โลธาร์ มัทเธอุส : ซูเปอร์แมนแห่งอินทรีเหล็ก ทีมชาติเยอรมนี

โลธาร์ มัทเธอุส : ซูเปอร์แมนแห่งอินทรีเหล็ก ทีมชาติเยอรมนี

เรื่องราวของ ‘โลธาร์ มัทเธอุส’ (Lothar Matthäus) อดีตนักฟุตบอลทีมชาติเยอรมนีผู้มีฉายาว่า ‘Der Terminator’ หรือในไทยว่า ‘ซูเปอร์แมน’ กับอาชีพบนเส้นทางสายลูกหนังในสโมสรต่าง ๆ

KEY

POINTS

  • โลธาร์ มัทเธอุส’ (Lothar Matthäus) นักฟุตบอลทีมชาติเยอรมนีผู้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘คนเหล็ก’
  • เรื่องราวของเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพกับการสร้างสถิติในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติที่ได้เล่นทีมชาติเยอรมนีมากที่สุดที่ 150 นัด
  • ปัญหาที่ตามมาจากการที่เขาถูกวิจารณ์ว่ามีคาแรกเตอร์ที่มั่นใจจนเกินเหตุ

โลธาร์ มัทเธอุส’ (Lothar Matthäus) คือมิดฟิลด์กัปตันทีมชาติเยอรมนีตะวันตกชุดแชมป์โลกปี 1990 ผู้ได้รับการขนานนามจากสื่อเยอรมนีว่า ‘Der Terminator’ หรือคนเหล็ก เพราะหน้าตาคล้ายกับ ‘อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์’ (Arnold Schwarzenegger) ผู้รับบทพระเอกคนเหล็กในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ส่วนสื่อไทยให้ฉายาเขาว่า ‘ซูเปอร์แมน’ (Superman) 

ทั้งสองฉายาสะท้อนคาแรกเตอร์อันแข็งแกร่ง ความสามารถเหนือกว่ามาตรฐานของมิดฟิลด์ในยุคเดียวกัน หัวใจนักสู้ และบทบาทสำคัญอันเป็นทุกอย่างให้กับทีม เขาดูเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบในสายตาแฟนบอลทศวรรษ 1980 - 1990 แต่เขาก็คือมนุษย์ที่มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ไม่มีใครที่สมบูรณ์พร้อมในทุกเรื่อง

ในช่วงแรกของการเป็นนักเตะ มัทเธอุสฉายแววของความเป็นสุดยอดนักเตะมาตั้งแต่ยังเป็นดาวรุ่ง เขาเริ่มเล่นให้กับสโมสรโบรุสซี  อาเมินเชินกลัทบัค (Borussia Mönchengladbach) โดยยิงประตูให้กับกลัทบัคในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า คัพ (ยูโรป้า ลีกในปัจจุบัน) ในปี 1980 กับไอน์ทรัคท์ ฟรังค์ฟวร์ท (Eintracht Frankfurt) ได้ แม้ว่าจะได้แค่รองแชมป์ 

ต่อมาเขาย้ายไปสร้างชื่อกับสโมสรบาเยิร์น มิวนิค (Bayern Munich) ในรัฐบ้านเกิดของเขาระหว่างปี 1984 - 1988 โดยพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัยใน 4 ปี ก่อนจะย้ายไปเล่นให้สโมสรอินเตอร์ มิลาน แห่งกัลโช่ เซเรีย อา พร้อมกับอันเดรียส เบรห์เม่ (Andreas Brehme) เพื่อนร่วมทีมเป็นเวลา 4 ปี ณ ที่นั้น มันคือจุดสูงสุดในการเล่นฟุตบอลของเขา

มัทเธอุสประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กับสโมสรอินเตอร์ มิลาน (Inter Milan) ในช่วงเวลาที่ฟุตบอลอิตาลีอยู่ในยุครุ่งเรือง และลีกกัลโช่ เซเรีย อา เป็นลีกอันสุดแสนยากลำบากและท้าทายอย่างมากต่อนักฟุตบอลผู้ต้องการสร้างความสำเร็จ เขาพาอินเตอร์ฯ คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ในฤดูกาลแรกที่ได้ลงเล่น

ในฤดูกาลถัดมา เยอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ (Jürgen Klinsmann) ย้ายเข้ามาร่วมทีม ทำให้เกิดปรากฏการณ์สามทหารเสือเยอรมันที่ขับเคี่ยวกับสามทหารเสือดัตช์ (รุด กุลลิท (Ruud Gullit), แฟรงค์ ไรจ์การ์ด (Franklin Rijkaard) และมาร์โก ฟาน บาสเท่น (Marco van Basten)) แห่งสโมสรเอซี มิ (AC Milan) คู่แข่งร่วมเมืองอย่างมีสีสัน และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพในปี 1991 มาครอง โดยมัทเธอุสได้รางวัลลูกบอลทองคำ (Ballon D’Or) ในปีดังกล่าว ก่อนที่เขาจะกลับสู่อ้อมกอดของบาเยิร์น มิวนิคในปี 1992 

โดยในช่วงขาลงแห่งอาชีพ มัทเธอุสได้ลดบทบาทตัวเองมาสู่การเล่นตำแหน่งกองหลังตัวสุดท้ายหรือลิเบอโร่ ด้วยประสบการณ์ของเขา ช่วยให้บาเยิร์น มิวนิคยังคงทำผลงานในระดับสูงของฟุตบอลบุนเดสลีกา โดยสามารถพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 4 สมัย แชมป์เดเอฟเบ โพคาล 1 สมัยและแชมป์ยูฟ่า คัพอีก 1 สมัย 

จะเห็นได้ว่าชีวิตของเขาจึงมีความผูกพันกับบาเยิร์น มิวนิคเป็นพิเศษ เขาเล่นให้บาเยิร์นถึง 2 ช่วง รวมเป็นระยะเวลาถึง 12 ปี แม้ว่าจะไม่ใช่สโมสรแรกของเขาก็ตาม นั่นเพราะเขาเป็นชาวบาเยิร์นโดยกำเนิด จนถึงปี 2000 เขาย้ายไปเล่นในสโมสรนิวยอร์ก นิวเจอร์ซี่ เมโทรสตาร์ส (New Jersey MetroStars) หรือ นิวยอร์กเร็ดบุลส์ (นิวยอร์ก เรดบูลส์) ที่สหรัฐอเมริกา และเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพที่นั่น

ในทีมชาติเยอรมนี มัทเธอุสได้สร้างประวัติศาสตร์และบางสถิติที่ยังไม่ถูกทำลายให้กับทีมชาติเยอรมนี เขาเล่นทีมชาติเยอรมนีมากที่สุดที่ 150 นัด ในฟุตบอลโลกปี 1990 เขาเป็นกัปตันทีมชาติเยอรมนีตะวันตกโดยมีฟอร์มการเล่นดีที่สุด ยิงประตูให้ทีมมากที่สุด (หนึ่งในนั้นมาจากการเลี้ยงบอลเดี่ยวจากครึ่งสนามเข้าไปยิงประตูยูโกสลาเวีย) และเป็นทุกอย่างให้กับทีมในการผ่านบรรดาทีมชั้นยอดของทัวร์นาเมนต์ (ซึ่งรวมถึงยูโกสลาเวีย เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และอาร์เจนตินา) จนคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ให้กับประเทศได้เป็นผลสำเร็จ และคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของนิตยสารเวิลด์ ซอคเกอร์ และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมนีไปครอง

นอกจากนี้เขายังเล่นฟุตบอลโลกให้กับเยอรมนีมากครั้งที่สุด (5 ครั้ง) นับแต่ปี 1982 - 1998 อย่างไรก็ตาม บทบาทของเขาในการสร้างความสำเร็จให้กับเยอรมนีในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปกลับไม่มากนัก เขาได้แชมป์ในปี 1980 ในฐานะตัวสำรองผู้ลงเล่นไม่กี่นัด ตกรอบแรกในปี 1984 และปี 2000 พลาดการเล่นในปี 1992 เพราะบาดเจ็บ และไม่ติดทีมชุดแชมป์ปี 1996 อย่างน่าเสียดาย

มัทเธอุสเป็นมิดฟิลด์ Box-To-Box ผู้มีความสามารถเกินมาตรฐานผู้เล่นในตำแหน่งนี้ เขามีทักษะเพียบพร้อมทั้งเกมรับและเกมรุก การผ่านบอลที่แม่นยำ พละกำลังที่ไม่มีวันหมด วิสัยทัศน์ทั้งการสร้างสรรค์และทำลายเกม การยิงประตูอย่างเป็นกอบเป็นกำ การยิงลูกเซตพีซอันรุนแรงเฉียบขาด แรงกระตุ้นต่อเพื่อนร่วมทีม และภาวะผู้นำในห้องแต่งตัว ยามเล่นเกมรับ เขาลงไปอยู่ในกรอบเขตโทษของตัวเองเพื่อป้องกันร่วมไปกับนักเตะกองหลัง ยามครองเกมในแดนกลาง เขาคือผู้กำหนดทิศทางเกม และยามเล่นเกมรุก เขาพาบอลทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดันก้าวร้าว 

หากอันเดรียส เบรห์เม่คือวิงแบ็กผู้ขึ้นสุดลงสุด มัทเธอุสคือมิดฟิลด์ไดนาโมกลางสนามผู้ขึ้นสุดลงสุดเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะถอยลงมาเล่นเป็นกองหลังตัวสุดท้ายช่วงปลายอาชีพก็ยังบัญชาเกมด้วยประสบการณ์อันล้นเหลือ คอยประคองรุ่นน้องในทีมให้เล่นได้อย่างสะดวก ดูเหมือนว่าคาแรกเตอร์และชีวิตของเขาจะสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ แต่เป็นสัจจะความจริงแห่งโลกใบนี้ที่ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มัทเธอุสก็เช่นกัน 

ความสำเร็จของเขาถูกมองว่ายังไปไม่สุดเนื่องจากเขาไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมปเปี้ยนส์ ลีกได้ ทั้งที่พาทีมเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ ในปี 1987 เขาพาบาเยิร์น มิวนิคเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยดังกล่าว โดยพบกับเอฟซี ปอร์โต้ (FC Porto) ของโปรตุเกส แต่กลับแพ้ 1 - 2 อย่างเหนือความคาดหมาย 

12 ปีให้หลังเขากลับพบกับความผิดหวังยิ่งกว่า เนื่องจากบาเยิร์นพลิกล็อกแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) ยุคของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Alex Ferguson)ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บด้วยสกอร์เดียวกันทั้งที่ออกนำไปก่อน จึงมีสื่อบางฝ่ายวิจารณ์ว่าเขายังขาดความสำเร็จบางอย่างที่นักเตะอย่างเขาควรจะมี

ยิ่งกว่านั้น มัทเธอุสมักถูกวิพากษ์จากคาแรกเตอร์ที่มั่นใจจนเกินเหตุ สิ่งนี้ทำให้เขามักมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีมและโค้ชเป็นระยะ ๆ ตัวอย่างที่สำคัญคือหลังจากเขาบาดเจ็บเอ็นข้อเท้าในปลายปี 1994 และหยุดการเล่นทีมชาติไป เขายังคงแสดงอิทธิพลต่อทีมจนมีปัญหาขัดแย้งกับบุนเดสเทรนเนอร์ แบร์ตี้ โฟ้กท์ส เยอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ ผู้เป็นกัปตันทีมต่อจากเขา และเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ส่งผลให้โฟ้กท์สต้องปฏิเสธเรียกเขาติดทีมชาติในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 1996 และน่าเจ็บใจสำหรับเขาที่เยอรมนีคว้าแชมป์ในปีนั้นได้ โดยมัทธิอัส ซามเมอร์ผู้มาแทนเขาในตำแหน่งลิเบอโร่ได้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งทัวร์นาเมนต์ และรางวัลลูกบอลทองคำ กว่าที่เขาจะกลับสู่ทีมชาติได้ก็เป็นฟุตบอลโลกปี 1998 โดยมาแทนซามเมอร์ที่บาดเจ็บยาว

นอกจากนี้ ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2000 เขาถูกวิจารณ์ว่าพยายามใช้บารมีเก่าเพื่อบีบทีมเชฟ เอริค ริบเบ็คจัดให้เขาลงเล่นตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ แม้ว่าจะโชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่ก็ตาม ผลจึงลงเอยที่เยอรมนีตกรอบแรก และเกิดการปฏิวัติระดับโครงสร้างฟุตบอลเยอรมนีในเวลาต่อมา ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมิติที่สะท้อนว่ามัทเธอุสก็คือมนุษย์ จึงไม่ใช่ผู้สมบูรณ์แบบ 

โลธาร์ มัทเธอุส เป็นตัวอย่างหนึ่งของนักเตะผู้เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถเชิงลูกหนังและความเป็นผู้นำ เขามีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของสโมสรและทีมชาติ แม้ว่าความสำเร็จของเขาจะไปไม่สุดอย่างที่บางฝ่ายคาดหวัง และคาแรกเตอร์ส่วนตัวที่เข้ากับใครไม่ได้ เขาก็ยังคงเป็นที่ยอมรับในฐานะกัปตันทีมชาติผู้ชูถ้วยแชมป์โลกกลางกรุงโรม หนึ่งในสามทหารเสือเยอรมนีแห่งอินเตอร์ มิลาน และนักเตะผู้มีใจผูกพันกับบาเยิร์น มิวนิค ถือได้ว่าเขาเป็นตำนานอีกหน้าหนึ่งของวงการฟุตบอลเยอรมนี