‘พรรษา เหมวิบูลย์’ กองหลังจอมแกร่งแห่งทัพช้างศึก ผู้เติบโตจากอุปสรรคและความขาดแคลน

‘พรรษา เหมวิบูลย์’ กองหลังจอมแกร่งแห่งทัพช้างศึก ผู้เติบโตจากอุปสรรคและความขาดแคลน

เรื่องราวของ ‘พรรษา เหมวิบูลย์’ นักฟุตบอลที่ต่อสู้ทั้งในและนอกสนามอย่างไม่มีวันย่อท้อ และผ่านมาแล้วทุกความกดดัน

  • พรรษา เหมวิบูลย์ เป็นนักฟุตบอลที่มีความสูงถึง 190 เซนติเมตร แต่ที่มาของความสูงดังกล่าวนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ได้น่าอภิรมย์เท่าใดนัก เพราะมันมาจากการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของเจ้าตัวในวัยเด็ก
  • เป็นระยะเวลากว่า 7 ปีโดยประมาณ พรรษายังคงเป็นกำลังสำคัญที่ทีมปราสาทสายฟ้าจะขาดไปไม่ได้ สถิติการลงสนามรับใช้สโมสรมาแล้วกว่า 237 นัด ระยะเวลารวมกว่า 19,867 นาที
  • พรรษา เหมวิบูลย์ คือกองหลังที่กุนซือทีมชาติไทยเรียกใช้บริการโดยตลอด ระหว่างปี 2018 - 2019 แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ห่างหายจากทีมชาติไป ก่อนจะกลับมาเป็นกำลังสำคัญอีกครั้งในช่วงปี 2022 

ฟุตบอลทีมชาติไทยทำผลงานในศึกการแข่งขัน ‘ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งเอเชีย’ หรือ ‘เอเอฟซี เอเชียน คัพ’ (AFC Asian Cup) ประจำปี 2023 ณ ประเทศกาตาร์ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยสองนัดแรกที่ขุนพลช้างศึกลงสนามพบกับทีมชาติคีร์กีซสถานและทีมชาติโอมานนั้น ทีมชาติไทยสามารถเก็บคลีนซีตหรือก็คือการไม่เสียประตูให้กับคู่แข่งขันเลยได้ทั้ง 2 เกม ท่ามกลางเสียงชื่นชมถึงความมีวินัยในเกมรับของทีมชาติไทยชุดนี้

โดยหนึ่งในนักฟุตบอลที่เป็นกำลังสำคัญก็คงจะหนีไม่พ้นกองหลังร่างโย่งเจ้าของความสูง 190 เซนติเมตรอย่าง ‘พรรษา เหมวิบูลย์’ จากสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

พรรษา เหมวิบูลย์ เป็นนักฟุตบอลที่มีเรื่องราวเส้นทางชีวิตน่าสนใจ เจ้าตัวต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ กว่าจะขึ้นมาเป็นหนึ่งในกองหลังคนสำคัญของทีมชาติไทย เป็นบุคคลที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาชีวิตจะนำมาซึ่งแสงสว่างแห่งความสำเร็จ 

เรื่องราวของเจ้าตัวจะเป็นอย่างไร เรามาร่วมเดินทางไปด้วยกันครับ

จุดเด่นที่เกิดขึ้นมาจากความยากจน

พรรษา เหมวิบูลย์ เป็นนักฟุตบอลที่มีความสูงถึง 190 เซนติเมตร ความสูงแบบนี้ถือว่าหาได้ไม่ง่ายนักในนักฟุตบอลไทย และนั่นจึงทำให้เจ้าตัวมีความโดดเด่นโดยเฉพาะในเรื่องของการป้องกันลูกกลางอากาศ อันมีความจำเป็นอย่างมากในการแข่งขันฟุตบอลระดับเอเชีย แต่ใครจะรู้ครับว่าที่มาของความสูงดังกล่าวนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ได้น่าอภิรมย์เท่าใดนัก แต่มันมาจากการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของเจ้าตัวในวัยเด็ก

พรรษาเกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1990 ณ จังหวัดจันทบุรี โดยคุณพ่อและคุณแม่ของเจ้าตัวทำงานเป็นแรงงานเจียระไนเพชรแบบรายวัน นั่นจึงทำให้ครอบครัวของเขาไม่ได้สุขสบายมากนัก เรื่องอาหารการกินก็ไม่สามารถเลือกกินได้อย่างที่ใจตนเองต้องการ วันไหนมีกินจนอิ่มท้องก็ดีไป แต่วันไหนพ่อ แม่และพี่ ไม่สามารถหางานได้ วันนั้นความหิวก็จะมาเยือนอย่างไม่ต้องสงสัย

เพื่อเอาตัวรอดจากสภาพความเป็นอยู่ดังกล่าว พรรษาในวัยเด็กจึงอาศัยกินนมฟรีจากที่โรงเรียน ทั้งในส่วนของตนเองและส่วนที่เหลือจากการแจกนักเรียนคนอื่น เพื่อให้อยู่ท้องหรือบรรเทาความหิวโหยนั่นเอง แต่การกระทำดังกล่าวกลับเป็นผลดีต่อตัวของพรรษาเองในทางอ้อม เพราะการดื่มนมอย่างเพียงพอทำให้ร่างกายของเขาสามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่และแข็งแรงกว่าเด็กนักเรียนในวัยเดียวกัน และนั่นก็มีผลต่อการเล่นฟุตบอลของเจ้าตัวในเวลาต่อมา 

จากสนามฟุตบอลโรงเรียนวัดสู่รั้วชงโคสีม่วง

ในวัยเด็ก พรรษา เหมวิบูลย์ มีรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าเพื่อนวัยเดียวกัน นั่นทำให้เจ้าตัวได้เริ่มต้นเล่นฟุตบอลในตำแหน่งผู้รักษาประตู แต่ก็ไม่โดดเด่นเท่าใดนัก จึงเปลี่ยนไปเล่นกองหน้า จากนั้นก็ถอยมาเป็นกองกลาง ก่อนที่ในท้ายที่สุดจะมาลงเอยกับการเล่นในตำแหน่งกองหลังอย่างเช่นทุกวันนี้ 

โดยจุดเริ่มต้นในการเล่นฟุตบอลของพรรษานั้นก็มาจากการเล่นฟุตบอลกับผู้ใหญ่ ณ สนามโรงเรียนวัดแถวบ้านเกิด ก่อนที่เจ้าตัวจะมีโอกาสมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนเบญจมานุสรณ์ จันทบุรี และไปคัดตัวเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของจังหวัดเพื่อไปเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ โดยมี ‘โค้ชไข่’ อิทธิกร เหมหงส์ เป็นผู้ดูแลและปลุกปั้น

จนวันหนึ่งเหมือนโชคชะตาได้ขีดเขียนไว้ เมื่อทีมเยาวชนจังหวัดจันทบุรีได้มีโอกาสลงสนามอุ่นเครื่องกับทีมโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ยักษ์ใหญ่ในวงการลูกหนังนักเรียนของประเทศไทย ซึ่งฟอร์มการเล่นของพรรษาในวันนั้นไปเข้าตาทีมงานของทีมชงโคสีม่วงเข้าอย่างจัง จนมีการทาบทามให้มาเป็นนักฟุตบอลในโครงการช้างเผือกของโรงเรียน แน่นอนครับว่าเจ้าตัวตอบตกลงอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะทั้งเรียนฟรีและได้รับการดูแลเป็นอย่างดีในทุกด้านของชีวิต

พรรษามุ่งมั่นตั้งใจฝึกซ้อมและพัฒนาฝีเท้าของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดูแลของ ‘โค้ชบู๋’ จักราช โทนหงษา อดีตผู้เล่นทีมชาติไทยและสโมสรโอสถสภา จนเมื่อถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เจ้าตัวก็ติดทีมนักเรียนไทยรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ไปแข่งขันฟุตบอลนักเรียนชิงแชมป์เอเชีย

จุดเริ่มต้นของชีวิตนักฟุตบอลอาชีพที่ไม่มั่นคง

หลังจาก พรรษา เหมวิบูลย์ เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยแล้ว เจ้าตัวก็ได้ทุนนักกีฬาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยในระหว่างที่พรรษาศึกษาอยู่ในรั้วของจุฬาฯ เจ้าตัวก็ได้เล่นฟุตบอลอาชีพให้กับสโมสรจามจุรี ยูไนเต็ดเป็นระยะเวลาประมาณ 3 ฤดูกาล ระหว่างปี ค.ศ. 2011 - 2014 โดยได้รับเงินเดือนอยู่ราว 15,000 บาท 

เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว พรรษาได้ย้ายไปค้าแข้งกับสโมสรทีโอที เอสซี เป็นจำนวน 2 ฤดูกาล ที่สโมสรแห่งนี้พรรษาต้องพบกับความยากลำบากมากมาย ทั้งการไม่ได้รับโอกาสในการลงสนาม รวมไปถึงปัญหาการค้างค่าจ่ายเงินเดือน โดยในช่วงเวลานั้นเจ้าตัวรับเงินค่าจ้างอยู่ราว 50,000 บาทต่อเดือน

การไม่ได้รับค่าจ้างตามกำหนดของพรรษาในช่วงเวลานั้น ทำให้เจ้าตัวต้องพบกับช่วงชีวิตที่แสนยากลำบาก ด้วยปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาอย่างมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือการป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายของคุณพ่อที่พรรษาเคารพรัก เจ้าตัวจึงต้องดิ้นรนทุกทางแม้แต่การหยิบยืมเงินบุคคลใกล้ชิดเพื่อนำมาใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลของคุณพ่อและการดำรงชีวิตของตัวเอง เรียกได้ว่ากว่าที่พรรษาจะผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาได้นั้นก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งของจิตใจอยู่ไม่น้อย

จากนั้นในช่วงปี ค.ศ. 2016 หลังจากที่สโมสรทีโอที เอสซี ได้ปิดตัวลง พรรษาก็ได้มีโอกาสไปเริ่มต้นใหม่กับทีมในลีกรองอย่างสโมสรขอนแก่น ยูไนเต็ด แต่ก็เหมือนหนังชีวิตที่มีแต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อสโมสรดังกล่าวถูกเพิกถอนสิทธิ์การทำทีม จนทำให้เจ้าตัวต้องกลายเป็นนักฟุตบอลว่างงานอีกครั้ง

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สโมสรผู้พลิกชีวิต จากดินสู่ดวงดาว

หลังจากพรรษาต้องพบกับเรื่องราวมากมายในเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ความผิดหวัง ความล้มเหลว เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิด ต่างเข้ามาเปรียบเหมือนมรสุมรุมเร้าแบบต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเป็นบางคนก็อาจจะท้อแท้สิ้นหวังไปแล้ว แต่สำหรับนักฟุตบอลที่ชื่อ พรรษา เหมวิบูลย์ กลับไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าตัวยังคงมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อที่จะหาโอกาสกลับไปเล่นฟุตบอลอาชีพให้ได้ และในที่สุดโอกาสครั้งสำคัญก็มาถึงเจ้าตัว

ปี ค.ศ. 2017 พรรษาได้รับโอกาสที่ไม่คาดฝันเมื่อยอดสโมสรฟุตบอลของประเทศไทยอย่าง ‘บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด’ ให้ความสนใจในตัวของเขา ซึ่งก็แน่นอนครับว่าเจ้าตัวก็ตอบรับโอกาสดังกล่าว แม้หลายคนจะบอกว่าโอกาสที่พรรษาจะได้เป็นกำลังสำคัญของทีมนั้นเป็นเรื่องยากมาก แค่ได้มีโอกาสในม้านั่งสำรองก็ถือว่าเป็นอะไรที่สุดยอดแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ก็เหมือนจะเป็นแบบนั้น เมื่อในนัดเปิดสนามของศึกฟุตบอลไทยลีก 2017 เจ้าตัวมีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองและไม่ได้รับโอกาสในการลงสนาม

แต่หลังจากนั้นพรรษากลับทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อเจ้าตัวสามารถขึ้นมายึดตำแหน่งตัวจริงของทีมได้สำเร็จแบบต่อเนื่อง โดยเมื่อจบฤดูกาลดังกล่าวพรรษาลงสนามให้กับทีมปราสาทสายฟ้าไปทั้งสิ้นกว่า 43 นัด แบ่งเป็นฟุตบอลเอฟเอซี แชมเปียนส์ ลีก 7 นัด ไทยลีก 31 นัด และฟุตบอลถ้วยภายในประเทศอีก 5 นัด กล่าวได้ว่าเจ้าตัวคือกำลังหลักคนสำคัญของทีมอย่างไม่ต้องสงสัย ชื่อของพรรษา เหมวิบูลย์ จากนักฟุตบอลที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก สู่การคว้ารางวัล ‘นักฟุตบอลชายยอดเยี่ยม’ ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยหรือ FA Thailand Award ในปี 2017 

“ผมเองรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในวันนี้มากครับ ต้องขอขอบคุณโค้ชทุกท่าน ตลอดจนผู้ใหญ่ทุกท่านที่ให้โอกาสผม ขอบคุณมากครับ”

คำกล่าวของพรรษา เหมวิบูลย์ ในตอนขึ้นรับรางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยม และนับจากวันที่เจ้าตัวเริ่มต้นกับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในปี ค.ศ. 2017 จนมาถึงปัจจุบันนี้ (เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2024) เป็นระยะเวลากว่า 7 ปีโดยประมาณ พรรษายังคงเป็นกำลังสำคัญที่ทีมปราสาทสายฟ้าจะขาดไปไม่ได้ สถิติการลงสนามรับใช้สโมสรมาแล้วกว่า 237 นัด ระยะเวลารวมกว่า 19,867 นาที (อ้างอิงจาก Transfermarkt) เป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างชัดเจน และก็แน่นอนครับว่าเมื่อเจ้าตัวสามารถทำผลงานกับต้นสังกัดได้อย่างยอดเยี่ยม ประตูแห่งความฝันและโอกาสครั้งสำคัญก็เปิดออก สิ่งที่เป็นความฝันของเจ้าตัวมาตั้งแต่วัยเยาว์กำลังจะเป็นความจริง นั่นก็คือการได้ลงสนามในนาม ‘ทีมชาติไทย’ อันเป็นเกียรติยศและความฝันสูงสุดของนักฟุตบอลไทยแทบจะทุกคน

ทีมชาติไทยเกียรติยศสูงสุดของ ‘พรรษา เหมวิบูลย์’

หลังจากที่พรรษาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจ้าตัวก็ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตของการเป็นนักฟุตบอล นั่นก็คือการได้มีโอกาสลงสนามแข่งขันในนามทีมชาติไทย ซึ่งเกมแรกของเจ้าตัวอย่างเป็นทางการคือการแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตร หรือ FIFA International A Match กับทีมชาติอุซเบกิสถาน เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2017 จากนั้นก็เป็นเกมฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย ซึ่งเจ้าตัวก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในนัดที่ทีมชาติไทยสามารถเปิดบ้านเสมอกับทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไป 1 - 1

พรรษา เหมวิบูลย์ คือกองหลังที่กุนซือทีมชาติไทยเรียกใช้บริการโดยตลอดผ่านศึกใหญ่ทั้งเอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพ 2018 ชุดตกรอบรองชนะเลิศ, เอเอฟซี เอเชียน คัพ 2019 ชุดเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย, ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกในปี 2019 แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ห่างหายจากทีมชาติไป จะมีก็ได้ลงสนามบ้างแต่ก็ไม่มากมายนัก ก่อนจะกลับมาเป็นกำลังสำคัญอีกครั้งในช่วงปี 2022 โดยเป็นกำลังสำคัญในการพาทีมชาติไทยผ่านรอบคัดเลือกการแข่งขันฟุตบอลเอเอฟซี เอเชียน คัพ 2023 และคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพ 2022 มาครองได้แบบสะใจคนไทยทั้งประเทศด้วยการโค่นทีมชาติเวียดนามลงได้ในรอบชิงชนะเลิศ

แต่หลังจากคว้าแชมป์อาเซียนได้แล้วนั้น ตลอดปี 2023 ที่ผ่านมา พรรษาก็แทบไม่ได้ลงสนามให้กับทีมชาติไทยอีกเลย ก่อนจะกลับมามีชื่อลงสนามในเกมสำคัญอีกครั้งในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกกับทีมชาติจีน ก่อนจะได้รับบาดเจ็บจากเกมดังกล่าว แต่ในท้ายที่สุดเจ้าตัวก็หายทันและกลับมาลงสนามเป็นกำลังหลักของทีมชาติไทยในศึกเอเอฟซี เอเชียน คัพ 2023 และสร้างประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญพาทีมชาติไทยเก็บคลีนซีตใน 2 นัดแรกของทัวร์นาเมนต์ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

ครับ และนี่คือเรื่องราวของยอดกองหลังทีมชาติไทยที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาอย่างมากมาย นักฟุตบอลผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาชีวิต นักฟุตบอลที่ต่อสู้ทั้งในและนอกสนามอย่างไม่มีวันย่อท้อ นักฟุตบอลที่ผ่านมาแล้วทุกความกดดัน .... ‘พรรษา เหมวิบูลย์’ เรามาร่วมกันเป็นกำลังใจให้กับเจ้าตัวและทีมชาติไทยกันครับ

 

เรื่อง : ธิษณา ธนคลัง (The Sportory)
ภาพ : ช้างศึก / Facebook

อ้างอิง :
Buriram United 
Transfermarkt 
Youtube : คนไม่ยอมแพ้! ชีวิตต้องสู้ของ พรรษา เหมวิบูลย์ กองหลังจอมแกร่งทีมชาติไทย I จอน