16 ก.พ. 2566 | 18:06 น.
KEY
POINTS
อาร์เซนอล คือหนึ่งในยอดสโมสรฟุตบอลของประเทศอังกฤษที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน สโมสรแห่งนี้สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศมาครองได้ถึง 13 สมัยและแชมป์ฟุตบอลเอฟเอคัพอีก 14 สมัย เรียกได้ว่าในเรื่องของเกียรติประวัตินั้น ถือว่าไม่เป็นสองรองสโมสรอื่นเลย เพียงแต่ความสำเร็จที่ว่ามานั้นผ่านมายาวนานแล้ว โดยเฉพาะในศึกฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ
สโมสรอาร์เซนอลคว้าแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกครั้งสุดท้ายได้ในฤดูกาล 2003-2004 หรือกว่า 20 ปีมาแล้ว โดยในช่วงเวลาดังกล่าว สโมสรอาร์เซนอลถือว่า เป็นทีมที่โดดเด่นและสามารถต่อกรกับมหาอำนาจในขณะนั้นอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อย่างทัดเทียม ด้วยฝีมือการคุมทีมของยอดกุนซือชาวฝรั่งเศสนาม อาร์แซน เวนเกอร์ (Arsène Wenger) ผู้พาทีมประสบความสำเร็จมากมายทั้งฟุตบอลลีกและฟุตบอลถ้วย
ถึงแม้ว่าช่วงปลายทางการเป็นผู้จัดการทีมอาร์เซนอลของเวนเกอร์ จะไม่สามารถพาทีมปืนใหญ่ไปคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกได้อีก แต่ก็ยังพอมีฟุตบอลถ้วยอย่างเอฟเอคัพและเอฟเอ คอมมิวนิตี ชิลด์ (FA Community Shield) มาประดับตู้โชว์ของสโมสรบ้าง
หลังจากหมดยุคของ อาร์แซน เวนเกอร์ สโมสรอาร์เซนอลก็ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่นำโดย อูไน เอเมรี (Unai Emery) กุนซือชาวสเปน แต่เจ้าตัวก็อยู่กับทีมได้เพียง 18 เดือนเท่านั้น ซึ่งด้วยระยะเวลาดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะพาสโมสรแห่งนี้คว้าเกียรติยศใดได้ รวมทั้งผลงานในสนามแต่ละนัดก็ดูจะไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่าเดอะกันเนอร์ส
หรือว่าการปลุกอาร์เซนอล ให้คืนชีพขึ้นมาจะต้องใช้เดอะกันเนอร์ส ขนานแท้?
มิเกล อาร์เตต้า เป็นชาวสเปนเกิดที่เมืองซาน เซบาสเตียน และเริ่มต้นเล่นฟุตบอลในระดับเยาวชนกับสโมสรอันติโกโก คิโรล เอลการ์เตอา (Antiguoko Kirol Elkartea) และที่นี่ทำให้เจ้าตัวได้พบกับชาบี อลอนโซ (Xabi Alonso) อดีตกองกลางทีมชาติสเปนและเป็นเพื่อนกัน
จากนั้นมิเกล อาร์เตต้า ได้ย้ายไปเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรเอฟซี บาร์เซโลนา (FC Barcelona) โดยเริ่มค้าแข้งกับเอฟซี บาร์เซโลนา ซี (FC Barcelona C) ในปี 1999 ก่อนที่จะเลื่อนขึ้นสู่ทีมชุดบีหรือเอฟซี บาร์เซโลนา บี (FC Barcelona B) ในฤดูกาลถัดมา
ที่สโมสรบาร์เซโลนา มิเกล อาร์เตต้า มี เป๊ป กวาร์ดิโอลา เป็นต้นแบบและขวัญใจของเจ้าตัว โดยสไตล์การเล่นของมิเกล อาร์เตต้า จะเน้นที่การเล่นเพื่อพาลูกฟุตบอลไปข้างหน้า เน้นการเล่นเกมรุกที่รวดเร็วด้วยไอเดียและแนวคิดที่สร้างสรรค์ ซึ่งแม้ว่าเจ้าตัวจะทำได้ดีแต่ก็ต้องยอมรับครับว่า สโมสรบาร์เซโลนาในเวลานั้นอุดมไปด้วยนักเตะฝีเท้าดีมากมายจนมิเกล อาร์เตต้า ไม่สามารถแทรกตัวขึ้นทีมชุดใหญ่ได้
เจ้าตัวใช้เวลาอยู่กับทีมเอฟซี บาร์เซโลนา บี ในช่วงระหว่างปี 1999-2000 ก่อนจะถูกสโมสรปารีส แซงต์-แชร์กแมง หรือเปเอสเชของฝรั่งเศสยืมตัวไปใช้งานในช่วงเดือนธันวาคมปี 2000
มิเกล อาร์เตต้า เล่นให้สโมสรปารีส แซงต์-แชร์กแมง 53 นัด ตลอดหนึ่งฤดูกาลครึ่งของเจ้าตัวและสามารถทำประตูได้ทั้งสิ้น 5 ประตู โดยมิเกล อาร์เตต้า ได้รับความไว้วางใจจากหลุยส์ เฟร์นานเดซ กุนซือของทีมให้เล่นในตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์เป็นหลัก
ซึ่งแม้ว่ามิเกล อาร์เตต้า จะมีปัญหากับหลุยส์ เฟร์นานเดซ อยู่บ่อยครั้ง แต่เจ้าตัวก็ได้รับประสบการณ์ที่ดี และโอกาสที่สำคัญมากมาย ทั้งการได้ลงสนามเล่นกับ เจย์ เจย์ โอโคชา กองกลางเชิงสูงทีมชาติไนจีเรีย และ โรนัลดินโญ่ ยอดนักเตะดาวรุ่งของบราซิลในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งมิเกล อาร์เตต้า ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นต่างชาติที่ทำผลงานได้ดีในลีก เอิง ของฝรั่งเศส
จากนั้นมิเกล อาร์เตต้า ย้ายไปเล่นให้กับสโมสรกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในลีกสูงสุดของสกอตแลนด์ในฤดูกาล 2002-2004 โดยสโมสรจากสกอตแลนด์ทุ่มเงินถึง 6 ล้านปอนด์เป็นค่าตัวของเขา และมิเกล อาร์เตต้า ก็ตอบสนองต่อความไว้ใจดังกล่าว โดยเจ้าตัวลงสนามไปกว่า 68 นัดและทำประตูได้ถึง 14 ประตู นับว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยม
อาร์เตต้า เคยคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายน 2002 ของศึกสกอตติช พรีเมียร์ลีก (Scottish Premier League) รวมทั้งสามารถคว้าเทรเบิลแชมป์หรือเป็นแชมป์ 3 รายการในฤดูกาลเดียวกับสโมสรแห่งนี้ได้อีกด้วย โดยได้ทั้งแชมป์สกอตติช พรีเมียร์ลีก, สกอตติช คัพ และสกอตติช ลีกคัพ
ฤดูกาล 2004-2005 มิเกล อาร์เตต้า กลับมายังลาลีกา ของสเปน บ้านเกิดอีกครั้งโดยเซ็นสัญญากับสโมสรเรอัล โซเซียดาด แต่การกลับมาในครั้งนี้ เจ้าตัวยังไม่สามารถพิสูจน์ความสามารถบนแผ่นดินเกิดได้จนต้องถูกส่งไปให้สโมสรเอฟเวอร์ตันในศึกพรีเมียร์ลีกของอังกฤษยืมตัวไป
การย้ายมาร่วมทีมกับสโมสรเอฟเวอร์ตัน เปรียบเสมือนการชุบชีวิตใหม่ของมิเกล อาร์เตต้า ทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินภายใต้การนำทีมของเดวิด มอยส์ แม้จะไม่ใช่ทีมใหญ่ที่มีเกียรติยศมาประดับสโมสรมากมายนัก แต่ด้วยบรรยากาศภายในทีมที่เปรียบเสมือนครอบครัวทำให้เจ้าตัวสามารถสร้างผลงานได้เป็นอย่างดี
มิเกล อาร์เตต้า มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เอฟเวอร์ตันสามารถขึ้นมาติดทอปไฟว์ของศึกพรีเมียร์ลีกจนมีโอกาสไปเล่นฟุตบอลถ้วยสโมสรยุโรปได้ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2005-2011 อาร์เตต้า สามารถทำผลงานด้วยการลงสนามให้สโมสรไปทั้งสิ้น 209 นัด ยิงไป 35 ประตู คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมในแต่ละนัดมาครองได้มากมาย
จากนั้นสโมสรอาร์เซนอลก็ทุ่มเงินกว่า 10 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัวเจ้าตัวไปร่วมทีม และมิเกล อาร์เตต้า ก็สามารถประสบความสำเร็จคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ และเอฟเอ คอมมิวนิตี ชิลด์ กับสโมสรแห่งนี้ไปได้ 2 ครั้งในฤดูกาล 2013-2014 และ 2014-2015
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เจ้าตัวเป็นสมาชิกของเดอะกันเนอร์ส มิเกล อาร์เตต้า ได้การยอมรับจากเพื่อนร่วมทีมรวมทั้งได้รับความไว้วางใจจากอาร์แซน เวนเกอร์เป็นอย่างมาก นอกจากผลงานการลงสนามไปกว่า 150 นัด และทำประตูได้ 16 ประตู ตลอด 5 ปีที่อยู่กับสโมสรแห่งนี้ เจ้าตัวยังมีจุดเด่นในเรื่องของวุฒิภาวะและบุคลิกความเป็นผู้นำ
หลายครั้งที่มิเกล อาร์เตต้า ปลุกเร้าเพื่อนร่วมทีมในห้องแต่งตัว รวมทั้งเป็นผู้นำนักเตะในสนามซ้อมและเป็นตัวแทนนักฟุตบอลในการนำเสนอสิ่งต่าง ๆ กับสโมสรแห่งนี้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ในช่วงเวลาของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพนั้น เจ้าตัวให้ความสนใจกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอยู่เสมอ ทั้งเทคนิคการเล่น การฝึกซ้อม กลยุทธ์ ศาสตร์ลูกหนังทุกด้าน จนฉายแววความเป็นยอดโค้ชในยามที่เลิกเล่นฟุตบอลไปแล้ว
มิเกล อาร์เตต้า ได้มีโอกาสมาพบกับเป๊ป กวาร์ดิโอลา อีกครั้งในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในระหว่างปี 2016-2019 โดยทั้งคู่สนิทสนมกันมาตั้งแต่ตอนที่มิเกล อาร์เตต้า ย้ายมาร่วมทีมบาร์เซโลน่า
ในช่วงเวลาดังกล่าวเป๊ป กวาร์ดิโอลา คือหนึ่งในนักฟุตบอลที่มีความสนิทสนมและให้ความช่วยเหลือแก่มิเกล อาร์เตต้า เป็นอย่างดี อีกทั้งในยามที่เป๊ป กวาร์ดิโอลา ขึ้นมากุมบังเหียนสโมสรบาร์เซโลนา และสโมสรบาเยิร์น มิวนิค เมื่อใดที่ต้องพบกับสโมสรจากอังกฤษในฟุตบอลถ้วยยุโรป เจ้าตัวมักจะยกหูสอบถามข้อมูลและขอความคิดเห็นจากมิเกล อาร์เตต้า ที่เป็นผู้เล่นในพรีเมียร์ลีกอยู่บ่อยครั้ง
ด้วยความสามารถของมิเกล อาร์เตต้า ที่สามารถให้ข้อมูลกับเป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง นำเสนอข้อมูลที่เข้าใจได้ง่าย ชัดเจน ทั้งที่เจ้าตัวยังเป็นนักฟุตบอลอยู่เท่านั้นและยังไม่ได้มีประสบการณ์ทำงานในฐานะโค้ชแต่อย่างใด นั่นก็ทำให้ทักษะดังกล่าวไปถูกใจยอดผู้จัดการทีมอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอลา เป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่กล่าวว่าวันหนึ่งเราคงมีโอกาสได้ร่วมงานกัน
ในปี 2016 ที่มิเกล อาร์เตต้า เลิกเล่นฟุตบอล เจ้าตัวจึงได้รับการทาบทามให้มาเป็นหนึ่งในทีมงานของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะเป๊ป เองก็เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาคุมทัพเรือใบสีฟ้าล่าความสำเร็จต่อจากมานูเอล ลุยส์ เปเญกรินี
ดังนั้น ประสบการณ์ในเวทีพรีเมียร์ลีกในฐานะนักฟุตบอลของมิเกล อาร์เตต้า จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป๊ป กวาร์ดิโอลา ในงานนี้เป็นอย่างยิ่ง และผลก็เป็นดังคาด เมื่อเจ้าตัวมีส่วนร่วมกับความสำเร็จของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างมากมาย
หลังจากเป็นหนึ่งในทีมงานของเป๊ป กวาร์ดิโอลา มากว่า 3 ปี ในปี 2019 เจ้าตัวก็ได้รับข้อเสนอสำคัญและเป็นข้อเสนอที่ยากจะปฎิเสธได้ เมื่อสโมสรอาร์เซนอลได้ทาบทามให้เจ้าตัวมาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมของสโมสรต่อจากอูไน เอเมรี ซึ่งแน่นอนครับว่า โอกาสนี้มีไม่ได้บ่อยนัก มิเกล อาร์เตต้า จะได้มีโอกาสสร้างทีมได้มือของตนเอง และที่สำคัญ อาร์เซนอลคือสโมสรที่เขารักและผูกพันธ์เป็นอย่างมาก
ในฤดูกาล 2019-2020 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของมิเกล อาร์เตต้า เจ้าตัวสามารถพาสโมสรแห่งนี้คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้สำเร็จ ตามต่อมาด้วยถ้วยเอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ในปี 2020 ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้มิเกล อาร์เตต้า สามารถพาอาร์เซนอลไปสู่ความสำเร็จได้ นั่นคือทุกคนต้องมีความมุ่งมั่น มีแรงบันดาลใจและมีแพสชันที่ต้องการเป็นผู้ชนะเท่านั้น ทุกอย่างในสนามซ้อมจะไม่สามารถต่อรองได้ ทุกคนมีความเท่าเทียมกันและต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันอยู่เสมอ
มิเกล อาร์เตต้า เป็นกุนซือที่มีความเข้มงวดและยึดมั่นในระบบทีมเป็นอย่างมาก ซึ่งสไตล์ดังกล่าวเจ้าตัวก็ได้เรียนรู้มาจากเป๊ป กวาร์ดิโอลา รวมทั้งอาร์แซน เวนเกอร์ โดยในยุคของมิเกล อาร์เตต้า ไม่มีนักฟุตบอลคนใดที่จะอยู่เหนือสโมสร ทุกคนต้องมีความเป็นมืออาชีพ จริงจัง มีแพสชัน มีสมาธิเวลาลงสนามแข่งขันอยู่เสมอ ซึ่งในช่วงแรกก็มีนักฟุตบอลหลายคนที่ต้องย้ายออกจากสโมสรแห่งนี้ไปเพื่อเป็นการผ่องถ่ายเลือดใหม่
ผลของการทำงานหนักและมีแนวทางที่ชัดเจนดังกล่าวเริ่มมาส่งผลในฤดูกาลนี้ (2022-23) เมื่อสโมสรอาร์เซนอลสามารถสร้างผลงานได้ดีในศึกพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ จนมีโอกาสลุ้นแชมป์กับยอดสโมสรอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแม้ว่าล่าสุดในค่ำคืนที่ผ่านมา (16 ก.พ. 2023) อาร์เซนอลจะต้องพบกับความพ่ายแพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป 1-3 และสูญเสียตำแหน่งจ่าฝูงที่ขึ้นนำมาอย่างยาวนานไปให้กับทีมเรือใบสีฟ้า แต่พวกเขายังลงสนามน้อยกว่า 1 นัด (ข้อมูล ณ 16 ก.พ.) และหนทางการลุ้นแชมป์ก็ยังอีกยาวไกล
“แน่นอน มันน่าผิดหวัง เพราะเราแพ้ ผมคิดว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมระหว่างสองทีม เราเสียประตูง่ายและไม่สามารถฉกฉวยโอกาสที่สำคัญได้ การจะเอาชนะพวกเขาได้นั้น เราจำเป็นต้องเล่นให้เหนือกว่าฟอร์มปกติของพวกเรา”
นี่คือความคิดเห็นของมิเกล อาร์เตตา ในเกมการแข่งขันเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ซึ่งความคิดเห็นดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการให้เกียรติกับคู่แข่ง การมีแพสชัน ต้องการเป็นผู้ชนะ และความเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี ซึ่งการันตีได้เลยว่า สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกนำไปแก้ไขในสนามซ้อม และเดอะกันเนอร์ส ภายใต้การนำของมิเกล อาร์เตต้า จะมีโอกาสกลับมาได้อย่างแน่นอน
แล้วคุณล่ะ เชื่อในแนวคิดของมิเกล อาร์เตต้า และเชื่อมั่นในวิถีของอาร์เซนอลหรือไม่?
เรื่อง: ธิษณา ธนคลัง (เต้นคุง)
อ้างอิง: Footballista โดย จิตกร ศรีคําเครือ