ฟิล โฟเด้น: นักบอลที่ชอบตกปลา และรู้คุณค่าคำว่า ‘รอ’

ฟิล โฟเด้น: นักบอลที่ชอบตกปลา และรู้คุณค่าคำว่า ‘รอ’

‘ฟิล โฟเด้น’ ดาวยิงซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอังกฤษจากสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับวันนี้ที่รอคอย เรื่องราว และเส้นทางที่กว่าจะได้เป็นตัวหลักในแมตช์ใหญ่อย่างใครเขา

ในยุคที่โลกหมุนเร็ว การรอคอยอะไรนาน ๆ อาจไม่ใช่เรื่องน่าปรารถนา แต่สำหรับดาวยิงซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอังกฤษของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้อย่าง ‘ฟิล โฟเด้น’ (Phil Foden) ความสำเร็จในชีวิตของเขามาจากการรู้จักคุณค่าของคำว่า ‘รอ’

โฟเด้น เริ่มเป็นเด็กฝึกในอะคาเดมี่ของทีม ‘เรือใบสีฟ้า’ ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ แต่เขาต้องรอนานถึง 13 ปี กว่าจะได้ประเดิมสนามกับทีมชุดใหญ่ในสมัยของยอดกุนซือ ‘เป๊ป กวาร์ดิโอล่า’

ตลอด 13 ปีแห่งการรอคอย เขาทุ่มเทเวลาพัฒนาฝีเท้าและเตรียมร่างกายอย่างไม่ย่อท้อ ยอมเป็นทั้ง ‘เด็กมาสคอต - เด็กเก็บบอล’ เพื่อกระตุ้นความฝันไม่ให้มอดหาย และเมื่อขึ้นชุดใหญ่ก็ต้องรออีกนานแรมปี กว่าจะมีชื่อเป็นตัวหลักได้ลงเล่นเกมใหญ่

ประวัติวัยเด็กของโฟเด้นโดดเด่นไม่เหมือนใคร เขาเกิดในครอบครัวที่พ่อแม่เชียร์บอลสโมสรที่เป็นคู่อริกัน เริ่มเตะบอลตั้งแต่ยังไม่ทัน ‘ตั้งไข่’ และได้รับการยกย่องให้เป็น “ลูกที่ใช้เงินพ่อแม่น้อยที่สุด”

นอกจากนี้ งานอดิเรกสุดโปรดยังแตกต่างจากนักบอลทั่วไป เขาชอบตกปลา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่หลายคนมองว่าน่าเบื่อ แต่นั่นคือสิ่งที่สะท้อนตัวตนของโฟเด้น และอาจเป็นที่มาซึ่งทำให้เขามาถึงวันนี้ วันที่กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของวงการลูกหนัง

เตะบอลตั้งแต่ยังไม่หัดเดิน - ใช้เงินเลี้ยงดูน้อยที่สุด

หากพูดถึงจุดเริ่มต้นความสำเร็จในโลกลูกหนังของ ‘ฟิล โฟเด้น’ สามารถย้อนกลับไปได้ตั้งแต่เริ่มลืมตาออกมาดูโลก

ฟิล โฟเด้น มีชื่อเต็มว่า ‘ฟิลิป วอลเตอร์ โฟเด้น’ (Philip Walter Foden) เกิดวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 ที่เมืองสต็อกพอร์ต ในเขตเกรตเตอร์ แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ พ่อแม่ของเขามีลูกทั้งหมด 5 คน โดยฟิลเป็นลูกคนที่สอง

สำหรับคนในครอบครัวและเพื่อนสนิท ‘ฟิล โฟเด้น’ มีชื่อเล่นที่ทุกคนเรียกติดปากว่า ‘รอนนี่’ (Ronnie) มาจากคำว่า ‘Ronnie Roundhead’ ซึ่งย่าของเขาตั้งให้ เพราะตอนเด็กมีหัวกลมเหมือนลูกบอล นั่นอาจเป็นโชคชะตาที่ทำให้เด็กคนนี้โตมามีอาชีพเล่นกีฬาลูกกลม ๆ

แคลร์ (Claire) แม่ของเขาเล่าว่า เจ้าหนูโฟเด้นเริ่มเตะบอลตั้งแต่ยังไม่หัดเดิน เพราะพ่อกับแม่จะเอาฟุตบอลลูกเล็ก ๆ ไปผูกไว้กับรถเข็นเด็กที่เขานั่ง ทำให้เท้าได้สัมผัสลูกหนังตั้งแต่ยังไม่เริ่มตั้งไข่

จากนั้นพอเริ่มเดินได้วัย 10 เดือน หนูน้อยคนนี้ก็เตะฟุตบอลลูกเล็ก ๆ ไปมารอบบ้าน และเริ่มเลี้ยงบอลไปรอบ ๆ ตัวพี่ชายตั้งแต่วัยยังไม่ 2 ขวบเต็ม พออายุ 2 ขวบครึ่ง พ่อกับปู่ก็เริ่มสอนทักษะการหวดลูกวอลเลย์ด้วยการโยนบอลให้เตะเล่นเป็นประจำ

แคลร์บอกว่า ลูกชายคนนี้เป็นเด็กที่ครอบครัว “ใช้เงินเลี้ยงดูน้อยที่สุด” เพราะเขาไม่ต้องการของเล่น เกม หรือคอร์สเรียนราคาแพงใด ๆ ขอแค่มีฟุตบอลให้ลูกเดียวก็มีความสุข และโตมาประสบความสำเร็จได้ เรียกว่าน่าจะเป็น ‘ลูกชายในฝัน’ ของใครหลายคน

 

ครอบครัวที่เชียร์ทีมเป็นคู่อริ

นอกจากเริ่มปลูกฝังทักษะลูกหนังตั้งแต่แบเบาะ ครอบครัวยังถ่ายทอดความหลงใหลในฟุตบอลให้โฟเด้น ด้วยการพาเข้าสนามชมการแข่งขันเป็นประจำ ถึงแม้จะเป็นบ้านที่เชียร์ทีมต่างกันถึงขั้นเป็น ‘คู่อริแห่งเมืองแมนเชสเตอร์’

โฟเด้นบอกว่า พ่อกับพี่ชายเป็นแฟน ‘ปีศาจแดง’ แมนฯ ยูไนเต็ด ส่วนเขาอยู่ฝั่งเดียวกับแม่ ซึ่งเป็นแฟน ‘เรือใบสีฟ้า’ แมนฯ ซิตี้ และทุกครั้งเมื่อถึงวันดวลแข้งในศึกดาร์บี้แมตช์ บรรยากาศในครอบครัวจะวุ่นวายเป็นพิเศษ

“พี่ชายผมเป็นแฟนยูไนเต็ด เขาจะสวมเสื้อทีมปีศาจแดง ส่วนผมสวมเสื้อซิตี้ เมื่อทีมใครได้ประตู เราจะหันมาพูดจาล้อเลียนกัน”

อย่างไรก็ตาม หลังจากลูกชายกลายเป็นนักบอลอาชีพกับแมนฯ ซิตี้ โฟเด้นบอกว่า เขาพยายามเปลี่ยนใจบิดาให้หันมาเป็นสาวกทีม ‘เรือใบ’ เหมือนแม่และตัวเขา

“พ่อผมเป็นแฟนยูไนเต็ด แต่เขาก็มาดูผมนะ ผมถามเขาว่าพ่อจะเชียร์ใคร เขาตอบว่า ‘ซิตี้’ แต่แค่วันนั้นนะ…ผมกำลังเปลี่ยนใจเขาอย่างช้า ๆ”

 

จุดเริ่มต้นกับ ‘ซิตี้’ และวิธีสร้างแพสชั่น

พรสวรรค์ในเกมลูกหนังของเจ้าหนูโฟเด้นเป็นที่เข้าตาแมนฯ ซิตี้ ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เมื่อแมวมองของสโมสรเดินทางมาโรงเรียนประถมของเขาเพื่อเฟ้นหาดาวรุ่งเข้าทีมเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 6 ปี (ยู-6) และได้เห็นฝีเท้าของเขา 

จากนั้น ทีม ‘เรือใบสีฟ้า’ ก็รีบทาบทามให้ไปฝึกในอะคาเดมี่ เพื่อจองตัวไว้ไม่ให้ทีมคู่แข่งร่วมเมืองมาแย่งไปก่อนถึงวัย 9 ขวบ ซึ่งเป็นเกณฑ์อายุที่กฎหมายอนุญาตให้เซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรได้

“สมดุลร่างกายของเขาดีมาก ตำแหน่งท่วงท่าก็เลิศ มันช่างเป็นธรรมชาติ เป็นอะไรที่พิเศษไม่ได้เห็นบ่อยนักในเด็กวัยนี้” จิม คาสเซล อดีตผู้จัดการอะคาเดมี่ของแมนฯ ซิตี้ กล่าวถึงโฟเด้น สมัยเข้ามาเป็นนักเตะเยาวชนชุดยู-9 ของสโมสร

โฟเด้นค่อย ๆ เติบโตและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในอะคาเดมี่ต่อเนื่อง ท่ามกลางความหวังว่า สักวันเขาจะก้าวไปเป็นนักเตะหลักของทีมชุดใหญ่ในสโมสรที่แม่และเขาตามส่งเสียงเชียร์ข้างสนามมาทั้งชีวิต

ระหว่างฝึกซ้อมและลงเล่นให้ทีมเยาวชนรุ่นต่าง ๆ เขาพยายามเติมไฟในตัวไม่ให้มอดดับ ด้วยการสมัครทำหน้าที่เป็น ‘เด็กมาสคอต’ ให้นักเตะชุดใหญ่จูงมือลงสนาม โดยคลิปเก่า ๆ ในโซเชียลมีเดีย เผยให้เห็นเจ้าหนูโฟเด้น วัย 7 ขวบ จับมือ ‘มาร์ติน เปตรอฟ’ มิดฟิลด์ทีมชาติบัลแกเรียของแมนฯ ซิตี้ เดินออกจากอุโมงค์ลงสนามก่อนเกมกับซันเดอร์แลนด์ เมื่อปี 2007

โฟเด้นเผยว่า เขาเคยรับจ็อบเป็น ‘เด็กเก็บบอล’ ข้างสนามด้วย เพื่อให้ได้ซึมซับบรรยากาศการแข่งขัน และใกล้ชิดกับผู้เล่นรุ่นใหญ่ของสโมสร

“มันรู้สึกดีมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเกม แม้จะเป็นแค่การโยนบอลกลับเข้าไปก็ตาม 

“คุณรู้สึกได้มีส่วนร่วม ผมชอบการอยู่ใกล้ชิดนักเตะ ได้ดูพวกเขาเล่น ไม่รู้เหมือนกันนะ สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ แม้ตอนอบอุ่นร่างกาย พวกเขาทำอะไรบ้างกับลูกบอล ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งได้ยินพวกเขาคุยกัน ผมก็แค่คลั่งไคล้สิ่งนั้นเหมือนแฟนตัวยงคนหนึ่ง” 

 

ยืนหยัดอยู่กับทีมรักอย่างอดทน

โฟเด้นเติบโตมาในอะคาเดมี่ของแมนฯ ซิตี้ พร้อมเพื่อน ๆ ดาวรุ่งหลายคน แต่ต่อมาล้วนแยกย้ายออกไป ไม่ว่า ‘เจดอน ซานโซ่’ ปีกจอมกระชากซึ่งย้ายไปเติบโตกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ‘โคล พาล์มเมอร์’ มิดฟิลด์จอมยิงประตูที่ถูกปล่อยให้ไปเล่นกับเชลซี 

นอกจากนี้ยังมี ‘บราฮิม ดิอาซ’ กองกลางซึ่งออกไปคว้าแชมป์ลาลีกาสเปนกับทีมเรอัล มาดริด และ ‘เจเรมี่ ฟริมปง’ วิงแบ็กของ ‘แชมป์ไร้พ่าย’ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นในเยอรมนี พวกเขาเหล่านี้ล้วนเคยฝึกอยู่กับซิตี้ และโฟเด้น

อย่างไรก็ตาม โฟเด้นเป็นเด็กอะคาเดมี่ผู้จงรักภักดีที่ไม่เคยย้ายไปไหน แม้เขาต้องใช้เวลารอคอยโอกาสนานหลายปี กว่าจะได้สอดแทรกเป็นตัวจริงในทีมมหาเศรษฐีที่อุดมไปด้วยมิดฟิลด์ชั้นดีระดับเวิลด์คลาส ทั้ง ‘เควิน เดอ บรอยน์’ ‘ดาบิด ซิลบา’ ‘แบร์นาโด้ ซิลวา’ หรือแม้แต่ ‘ราฮีม สเตอร์ลิ่ง’

โฟเด้นเริ่มสร้างชื่อและโชว์พิษสงให้ผู้จัดการทีมซิตี้ได้เห็นกับตาในนัดชิงชนะเลิศศึกเอฟเอคัพ รุ่นยู-17 ด้วยการยิงประตูใส่เชลซี ต่อหน้า ‘เป๊ป กวาร์ดิโอล่า’ 

จากนั้นปีเดียวกัน เขายังพาทีมชาติอังกฤษชุดยู-17 ผงาดคว้าแชมป์บอลเยาวชนโลกปี 2017 ด้วยการทำ 2 ประตูในนัดชิงชนะเลิศ พา ‘สิงโตคำราม’ แซงชนะสเปน 5-2 พร้อมคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว

ผลงานแค่นี้ความจริงก็เพียงพอที่จะทำให้โฟเด้นได้เป็นตัวจริงกับทีมชุดใหญ่ของสโมสร แต่ไม่ใช่กับยอดทีมอย่างแมนฯ ซิตี้ ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า

แม้เป๊ปจะเห็นพรสวรรค์ในตัวเขา และแสดงออกด้วยการไม่ปล่อยให้ทีมไหนยืมตัวไปใช้งาน แต่ก็ยังไม่ปล่อยให้ดาวรุ่งดวงนี้ได้ลงสนามแบบเต็มตัวทันที เพราะยังกังวลเรื่องประสบการณ์และความแข็งแกร่งของร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ 

เกมเปิดตัวโฟเด้นกับแมนฯ ซิตี้ชุดใหญ่ เกิดขึ้นในนัดอุ่นเครื่องช่วงพรีซีซั่นปี 2017 เขาลงสนามเป็นตัวจริงในเกมดาร์บี้แมตช์กับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่สหรัฐอเมริกา และโชว์ฟอร์มเด่น แม้ต้องดวลกับนักเตะมากประสบการณ์ฝั่งตรงข้าม อย่าง ‘ปอล ป็อกบา’ ‘อังเดร เอร์เรร่า’ และ ‘เฮนริก มคิตาร์ยาน’

จากนั้นปลายปีเดียวกัน โฟเด้นได้ลงเล่นในเกมที่มีความสำคัญครั้งแรกในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก เป็นตัวสำรองแทน ‘ยาย่า ตูเร่’ ในนัดเจอกับเฟเยนูร์ด จากเนเธอร์แลนด์ ก่อนจะมีชื่อเป็นตัวจริงในรายการเดียวกันครั้งแรกในเดือนถัดมา พบกับชัคตาร์ โดเนตส์ค จากยูเครน

ส่วนเกมแรกในพรีเมียร์ลีกเกิดขึ้น 10 วันหลังจากนั้น เมื่อโฟเด้นถูกส่งลงสนามเป็นตัวสำรองแทน ‘อิลคาย กุนโดกัน’ นัดเปิดบ้านถล่มท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 4-1 ก่อนซิตี้จะจบฤดูกาล