19 ส.ค. 2566 | 14:17 น.
- วรวุธ ศรีมะฆะ นักฟุตบอลทีมชาติไทยที่ผันตัวมาเป็นโค้ชหลังโบกมือลาอาชีพค้าแข้งมีวีรกรรมและเกียรติประวัติที่น่าสนใจทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ
- วรวุธ ศรีมะฆะ เป็นนักเตะที่ได้รับความสนใจจากสโมสรอัล-นาสเซอร์ ในซาอุดิอาระเบีย แต่มีเหตุสุดวิสัยทำให้ดีลล่ม
หากจะเอ่ยถึงยุครุ่งเรืองของฟุตบอลไทย คงไม่มีใครปฏิเสธว่าในยุค 90s ถึง 2000 นั้น วงการฟุตบอลไทยมีการพัฒนา สร้างผลงานได้แบบก้าวกระโดด ทีมชาติไทยสามารถครองความเป็นเจ้าอาเซียนได้แทบจะสมบูรณ์แบบโดยสามารถคว้าแชมป์ได้ทั้งฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน หรือเอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพ และคว้าเหรียญทองกีฬาซีเกมส์ได้แบบต่อเนื่อง
ขณะในที่ในระดับเอเชีย ทีมชาติไทยสามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายในฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียหรือเอเอฟซี เอเชียน คัพ และการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกรอบ 10 ทีมสุดท้าย รวมทั้งยังสามารถคว้าอันดับที่ 4 ในกีฬาเอเชียนเกมส์ได้อีกด้วย
ขณะที่ในระดับสโมสรนั้น สโมสรฟุตบอลธนาคารกสิกรไทยสามารถก้าวไปถึงการเป็นแชมป์สโมสรเอเชียอย่างรายการเอเชียน คลับ แชมเปียนชิพ (Asian Club Championship) ได้ 2 สมัย และแชมป์สโมสรระหว่างทวีปเอเชีย และแอฟริกาในรายการแอฟโฟร-เอเชียน คลับ แชมเปียนชิพ (Afro-Asian Club Championship) ได้อีกสมัย นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของวงการฟุตบอลไทย
หนึ่งในนักฟุตบอลที่ผ่านช่วงเวลาดังกล่าวมาแล้ว และได้รับการกล่าวถึงมากคนหนึ่งในปัจจุบันนี้ก็คือ ‘โย่ง’ วรวุธ ศรีมะฆะ นักฟุตบอลที่ผ่านการคว้าแชมป์สูงสุดระดับสโมสรกับทั้งสโมสรฟุตบอลธนาคารกสิกรไทยและสโมสรบีอีซี เทโรศาสน ขณะที่ในระดับทีมชาติไทยเจ้าตัวก็มีส่วนร่วมกับความสำเร็จของแข้งช้างศึกมากมาย ทั้งการยิงประตูสุดสำคัญและวีรกรรมแสบสันที่ยังถูกกล่าวถึงมาจนทุกวันนี้ หรือแม้แต่การก้าวขึ้นมาเป็นเฮดโค้ชทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ก็ถูกโลกโซเชียลมีเดียถล่มไม่เว้นแต่ละวัน
ซึ่งหากเราฟังเฉพาะเวลาที่โค้ชโย่งให้สัมภาษณ์กับสื่อก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักที่เจ้าตัวจะโดนถล่ม แต่หากเราเปิดใจได้ทำความรู้จักกับเขาในอีกมุมหนึ่งแล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนมีมุมมองเกี่ยวกับชายคนนี้เปลี่ยนไป ฉะนั้นเราลองมาทำความรู้จักกับโค้ชโย่งในอีกมุมผ่านเรื่องราวในบทความนี้กันครับ
โบ๊ะบ๊ะจนเกือบคลาดกัน
ค่ำคืนวันศุกร์ช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปฟังงานทอล์กโชว์ฟุตบอลไทย ‘คิดไซด์ทอล์ก’ ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรก สิ่งที่ผมสงสัยคืองานนี้พวกเขาจะพูดคุยอะไรกัน เลยอยากลองไปฟังดู ซึ่งตลอดเวลาของงานที่สนุกเฮฮากว่า 3 ชั่วโมงท่ามกลางแขกรับเชิญมากมายนั้น ผมรู้สึกชื่นชอบกับเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่มีครบทุกรสจนทำให้ผมอยากถ่ายทอดเรื่องราวของเขา
ซึ่งชายคนนั้นก็คือ ‘โค้ชโย่ง’ วรวุธ ศรีมะฆะ อย่างที่ผมได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้ แต่ปัญหาคือ ผมจะติดต่อชายคนนี้ได้ทางช่องทางไหน เพราะเจ้าตัวไม่มีเฟซบุ๊กให้เราได้เข้าไปส่องหรือแนะนำตัว ครับ ... โค้ชโย่งเป็นมนุษย์ที่ไม่มีโซเชียลมีเดีย ทางเดียวที่จะติดต่อได้คือการหาเบอร์โทรศัพท์ หรือไลน์เท่านั้น
ผมใช้เวลาสืบเสาะจนได้ไลน์โค้ชโย่งมา และทักไปแนะนำตัวและบอกว่าอยากสัมภาษณ์เพื่อมาถ่ายทอดเรื่องราวของเขา คำตอบที่ได้คือ ‘ครับ’ คำเดียวสั้น ๆ ตกลงเขาจะให้เราคุยด้วยหรือไม่กันแน่นะ นี่คือคำถามที่อยู่ในใจซึ่งระหว่างที่ผมพยายามตีความหมายคำว่าครับอยู่นั้น สักครู่ก็มีสายเข้ามาซึ่งก็คือ ‘โค้ชโย่ง’ ของเรานั่นเอง
‘โค้ชโย่ง’ พูดคุยอย่างเป็นกันเองเสมือนรู้จักกันมานานทำให้ผมผ่อนคลายได้เยอะ จากนั้นเจ้าตัวก็ยินดีให้เราไปพูดคุยสัมภาษณ์เรื่องราวของเขา เรานัดกันในช่วงบ่ายของวันหนึ่งที่คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ หรือซีดีซี ย่านเรียบด่วนรามอินทรา ส่วนที่นัดกันจุดนี้ก็เพราะโค้ชโย่งต้องการหาจุดกึ่งกลางระหว่างกัน และเมื่อพอถึงเวลานัดผมก็ไปที่นั่นอย่างใจจดจ่อ พร้อมยกหูโทรศัพท์ถามโค้ชโย่งว่าเจ้าตัวอยู่ที่ไหนแล้ว
“พี่อยู่ที่คริสตัลปาร์คแล้ว เจอที่ไหนบอกมาได้เลย”
ครับ ผมกับโค้ชโย่งอยู่ที่คริสตัลเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เราอยู่กันคนละคริสตัลกันครับ ผมอยู่ที่คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ ส่วนโค้ชโย่งอยู่ที่คริสตัลปาร์ค โชคดีที่ระยะทางไม่ห่างกันมากนัก เรียกได้ว่ายังไม่ทันจะพูดคุยสัมภาษณ์กันก็ฮาไปเสียแล้ว
โดนถุงฉี่ที่แดนอิเหนา ตกรอบแรกสโมสรเอเชียเพราะความประมาท
‘โย่ง’ วรวุธ ศรีมะฆะ เป็นหนึ่งในผู้เล่นทีมนักเรียนไทยที่ได้มีโอกาสร่วมกับ ‘อ.หรั่ง’ ชาญวิทย์ ผลชีวิน ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าตัวได้มีโอกาสก้าวเข้ามาสู่สโมสรธนาคารกสิกรไทยในช่วงปี 1991 และมีส่วนร่วมกับทีม สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. ไปครองได้ 3 สมัยติดต่อกัน และนั่นทำให้สโมสรธนาคารกสิกรไทยที่เจ้าตัวสังกัด ได้สิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชียหรือรายการเอเชียน คลับ แชมเปียนชิพ
“ปัจจัยที่ทำให้สโมสรธนาคารกสิกรไทยชุดนั้นประสบความสำเร็จก็เพราะตัวผู้เล่นหลายคนถูกดันขึ้นมาจากทีมนักเรียนไทยที่มี อ.หรั่ง เป็นโค้ช และเมื่อ อ.หรั่ง คุมทีมธนาคารกสิกรไทยก็เลยมีเด็กตามมาด้วยหลายคน ซึ่งมันก็ทำให้เกิดการเข้าขากันเพราะเล่นด้วยกันมานานอยู่แล้ว”
โค้ชโย่ง เล่าถึงหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้สโมสรธนาคารกสิกรไทยประสบความสำเร็จในระดับประเทศจนได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชีย
“ตอนไปแข่งปีแรก เราก็ไม่มีประสบการณ์ ครั้งแรกเราก็ตกรอบแรกเลย นัดแรกเราเอาชนะทีมของอินโดนีเซียได้ 2-0 ในบ้าน เราคิดว่าพอแล้วสบาย เรามีโอกาสยิงเยอะมากนัดนั้น แต่เราไม่เน้นเล่นแบบสบาย ๆ เจอนอกบ้านก็น่าจะไม่มีอะไรถ้าอินโดเล่นได้เท่านี้ แต่พอนอกบ้านเท่านั้นแหละ เราเจอทุกอย่าง กองเชียร์เขามาเยอะมาก คนดูกว่า 20,000 ถุงฉี่ใส่ด้วย นัดนั้นผู้เล่นเราก็โดนใบแดง”
“เอ็งเข้าใจไหม เราไม่เคยเจอฟุตบอลอาชีพที่มีเสียงเชียร์ขนาดนั้น มีการเปิดเพลงสโมสรปลุกใจ ยุคนั้นประเทศเราไม่ได้มีฟุตบอลอาชีพ เราไปเห็นทีมเค้าเอาเครื่องเสียงมาเต็ม เปิดเพลงสโมสร เราก็คิดนะ มันบ้าป่าววะ!? พอเราเดินลงสนาม มีหมดทั้งน้ำ ทั้งถุงฉี่ เราไม่เคยเล่นเกมนอกบ้าน เจอแบบนี้เข้าไปก็จอดไม่ต้องแจว”
โค้ชโย่ง รำลึกถึงเหตุการณ์ที่สโมสรธนาคารกสิกรไทยเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลเอเชียน คลับ แชมเปียนชิพ 1992-1993 พบกับสโมสรอาร์เซโต้ โซโล ของประเทศอินโดนีเซีย และทีมตัวแทนจากประเทศไทยเราต้องตกรอบแรกพร้อมกับประสบการณ์การโดนถุงฉี่
ฟอร์มดี พาสโมสรธนาคารกสิกรไทยคว้าแชมป์เอเชีย จน อัล-นาสเซอร์ ขอซื้อตัว
หลังจากความพ่ายแพ้ในครั้งนั้น สโมสรธนาคารกสิกรไทยกลับมาพัฒนาทีมอย่างหนัก โค้ชโย่งยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมและมีส่วนสำคัญในการพาสโมสรแห่งนี้ครองแชมป์ฟุตบอลเอเชียน คลับ แชมเปียนชิพได้ถึง 2 สมัยในฤดูกาล 1993-1994 และ 1994-1995 รวมทั้งคว้าอันดับที่ 3 ได้อีกในฤดูกาล 1995
“เวลาเจอสโมสรของญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ พี่ไม่มีกลัวเลยนะ เพราะเราตัวใหญ่ชนปะทะได้หมด และ อ.หรั่ง ก็ศึกษาเกมมาดี วางแผนเป็นระบบ เจอสโมสรญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้แต่ละนัดไม่มีง่าย โดยเฉพาะทีมอิลว่า ชุนมา แต่เราก็ผ่านมาได้หมดจนเป็นแชมป์ 2 สมัย”
“หลังจากนั้น ครั้งต่อมาเราก็เข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายได้อีก ไปแข่งที่ซาอุดิอาระเบีย เจออัล-นาสเซอร์ เราแพ้ช่วงต่อเวลาก่อน แล้วไปชนะทีมจากอิหร่าน ได้ที่ 3”
หลังจากผมฟังโค้ชโย่งเล่ามาถึงตรงนี้ผมก็ระลึกความหลังกันอย่างสนุกเพราะผมก็ทันดูความสำเร็จของสโมสรธนาคารกสิกรไทยในยุคสมัยนั้น และมันก็มีอยู่คำถามหนึ่งที่จะไม่ถามก็คงไม่ได้เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวผมจำได้อย่างดีว่าโค้ชโย่งมีข่าวว่าจะไปเล่นฟุตบอลอาชีพที่ประเทศซาอุดิอาระเบียกับสโมสรอัล-นาสเซอร์ ต้นสังกัดเดียวกับคริสเตียโน โรนัลโด ในปัจจุบันนี้นี่แหละครับ
ตอนนั้นกระแสข่าวเรื่องโค้ชโย่งไปเล่นกับสโมสรอัล-นาสเซอร์ นั้นดังมาก ผมติดตามอ่านจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารฟุตบอลสยามอย่างต่อเนื่อง
“จริง ๆ ตอนนั้นอัล-นาสเซอร์ เขาอยากได้ อัลเฟรด (เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์) แต่อัลเฟรด ไปไม่ได้ หวยเลยมาตกที่พี่นี่แหละ เพราะทางนั้นบอกว่าเขานั่งดูวิดีโอมาหลายรอบแล้ว ไม่อัลเฟรดก็ต้องเป็นพี่ ตอนนั้นพี่ก็ไม่เชื่อนะ แต่พอเห็นแฟ็กซ์ที่ส่งมาที่สโมสรก็เป็นชื่อพี่ชัดเจน พร้อมทั้งรายละเอียดของสัญญา”
โค้ชโย่งเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่เจ้าตัวรู้ว่าเป็นที่สนใจของสโมสรอัล-นาสเซอร์ โดยค่าเซ็นสัญญาของเจ้าตัวในเวลานั้นคือ 30,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยในช่วงปี 1995-1996 แต่แม้จะมีค่าเซ็นสัญญามูลค่าไม่น้อยรออยู่ เจ้าตัวก็มีอาการลังเล
“กูจะเล่นได้เหรอวะ ฟุตบอลเขาก็มาตรฐานสูง แต่เอาวะ เป็นไงเป็นกัน พี่ก็เดินทางไปซาอุดิอาระเบียเลยเพราะเขาบอกว่าให้เดินทางมาทันที เขาต้อนรับพี่ตั้งแต่มานะ ให้นอนโรงแรมแมริออทเลย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เล่นเพราะใบโอนย้ายไม่เรียบร้อย เพราะตรงกับวันหยุดธนาคารพอดี และตลาดซื้อขายของซาอุดิอาระเบียก็กำลังจะปิดลง”
ท้ายที่สุดแล้ว โค้ชโย่งต้องกลับประเทศไทย พลาดโอกาสการเซ็นสัญญากับสโมสรอัล-นาสเซอร์ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ก็ต้องเข้าใจเรื่องการสื่อสารระหว่างประเทศในยุคสมัยนั้นนะครับ มันไม่ได้สะดวกสบาย มีอีเมลใช้เหมือนอย่างทุกวันนี้
“จริง ๆ พี่เสียดายนะ อยากเล่นที่นั่น อยากพิสูจน์ตัวเองว่าเราทำได้เพราะสโมสรของซาอุดิอาระเบียเขามีความพร้อมมากนะ มีสนามซ้อม มีคลับเฮาส์ มีการเอารูปนักฟุตบอลเก่า ๆ ประวัติสโมสร ถ้วยรางวัลมาโชว์ เรียกได้ว่าทุกอย่างเป็นมืออาชีพแบบยุโรปเลย เขาทำมานานแล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งจะมาเป็นมืออาชีพ เพียงแต่พวกเราไม่ได้สนใจลีกซาอุดิอาระเบียเท่านั้นเอง”
“ถ้าเราเก่งจริงอยู่ที่ไหนก็ต้องเป็นแชมป์” ย้ายมาบีอีซี เทโรศาสน ก้าวสู่รองแชมป์เอเชีย
หลังจากโค้ชโย่งประสบความสำเร็จมากมายกับสโมสรธนาคารกสิกรไทย ทั้งเป็นแชมป์ระดับประเทศ ระดับทวีปและระดับระหว่างทวีปเอเชีย-แอฟริกา เจ้าตัวอยากหาความท้าทายใหม่ และในช่วงเวลานั้น สโมสรบีอีซี เทโรศาสน กำลังเริ่มสร้างทีมภายใต้การนำของคุณ ‘ไบรอัน แอล มาร์การ์’ โดยแนวทางของทีมบีอีซี เทโรศาสน นั้น ถูกใจโค้ชโย่ง ประกอบกับเจ้าตัวเองก็ต้องการหาความท้าทายใหม่ จึงได้มีโอกาสร่วมงานกันและสร้างตำนานให้กับวงการฟุตบอลไทย
“พี่ย้ายจากสโมสรธนาคารกสิกรไทยมาบีอีซี เทโรศาสน เปรียบประมาณย้ายจากแมนฯยูฯ มาทีมกลุ่มกลางค่อนไปทางท้ายตารางเลยนะ ตอนนั้นเทโรจบไทยลีกครั้งแรกที่อันดับ 14 แต่พี่ย้ายออกจากกสิกรไทยตอนนั้นก็เพราะมันได้แชมป์มาหมดแล้ว อยู่ต่อก็เป็นตำนานแล้ว แต่พี่ยังไม่อยากเป็นตำนานตอนอายุ 25-26 ไง ยังอยากท้าทายตัวเองอยู่”
“มันก็เสี่ยงนะ เพราะตอนนั้นทีมเทโรก็เพิ่งกำลังจะสร้างทีม คือกำลังจะเริ่มทุ่ม แต่พี่ก็คิดนะว่า ถ้าเราเก่งจริงอยู่ที่ไหนก็ต้องเป็นแชมป์ได้ พี่ก็เลยย้ายมาหาความท้าทายที่บีอีซี เทโรศาสน”
ผมเองสะดุดกับประโยคที่ว่า “ถ้าเราเก่งจริงอยู่ที่ไหนก็ต้องเป็นแชมป์” เพราะโค้ชโย่งก็ทำมันสำเร็จได้จริง เจ้าตัวพาสโมสรบีอีซี เทโรศาสนคว้าแชมป์ฟุตบอลไทย พรีเมียร์ ลีกได้ 2 สมัยในฤดูกาล 2000 และ 2001-2002 นอกจากนี้ ยังพาสโมสรเจ้าบุญทุ่มคว้ารองแชมป์ฟุตบอลถ้วยเอเชียใบใหม่อย่างเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2002-2003 ได้อีกด้วย
“การทำฟุตบอลมันต้องใช้เวลา มันต้องเล่นกันนานจนรู้ใจ กว่าพี่จะเป็นแชมป์กับอีซี เทโรศาสนได้ก็ใช้เวลา 3-4 ปี แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายสำหรับพี่นะ คือการที่เราเป็นรองแชมป์เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก เราปราบทั้งสโมสรจากจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เพราะทีมเราในยุคนั้นก็เป็นทีมชาติกันเกือบยกทีม พี่เองก็เล่นไม่มีกลัวทีมพวกนี้นะ เพราะมีประสบการณ์ตั้งแต่สมัยธนาคารกสิกรไทยแล้ว”
มหาอำนาจอาเซียน แข่งเมื่อไหร่แชมป์แน่นอน
ในยุคที่ทีมชาติไทยรุ่งเรืองกวาดแชมป์เป็นว่าเล่น โค้ชโย่งมีส่วนร่วมกับทีมชาติไทยอยู่พอสมควรโดยเจ้าตัวคือหนึ่งในผู้เล่นชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนหรือเอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพ ที่ใช้ชื่อการแข่งขันตามสปอนเซอร์ว่า ไทเกอร์ คัพ (Tiger Cup) เมื่อปี 1996 โค้ชโย่งทำไปได้ทั้งหมด 3 ประตู โดย 2 ประตูเกิดขึ้นในเกมที่ทีมชาติไทยเอาชนะบรูไนไป 6-0 ส่วนอีกหนึ่งประตูเกิดขึ้นในเกมรอบรองชนะเลิศที่ทีมชาติไทยสามารถโค่นทีมชาติเวียดนามไปได้ 4-2 จากนั้นในปีถัดมา เจ้าตัวก็สามารถคว้าเหรียญทองในกีฬาซีเกมส์ 1997 ได้สำเร็จโดยยิงไป 2 ประตู
โค้ชโย่งยังคงมีส่วนร่วมกับทีมชาติไทยชุดคว้าเหรียญทองกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 20 ปี 1999 ณ กรุงบันดาร์ เสรี เบกาวัน ประเทศบรูไน ส่งท้ายการใช้ทีมชาติชุดใหญ่แข่งกีฬาซีเกมส์ จากนั้นในปี 2000 โค้ชโย่งคือกำลังสำคัญในการพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์ฟุตบอลไทเกอร์ คัพ ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพได้สำเร็จ โดยเจ้าตัวทำไปทั้งสิ้น 5 ประตู ทั้งหมดคือการยิงทีมชาติอินโดนีเซียที่พบกัน 2 นัดในรอบแรกและรอบชิงชนะเลิศ
“ไทเกอร์คัพ 2000 นี่พี่พีกมาก รอบชิงพี่ยิงแฮตทริกใส่อินโดนีเซีย เราเอาชนะไป 4-1 เท่ารอบแรก ตอนรอบแรกพี่ก็ยิงไป 2 ลูกนะ ยุคนั้นในอาเซียนนี่ทีมไหนเจอทีมชาติไทยเขาเกรงเราหมด เอาจริง ๆ ฟอร์มห่างกันมาก ปีเตอร์ วิธ ก็เป็นโค้ชที่ดี สร้างทีมได้ดี ซื้อใจนักเตะได้ ทุกคนเลยทุ่มเทกันเต็มที่”
“แต่ตอนนั้นเราก็แอบหนีเที่ยวกันนะ ฮา ๆ จริง ๆ มันไม่ดีหรอก แต่พอมารวมตัวกันมันก็เป็นแบบนั้นแหละ และเจอทีมอาเซียนด้วยกัน เราไม่มีกลัว แอบเที่ยวกลับมาก็ยังเอาชนะได้ แต่สมัยนี้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้วนะ มันไม่ดีด้วย อย่าเอาเป็นแบบอย่าง”
โค้ชโย่งคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนหรือไทเกอร์ คัพ 2000 พร้อมด้วยตำแหน่งดาวซัลโว 5 ประตู ขณะที่ในอีก 2 ปีถัดมา เจ้าตัวก็คว้าแชมป์ไทเกอร์ คัพ เป็นสมัยที่ 3 ร่วมกับทีมชาติไทยพร้อมกับซัลโวไป 4 ประตู สร้างเกียรติประวัติในการมีส่วนร่วมพาทีมชาติไทยครองเจ้าอาเซียน
วีรกรรมสุดแสบ กัปตันกาตาร์ถาม “ใช่คุณหรือเปล่าที่ถีบผม”
สำหรับผมแล้ว ‘วรวุธ ศรีมะฆะ’ คือนักฟุตบอลที่มีสีสันครบทุกรส จัดว่าเป็นศิลปินลูกหนังคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เจ้าตัวอาจไม่ใช่สุดยอดกองหน้าระดับดาวซัลโวดาวค้างฟ้า แต่ก็เป็นคนสำคัญที่ทีมจะขาดไม่ได้ทั้งระดับทีมชาติและสโมสร แน่นอนครับ นอกจากความสำเร็จต่าง ๆ ที่เจ้าตัวมีส่วนแล้ว วีรกรรมสุดแสบที่ผู้คนต่างจดจำก็มีไม่แพ้กัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือภาพ ‘กระโดดถีบใส่กัปตันทีมชาติกาตาร์’ ในระหว่างเกมฟุตบอลนัดกระชับมิตรก่อนการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 1998 รูปเกมในวันนั้นทั้งสองทีมใส่กันอย่างดุเดือด มีวางมวยกันในครึ่งเวลาหลังจนเกมการแข่งขันต้องยกเลิกไป และหนึ่งในภาพที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งคือภาพเจ้าตัวในช็อตดังกล่าวนั่นแหละ
“พี่ไม่ใช่คนเล่นฟุตบอลเกเรนะ แต่พี่ไม่ชอบคนที่เล่นนอกเกม เพราะฟุตบอลเป็นกีฬาปะทะ ถ้าคุณเจตนาเล่นนอกเกมเป็นอะไรที่อันตรายมาก บางคนอาจบาดเจ็บหมดอนาคตได้เลย ซึ่งวันนั้นกาตาร์ เขาเป็นอะไรมาไม่รู้เล่นกับเราแรงมาก จังหวะนั้นจริง ๆ พี่ตั้งใจจะวิ่งไปห้ามนะ แต่มันชุลมุนมาก และกัปตันกาตาร์ก็เข้ามา พี่เลยป้องกันตัวไป จริง ๆ แค่จะยันนะ แต่เพราะเราตัวใหญ่มั้ง ภาพมันเลยดูแรง”
“กัปตันทีมกาตาร์เขาเอาภาพที่พี่กระโดดถีบเขา ตัดจากหนังสือพิมพ์ไปเคลือบเอาไว้เลยนะ และมีครั้งหนึ่งมาเจอกันที่ลิฟต์ เขาก็หยิบขึ้นมาแล้วถามพี่ว่า ‘คุณคือคนนี้ใช่หรือเปล่าที่ถีบเขา’ แต่ก็ไม่มีอะไรนะ ทักทายกันตามปกติ แต่ถึงขนาดตัดรูปจากหนังสือพิมพ์ไปเคลือบพกติดตัวเลยเหรอเนี่ย”
หลังจากเกมกระชับมิตรในครั้งนั้น ทีมชาติไทยก็เข้าสู่ทัวร์นาเมนต์การแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ และโค้ชโย่งก็คือฮีโร่ซัดประตูชัยจากจังหวะการฉกลูกบอลจากผู้รักษาประตูเลบานอน เข้าไปยิงประตูโทนในเกมการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม รอบสอง ที่ไทยเอาชนะเลบานอนไปได้ 1-0
“คือช่วงนั้นตั้งแต่ปีเตอร์ วิธ มาคุมทีมชาติไทย เขาสั่งให้เราวิ่ง ซึ่งปกติพี่ก็ไม่ได้วิ่งมากหรอกนะ แต่วันนั้นมันนึกยังไงไม่รู้ เราก็ขยันวิ่งมาก วิ่งไปกดดันจนผู้รักษาประตู เขาพลาดก็เลยฉกบอลมายิงประตูชัยได้แบบเหลือเชื่อ พี่ก็นึกนะ จริง ๆ กูก็วิ่งได้นี่หว่า ฮา ๆ”
หลังจากการแข่งขันในนัดนั้น เจ้าตัวกลายเป็นฮีโร่ของทีมชาติไทย เพราะชัยชนะเหนือทีมชาติเลบานอนในนัดดังกล่าวมีส่วนสำคัญให้ทีมชาติไทยผ่านเข้ามาสู่รอบควอเตอร์ไฟนอลกับทีมชาติเกาหลีใต้ และก็เกิดแมตช์ประวัติศาสตร์ที่ทีมชาติไทยสามารถเอาชนะทีมชาติเกาหลีใต้ไปได้ 2-1 จากลูกยิงโกลเดนโกลด์ ขณะที่เหลือผู้เล่นในสนาม 9 คนเพราะโดนไป 2 ใบแดงชื่อของ ‘วรวุธ ศรีมะฆะ’ ถูกจารึกในเหตุการณ์ครั้งสำคัญนัดนั้นด้วยนะครับ เขาคือหนึ่งในสองคน แต่ไม่ใช่ที่ยิงประตูนะครับ กลับกัน เจ้าตัวคือคนที่โดนใบแดง!
“โชคดีที่วัง (ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล) ยิงเข้า ทำให้เราชนะ ไม่งั้นพี่โดนเละแน่ ต้องกลายเป็นกบฏฟุตบอลไทยชัวร์ แต่ใบแดงนั้น พี่ยอมรับผิดนะ พี่คุมอารมณ์ไม่อยู่เอง โดนเขาประกบจนเล่นไม่ออก ยังดีที่ชนะได้ ไม่งั้นเป็นตราบาปติดตัวแน่นอน”
เหตุการณ์ในเอเชียนเกมส์ครั้งนั้นทำให้ชื่อของโค้ชโย่งเป็นทั้งฮีโร่และเกือบจะได้รับบทซาตานของทีมชาติไทยเสียแล้ว ดีที่ได้ลูกยิงประวัติศาสตร์ของ วัง - ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล มาช่วยชีวิตเอาไว้
ค้าแข้งต่างแดนประสบการณ์ล้ำค่า
โค้ชโย่งในสมัยเป็นนักฟุตบอลนั้น เจ้าตัวประสบความสำเร็จในระดับสโมสรมามากมายในทุกระดับกับสโมสรธนาคารกสิกรไทยและสโมสรบีอีซี เทโรศาสน รวมทั้งการพาทีมชาติไทยเป็นเจ้าอาเซียนและสร้างผลงานในระดับเอเชียได้อย่างน่าพอใจ แม้จะไปไม่สุดในระดับทวีปแต่ก็สร้างประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ จนถึงช่วงปี 2004-2006 เจ้าตัวต้องห่างหายจากทีมชาติไทยก็เริ่มที่จะไปหาประสบการณ์ใหม่ยังต่างประเทศ โดยโค้ชโย่งคือนักฟุตบอลไทยที่ไปค้าแข้งกับสโมสรกลันตัน เอฟเอ ในฟุตบอลเอ็มลีกของมาเลเซียและสโมสรบินห์ดินห์ในลีกของประเทศเวียดนาม
“ลีกมาเลเซียค่อนข้างมีมาตรฐานและการจัดการที่ดีกว่าไทยลีกนะในยุคนั้น ส่วนที่พี่เลือกไปเล่นให้กลันตันเพราะใกล้กับบ้านภรรยาพี่ที่จังหวัดนราธวาส ไป-กลับ ง่าย แต่จริง ๆ ก่อนหน้านั้นมีทีมปะลิสติดต่อมาก่อนนะ ค่าตัว 500,000 บาทและตันจง ปาการ์ กับ บาเลสเตียร์ เซ็นทรัล ในเอสลีกสิงคโปร์ แต่เทโรไม่ปล่อยตัวไป”
“ตอนไปเล่นที่กลันตันถือว่าประสบความสำเร็จเลยนะ อายุประมาณ 30-31 ปี พี่ได้เป็นรองดาวซัลโว ยิงไป 19 ประตูรวมทุกถ้วย คนดูกลันตัน เกมในบ้าน 20,000 คนขึ้นไปแทบทุกนัด ค่าบัตรตีเป็นเงินบาทก็ตกใบละ 100 บาท นัดเหย้ากลันตันได้เงินประมาณ 2,000,000 บาทต่อนัดเลยนะ ยุคนั้นก็ถือว่าเยอะมาก”
“จากนั้นก็ไปบินห์ดินห์ที่เวียดนาม แต่พี่มีอาการเจ็บเข่านะ ลูกสะบ้าร้าวแล้วมีเศษหลุดออกมา รักษาอยู่ครึ่งปี น้ำหนักพี่ก็ 101 กิโลกรัมเลยนะ แต่ยังไงเขาก็จะเอา พี่ก็ตัดสินใจไป แม้ไม่ค่อยได้ลงนะ แต่พี่ก็ไปสร้างประวัติศาสตร์ ยิงให้ทีมบินห์ดินห์เอาชนะธนาคารกรุงไทย ในเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก เป็นครั้งแรกเลยที่เขาชนะเราได้ พี่ได้ลงน้อย เล่นไม่ไหวนะ อาการเจ็บมันหนักมาก เดือนสองเดือนก็ต้องมาดูดน้ำออกจากเข่าแล้วฉีดยาเข้าไป ลงนัดนึง พักที 5-6 นัด เลยแยกย้ายกันดีกว่า”
เส้นทางการค้าแข้งของในต่างประเทศของ ‘วรวุธ ศรีมะฆะ’ ก็ต้องสิ้นสุดลงเพราะอาการบาดเจ็บที่แสนทรมานและเจ้าตัวตัดสินใจกลับมาแขวนสตั๊ด ร่ำลาการเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ประเทศไทย
แชมป์ไทยลีกส่งท้ายกับชลบุรี เอฟซี
หลังจากกลับมาจากการค้าแข้งที่ประเทศเวียดนาม โค้ชโย่งรักษาอาการบาดเจ็บจนดีขึ้นจากนั้นก็ได้ลงสนามให้กับสโมสรชลบุรี เอฟซี ในศึกไทย พรีเมียร์ ลีกฤดูกาล 2007 เป็นหนึ่งในชุดประวัติศาสตร์ของสโมสรที่สามารถคว้าแชมป์ครั้งแรกและครั้งเดียวไปครองได้ จากนั้นในฤดูการถัดมาเจ้าตัวก็ย้ายไปเล่นให้กับสโมสรกรมศุลกากรที่เลื่อนชั้นขึ้นมาใหม่ แต่ไม่อาจช่วยทีมให้รอดการตกชั้นได้ โค้ชโย่งลงสนามให้กรมศุลกากรไป 18 นัดยิงไป 3 ประตูเท่านั้น จากนั้นในปี 2009 โค้ชโย่งก็มาปิดฉากการเป็นนักฟุตบอลที่สโมสรจุฬา-สินธนา
“พี่โชคดีนะที่กลับมาแล้วได้มีโอกาสเล่นกับชลบุรีและคว้าแชมป์กับทีมได้ แต่ก็ลงเล่นไม่ได้เต็มที่มากนะเพราะร่างกายเรามันไม่สมบูรณ์ ตอนเล่นให้จุฬา-สินธนาก็ลงนิดเดียว ครึ่งฤดูกาลหลังก็มาเป็นผู้ช่วยโค้ชละ ปิดฉากการเป็นนักฟุตบอลตอนนั้น”
บทบาทโค้ชทีมชาติไทย ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักหน่วง
‘วรวุธ ศรีมะฆะ’ ได้รับโอกาสในการคุมทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ในปี 2016 โดยเจ้าตัวพาทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองในการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ปี 2017 ที่ประเทศมาเลเซีย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์และไม่พอใจฟอร์มการเล่นพอสมควร หลังจากนั้น โค้ชโย่งถูกลดบทบาทไปเป็นผู้ช่วยโค้ชของโซรัน ยานโควิช ในศึกเอเอฟซี ยู-23 เอเชียน แชมเปียนชิพ (AFC U-23 Asian Championship) ปี 2018 ที่ประเทศจีน ทั้งที่ในรอบคัดเลือกนั้นโค้ชโย่งเป็นคนพาทีมชาติไทยผ่านการคัดเลือกเข้ามาได้แต่ฟอร์มก็ไม่ดีนัก
จากนั้นเจ้าตัวกลับมาเป็นกุนซือใหญ่ทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปีอีกครั้งในการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 ปี 2018 ณ ประเทศอินโดนีเซีย แต่โค้ชโย่งต้องพบกับแรงเสียดทานอีกครั้งหลังทำผลงานตกรอบแรกของการแข่งขันโดยเสมอกาตาร์ กับบังกลาเทศด้วยสกอร์ 1-1 ทั้ง 2 นัด ก่อนจะมาแพ้อุซเบกิสถาน 0-1 ในนัดสุดท้าย แน่นอนครับ หลังจากนั้นเส้นทางของโค้ชโย่งกับทีมชาติไทยก็ต้องยุติกันไว้ก่อน
โค้ชโย่งกลับมามีโอกาสคุมทีมชาติไทยอีกครั้งในช่วงปี 2021-2022 โดยรายการสำคัญคือศึกเอเอฟซี ยู-23 เอเชียน แชมเปียนชิพ 2022 ที่ประเทศอุซเบกิสถาน ซึ่งแม้เจ้าตัวจะตกรอบแรกแต่ก็ทำผลงานได้ดีด้วยการเสมอเวียดนาม 2-2 ชนะมาเลเซีย 3-0 ก่อนที่ในนัดตัดสินชะตาจะพ่ายเกาหลีใต้ไป 0-1 เก็บไป 4 คะแนนแบบน่าเจ็บใจเพราะก่อนเกมกับเกาหลีใต้นั้น ทีมชาติไทยเราดันมีปัญหาแบบสุดวิสัยเสียก่อน
“ตอนพี่เป็นโค้ชทีมชาติยู-23 ได้เหรียญทองซีเกมส์มา พี่ยังโดนด่าเลย แต่พี่เข้าใจนะ แฟนบอลเขาไม่ชอบพี่ตั้งแต่ที่เสมอมองโกเลียตอนชิงแชมป์เอเชียรอบคัดเลือกที่บ้านเราก่อนซีเกมส์ วันนั้นฝนมันตกหนักมาก เราเล่นบอลตามที่ซ้อมมาไม่ได้เลย พอเสมอทีมเล็กเราก็โดนด่า พี่ก็ดันให้สัมภาษณ์ไปตรง ๆ เวลาโดนว่า มันก็เลยดูเป็นการไปตอบโต้แฟนบอล”
“แต่พี่เองก็พลาดที่ไปตอบโต้นะ ยอมรับว่าพี่ไม่รู้ว่าการเป็นโค้ชทีมชาติจะต้องวางตัวยังไง เราไม่มีประสบการณ์ตรงนี้ พี่เองก็กดดันนะช่วงนั้น เพราะมีคนหาว่าพี่เป็นเด็กเส้นทั้งที่เราก็ทำทีมสุพรรณบุรีในลีกได้ดีด้วย พอโดนว่ามาก ๆ เข้า เราไปตอบโต้มันก็เลยกลายเป็นประเด็น”
“เวลาพี่ทำผลงานได้ดีก็ไม่ค่อยได้รับคำชมนะ แต่ก็ไม่เป็นไร พี่ก็มุ่งมั่นพัฒนาตัวเองต่อไป พี่เองก็รักฟุตบอลไทยอยากเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาฟุตบอลไทยต่อไป ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับ”
ครับ และนี่คือเรื่องราวของ ‘วรวุธ ศรีมะฆะ’ นักฟุตบอลที่ถ้าใครมีโอกาสได้สัมผัสกับเจ้าตัวแบบตรง ๆ น่าจะชื่นชอบนิสัยใจคอของชายคนนี้ ความเรียบง่าย ไม่ถือตัว ตรงไปตรงมา และอารมณ์ขัน พร้อมด้วยเส้นทางชีวิตในสายฟุตบอลที่มีหลากหลายเรื่องราวและสีสัน ทำให้เขาคือหนึ่งในนักกีฬาที่น่าจดจำครับ
เรื่อง: ธิษณา ธนคลัง - เต้นคุง (The Sportory) แฟนพันธุ์แท้ฮีโร่เอเชียนเกมส์
ภาพ: แฟ้มภาพจาก NATION PHOTO