหรับธนบัตร 8 ยูโรฉบับพิเศษที่จะออกมานั้น ภาพด้านหน้าจะเป็นรูปของเบิร์กแคมป์ ขณะที่ด้านหลังจะเป็นรูปเหตุการณ์ที่เบิร์กแคมป์ยิงประตูสุดคลาสสิกใส่ทีมชาติอาร์เจนตินาในการแข่งขันฟีฟ่า เวิลด์ คัพ (FIFA World Cup) ปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ 

เดนนิส เบิร์กแคมป์ ถือได้ว่าเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จในการลงเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสรอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมก่อนที่จะกลายไปเป็นอีกหนึ่งตำนานของทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอลในเวลาต่อมา โดยเจ้าตัวมีส่วนสำคัญในการพายอดทีมจากกรุงลอนดอนคว้าแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (Premier League) ของประเทศอังกฤษได้ถึง 3 สมัย รวมทั้งยังสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยเอฟเอ คัพ (FA Cup) มาครองได้อีก 4 สมัย ซึ่งผลงานความสำเร็จของเบิร์กแคมป์ที่มีร่วมกับสโมสรอาร์เซนอลในยุคนั้น ยังคงตราตรึงใจเหล่ากูนเนอร์สมาจนถึงทุกวันนี

ส่วนผลงานกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์นั้น แม้ว่าเบิร์กแคมป์จะไม่อาจพาทีมอัศวินสีส้มประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ฟุตบอลรายการสำคัญอย่าง ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ (UEFA European Championship) และฟีฟ่า เวิลด์ คัพ มาครองได้อย่างที่ฝัน แต่ในทุกที่ที่ลงสนามแข่งขันเจ้าตัวมักจะสร้างผลงานที่น่าประทับใจเอาไว้บนผืนหญ้าได้เสมอ จนในทุกวันนี้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในตำนานนักฟุตบอลของประเทศเนเธอร์แลนด์

เรื่องราวเส้นทางชีวิตบนผืนหญ้าในฐานะนักฟุตบอลระดับตำนานของเดนนิส เบิร์กแคมป์ จะเป็นอย่างไร ทำไมรูปภาพของเจ้าตัวถึงถูกเลือกไปอยู่บนธนบัตรฉบับพิเศษดังที่ได้เกริ่นเอาไว้ เรามาร่วมเดินทางย้อนอดีตไปด้วยกันครับ

ฉายแววความเป็นยอดนักเตะกับอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

เดนนิส เบิร์กแคมป์ เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1969 ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม โดยครอบครัวของเบิร์กแคมป์ไม่ได้มีความมั่งคั่งมากมายนัก คุณพ่อของเจ้าตัวมีอาชีพหลักเป็นช่างไฟฟ้าและเป็นนักฟุตบอลของสโมสรในระดับสมัครเล่น ซึ่งกิจกรรมอย่างหนึ่งของครอบครัวนี้ ก็คือการเดินทางไปให้กำลังใจในเวลาที่คุณพ่อลงสนามแข่งขัน และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เจ้าหนูเบิร์กแคมป์สนใจในโลกของกีฬาลูกหนัง

เขามีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลตามแบบอย่างคุณพ่อของตนเอง กาลเวลาผ่านไป เจ้าหนูเบิร์กแคมป์ก็ได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเชิงลูกหนังตามสนามฟุตบอลต่าง ๆ จนถึงวัย 11 ปี โอกาสสำคัญของเจ้าตัวก็มาถึง เมื่อเบิร์กแคมป์ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอะคาเดมี่ทีมฟุตบอลเยาวชนสโมสรอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 

โดยเจ้าตัวใช้เวลาฝึกฝนศาสตร์ลูกหนัง ณ สถานที่แห่งนี้เป็นระยะเวลากว่า 6 ปี ก่อนจะถูกผลักดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ลงแข่งขันฟุตบอลเอเรอดิวิซี (Eredivisie) หรือก็คือฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฤดูกาล 1986 -1987

เบิร์กแคมป์มีโอกาสลงสนามแข่งขันฟุตบอลเอเรอดิวิซี ให้กับสโมสรอาแจ็กซ์ เป็นครั้งแรกในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1986 โดยเป็นเกมที่ทีมของเขาต้องพบกับสโมสรโรด้า เจซี โดยเจ้าตัวมีโอกาสลงไปสัมผัสบรรยากาศการแข่งขันในสนามนานกว่า 20 นาที จากนั้นก็สามารถจารึกชื่อว่าเป็นผู้ทำประตูให้กับสโมสรได้สำเร็จในการลงสนามนัดที่สองของเจ้าตัว เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1987 ซึ่งเกมดังกล่าวสโมสรอาแจ็กซ์สามารถเปิดบ้านเอาชนะสโมสรเอชเอฟซี ฮาร์เลม ไปได้แบบถล่มทลายถึง 6 - 0

เบิร์กแคมป์ค้าแข้งอยู่กับสโมสรอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เป็นระยะเวลากว่า 7 ฤดูกาล โดยเจ้าตัวลงสนามไปทั้งหมด 238 นัด ทำประตูไปได้ 122 ประตูกับอีก 23 แอสซิสต์ มีส่วนสำคัญในการพาสโมสรแห่งนี้คว้าแชมป์เอเรอดิวิซีได้ในฤดูกาล 1989 - 1990 และฟุตบอลถ้วยเคเอ็นวีบี คัพ (KNVB Cup) ในฤดูกาล 1986 - 1987 และ 1992 - 1993 ตามลำดับ 

ขณะที่ในการแข่งขันฟุตบอลถ้วยสโมสรยุโรป เบิร์กแคมป์สามารถพาอาแจ็กซ์คว้าแชมป์ฟุตบอลยูฟ่า คัพ (UEFA Cup) ไปครองได้สำเร็จในฤดูกาล 1991 - 1992 และเมื่อพิจารณาผลงานส่วนตัวที่เจ้าตัวครองตำแหน่งดาวยิงสูงสุดของฟุตบอลเอเรอดิวิซีได้ถึง 3 ฤดูกาล (1990 - 1991, 1991 - 1992 และ 1992 - 1993) รวมทั้งได้ครองตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของประเทศเนเธอร์แลนด์ 2 สมัย (1991, 1992) แล้ว ทุกท่านคงจะเห็นไม่ต่างจากผมว่าฟุตบอลลีกของเนเธอร์แลนด์นั้นเล็กไปสำหรับชายที่ชื่อ เดนนิส เบิร์กแคมป์ แล้ว

ความท้าทายใหม่บนแผ่นดินอิตาลี

เมื่อเบิร์กแคมป์ประสบความสำเร็จมากมายกับสโมสรอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ก็ถึงเวลาที่เจ้าตัวต้องออกมาหาความท้าทายใหม่กับสโมสรที่ใหญ่ขึ้นอย่าง ‘อินเตอร์ มิลาน’ ในศึกฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา (Calco Series A) ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นฟุตบอลลีกที่รวมยอดนักฟุตบอลของโลกใบนี้เอาไว้มากมาย และเบิร์กแคมป์คือหนึ่งในนั้น สื่อหลายสำนักต้องการเห็นฟอร์มการถล่มประตูของแข้งดัตช์รายนี้ เช่นเดียวกับแฟนฟุตบอลของทีมงูใหญ่

“อินเตอร์ มิลาน คือสโมสรที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการของผมได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือสนามฟุตบอล ผู้คนในสโมสร และสไตล์การเล่น”

นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของเบิร์กแคมป์ หลังได้เซ็นสัญญามูลค่ากว่า 7 ล้านปอนด์กับสโมสรยักษ์ใหญ่จากอิตาลีแห่งนี้ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 2 ฤดูกาลในปี 1993 - 1995 เจ้าตัวไม่สามารถสร้างผลงานที่น่าประทับใจในศึกกัลโช่ เซเรีย อา ได้ จะมีก็เพียงการพาสโมสรแห่งนี้คว้าแชมป์ฟุตบอลยูฟ่า คัพในฤดูกาล 1993 - 1994 โดยเจ้าตัวคว้ารางวัลดาวยิงสูงสุดของรายการไปครองได้ด้วยจำนวนทั้งสิ้น 8 ประตู 

ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งดีสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นของเขากับการตัดสินใจย้ายมาอยู่กับสโมสรแห่งนี้ โดยเบิร์กแคมป์ลงสนามให้กับสโมสรอินเตอร์ มิลาน ไปทั้งสิ้น 72 นัด ทำประตูได้เพียง 22 ประตูกับอีก 11 แอสซิสต์เท่านั้น

เกิดใหม่กับ ‘ปืนใหญ่’ หนึ่งในขุนพลชุดตำนานของอาร์เซนอล

หลังจากเบิร์กแคมป์ไม่อาจสร้างผลงานได้เป็นที่น่าพอใจในถิ่นจูเซปเป้ เมอัซซ่า เจ้าตัวก็มุ่งหน้าจากมิลานมาสู่กรุงลอนดอน เพื่อเริ่มต้นใหม่กับสโมสรอาร์เซนอลในช่วงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1995 ด้วยมูลค่าสัญญากว่า 7.5 ล้านปอนด์ แต่ในฤดูกาลแรกกับทีมปืนใหญ่ เบิร์กแคมป์ยังทำผลงานได้ไม่ดีอย่างที่หลายคนหวัง เจ้าตัวยังมีปัญหากับการเล่นฟุตบอลในสไตล์อังกฤษ 

แต่หลังจากนั้นไม่นาน เบิร์กแคมป์ก็เริ่มฉายฟอร์มเด่นออกมา

ฤดูกาล 1997 - 1998 นับว่าเป็นปีที่ดีที่สุดของเบิร์กแคมป์ เจ้าตัวสามารถพาทีมอาร์เซนอลคว้าดับเบิลแชมป์ได้ทั้งแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก และแชมป์ฟุตบอล เอฟเอ คัพ โดยในฤดูกาลดังกล่าว เขาลงสนามในฟุตบอลทั้งสองรายการไปทั้งหมด 34 นัด ทำได้ 18 ประตูกับอีก 12 แอสซิสต์ 

จากนั้นในฤดูกาล 2001 - 2002 ทีมปืนใหญ่ก็สามารถคว้าดับเบิลแชมป์ได้อีกครั้ง ซึ่งเขาลงสนามทั้งสองรายการไป 39 นัด ทำประตูทั้งสิ้น 12 ประตูกับ 14 แอสซิสต์ จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงปลายของชีวิตการค้าแข้ง แต่ใช่ว่าเบิร์กแคมป์จะไม่มีประโยชน์กับทีม

เจ้าตัวยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมเสมอ โดยในฤดูกาล 2003 - 2004 เบิร์กแคมป์สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก ร่วมกับทีมได้สำเร็จเป็นสมัยที่ 3 เจ้าตัวลงสนามในฟุตบอลลีกไปทั้งหมด 28 นัด ทำได้ 4 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ อีกทั้งในฤดูกาล 2002 - 2003 และ 2004 - 2005 เขาก็ยังร่วมสร้างผลงานคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้เป็นสมัยที่ 3 และ 4 ตามลำดับ

เรียกได้ว่าตลอดระยะเวลากว่า 11 ปีที่เบิร์กแคมป์ย้ายมาร่วมทีมอาร์เซนอล เจ้าตัวได้เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยยกระดับทีมให้สามารถต่อกรแย่งแชมป์กับยอดทีมในยุคนั้นอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ความสามารถของเบิร์กแคมป์ได้รับการยอมรับจากเหล่ากูนเนอร์สอย่างกว้างขวาง ขนาดอดีตตำนานอีกคนอย่าง ‘เอียน ไรท์’ ยังเคยออกมากล่าวว่า

“เดนนิส เบิร์กแคมป์ คือการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรอาร์เซนอล เพราะด้วยความสามารถของเขา เขาเข้ามาเปลี่ยน DNA และสร้างความสำเร็จให้กับทีมได้ และมันเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ลงเล่นกับคนที่มีความสามารถเช่นนั้น”

คำกล่าวดังกล่าวของอีกหนึ่งยอดตำนานดูจะไม่เกินจริงในสายตาของแฟนบอลและสโมสร เมื่ออาร์เซนอลตัดสินใจสร้างรูปปั้นทองแดงของเบิร์กแคมป์ติดตั้งเอาไว้ที่บริเวณหน้าสนามเอมิเรตส์ สเตเดียม อันเป็นรังเหย้าของสโมสร เพื่อเป็นการยกย่องแข้งดัตช์รายนี้ว่าคือหนึ่งในตำนานตลอดกาล ณ ที่แห่งนี้ สำหรับสถิติของเบิร์กแคมป์ตลอดระยะเวลากว่า 11 ฤดูกาลกับอาร์เซนอลนั้น เจ้าตัวลงสนามไปทั้งหมด 421 นัด ทำได้ 119 ประตูกับ 101 แอสซิสต์

“ความยิ่งใหญ่ของสโมสรอาร์เซนอลตลอด 20 ปีให้หลัง ผมมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาเหล่านั้น ทุกคนต่างเห็นผมเล่นเพื่อทีมและมีแค่รูปปั้นของผม ซึ่งจริง ๆ แล้วเราทำงานกันเป็นทีม และผมเชื่อว่าการที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ดี มันช่วยส่งเสริมให้ผมทำผลงานได้ดี"

เดนนิส เบิร์กแคมป์ กล่าวกับสื่อมวลชนในวันเปิดตัวรูปปั้นทองแดงของตนเองเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014

ประตูสุดคลาสสิกในฟรองซ์ ’98 สู่เรื่องราวหลังธนบัตรยูโร

เบิร์กแคมป์ติดทีมชาติเนเธอร์แลนด์และมีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2 ครั้ง คือในปี 1994 และ 1998 ซึ่งแม้ว่าทีมชาติเนเธอร์แลนด์ของเจ้าตัวจะยังไม่สามารถสร้างความสำเร็จไปจนถึงแชมป์โลกจากการแข่งขันรายการดังกล่าวได้ แต่เขาได้สร้างประตูสุดคลาสสิกฝากไว้ให้โลกได้จดจำ และยังมีการกล่าวถึงประตูดังกล่าวมาจนทุกวันนี้

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในการแข่งขันฟุตบอลโลกหรือฟีฟ่า เวิลด์ คัพ ปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ โดยเป็นการพบกันระหว่างทีมชาติเนเธอร์แลนด์กับทีมชาติอาร์เจนตินา ในรอบควอเตอร์ไฟนอลหรือรอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1998 ณ สนามสต๊าด เวโลโดรม เมืองมาร์เซย์ 

โดยขณะที่เกมการแข่งขันกำลังสนุกดุเดือดและผลการแข่งขันก็เสมอกันอยู่ที่ 1 - 1 จนเกมดำเนินมาถึงนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน เบิร์กแคมป์ได้โชว์ทักษะการเอาบอลลงพื้นจากการเปิดบอลยาวมาจากกึ่งกลางสนาม จากนั้นล็อกหลบกองหลังก่อนจะดีดบอลผ่านตัวคาร์ลอส โรอา ผู้รักษาประตูทีมชาติอาร์เจนตินาเข้าไปอย่างสวยงาม

ประตูดังกล่าวกลายเป็นประตูชัยให้อัศวินสีส้มเอาชนะทีมชาติอาร์เจนตินาไปได้ 2 - 1 ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลกปี ’98 ก่อนท้ายที่สุดจะจบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 4 พลาดเหรียญรางวัลไปอย่างน่าเสียดาย 

นับจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ กาลเวลาผ่านมาแล้วกว่า 25 ปี ประตูสำคัญสุดคลาสสิกนั้นจะถูกถ่ายทอดเป็นภาพวาดลงหลังธนบัตร 8 ยูโรที่ควรค่าแก่การสะสมเป็นอย่างยิ่ง และสำหรับท่านที่สงสัยว่าทำไมต้องเป็นธนบัตร 8 ยูโร นั่นก็เพราะว่าเลข 8 คือเบอร์เสื้อของเบิร์กแคมป์ในทีมชาติเนเธอร์แลนด์ครับ

และนี่คือเรื่องราวของ เดนนิส เบิร์กแคมป์ นักฟุตบอลที่เป็นระดับตำนานของทั้งสโมสรและทีมชาติ จนได้รับเกียรติให้รูปและผลงานของเจ้าตัวถูกจารึกอยู่ในธนบัตรยูโรฉบับพิเศษ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้บ่อยนักที่นักกีฬาจะได้รับเกียรตินั้น

.

ภาพ : Getty Images