สเวน-โกรัน อิริคสัน: กุนซือ ‘เวิลด์คลาส’ ที่คนไทยคุ้นเคย ผู้จุดประกาย ‘แมนฯ ซิตี้' สู่ความยิ่งใหญ่

สเวน-โกรัน อิริคสัน: กุนซือ ‘เวิลด์คลาส’ ที่คนไทยคุ้นเคย ผู้จุดประกาย ‘แมนฯ ซิตี้' สู่ความยิ่งใหญ่

เส้นทางของสเวน-โกรัน อิริคสัน อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ กุนซือ ‘เวิลด์คลาส’ มาดนิ่งที่คนไทยคุ้นเคยที่พา ‘แมนฯ ซิตี้' สู่ความยิ่งใหญ่กับบั้นปลายชีวิตที่ยิ้มสู้

KEY

POINTS

  • สเวน-โกรัน อิริคสัน ผู้จัดการทีมต่างชาติคนแรกของอังกฤษ และผู้สร้างประวัติศาสตร์พา ‘แมนฯ ซิตี้’ ชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง ‘แมนฯ ยูไนเต็ด’เป็นครั้งแรกในรอบ 38 ปี
  • เขาคือกุนซือผู้เป็นที่รักของนักเตะ ที่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย
  • ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เส้นทางของอิริคสันบอกว่า ต่อให้เจอเรื่องดี หรือร้าย “อย่าเสียใจ และจงยิ้มเข้าไว้”

หากจะมีโค้ชฟุตบอลชื่อดังระดับโลกสักคนที่คนไทยคุ้นเคยดี ชื่อของ ‘สเวน-โกรัน อิริคสัน’ (Sven-Göran Eriksson) น่าจะผุดขึ้นมาก่อนใครในฐานะกุนซือที่เคยทำงานกับคนไทยมายาวนาน ตั้งแต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยุค ‘ทักษิณ’ สู่เลสเตอร์ ซิตี้ และบีอีซี-เทโรศาสน

โค้ชชาวสวีเดน วัย 76 ปี ผู้สร้างตำนานเป็นผู้จัดการทีมต่างชาติคนแรกของทีมชาติอังกฤษ กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี 2024 หลังออกมาประกาศว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 1 ปี

เขาจึงเลือกใช้เวลาที่เหลือทำตามฝันที่ค้างคา เริ่มจากได้รับโอกาสคุมทีม ‘ลิเวอร์พูล’ ข้างสนามในแมตช์การกุศลที่แอนฟิลด์ เพื่อสัมผัสประสบการณ์โค้ชทีมฟุตบอลในดวงใจสักครั้งก่อนตาย

อิริคสันยังเขียนหนังสือชีวิตตัวเองส่งท้ายชื่อ A Beautiful Game มีกำหนดวางแผงเดือนพฤศจิกายน 2024 พร้อมบันทึกคำสั่งลาและเปิดใจถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในภาพยนตร์สารคดีชื่อ Sven ซึ่งเริ่มฉายทางช่องสตรีมมิ่ง Amazon Prime เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม

“ผมคิดว่าเราทุกคนกลัววันที่จะจากโลกนี้ไป แต่ความตายคือส่วนหนึ่งในชีวิตอยู่ดี คุณต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน ผมหวังว่าสุดท้ายคนจะพูดว่า ‘ใช่ เขาเป็นผู้ชายที่ดี’ แต่คงไม่ใช่ทุกคนที่จะพูดแบบนั้น”

นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมา อิริคสันเจอทั้งข่าวดีและร้ายมาทั้งชีวิต ดังนั้นเมื่อวาระสุดท้ายใกล้เข้ามา เขาจึงอยากนำประสบการณ์ทั้งหมดมาแบ่งปัน เพื่อบอกให้โลกรู้ว่า ตัวตนของ ‘สเวน-โกรัน อิริคสัน’ ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ?

สเวน-โกรัน อิริคสัน: กุนซือ ‘เวิลด์คลาส’ ที่คนไทยคุ้นเคย ผู้จุดประกาย ‘แมนฯ ซิตี้\' สู่ความยิ่งใหญ่

เตะบอลไม่รุ่งมุ่งสู่การเป็นโค้ช

ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของสเวน-โกรัน อิริคสัน เส้นทางในวงการลูกหนังของเขาไม่ต่างจากยอดกุนซือดังหลายคนทั้ง ‘เจอร์เก้น คล็อปป์’ ‘ราฟา เบนิเตซ’ หรือ ‘โชเซ่ มูรินโญ่’ นั่นคือเริ่มจากการเป็นนักเตะ แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ จึงหันมาเอาดีด้านโค้ชจนโด่งดัง

สเวน-โกรัน อิริคสัน เกิดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1948 ในเมืองเล็ก ๆ ของจังหวัดฟาร์มแลนด์ (Värmland) ดินแดนกลางธรรมชาติของสวีเดน พ่อของเขามีอาชีพเป็นพนักงานขับรถโดยสารประจำทาง ส่วนแม่ทำงานในร้านขายผ้า

แม้ไม่มีใครคลุกคลีกับฟุตบอลโดยตรง แต่ความคลั่งไคล้กีฬาลูกหนังของอิริคสันก็เริ่มก่อตัวเมื่อพ่อของเขาพาไปเชียร์ทีมท้องถิ่นลงแข่งแทบทุกนัดตั้งแต่ 5 ขวบ

พออายุ 13 ปี อิริคสันไปทำงานพาร์ทไทม์ช่วงปิดเทอมในร้านขนมปังและรู้จักกับเชฟเบเกอรี่ที่เป็นโค้ชให้ ‘ทอร์สบี ไอเอฟ’ (Torsby IF) สโมสรฟุตบอลในดิวิชั่น 4 ของสวีเดน 

ทั้งคู่มักใช้เวลาระหว่างทำขนมปังพูดคุยเรื่องฟุตบอล จนอิริคสันอายุ 16 ปี เขาจึงเปิดตัวเป็นนักเตะของทอร์สบีในตำแหน่งแบ็คขวา ก่อนย้ายไปเล่นให้ทีมอื่นจนอายุ 27 ปี เขาจึงแขวนสตั๊ด และหันมาเอาดีกับการทำหน้าที่โค้ช

อิริคสันบรรยายฝีเท้าของตัวเองสมัยเป็นนักเตะว่า “ธรรมดา” นอกจากนี้ยังไม่ใช่นักกีฬาอาชีพเต็มตัว เพราะต้องทำงานประจำตอนกลางวัน และใช้เวลาหลังเลิกงาน หรือวันหยุดเพื่อฝึกซ้อมและลงแข่งขัน

ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนงานมาเป็นโค้ช ท่ามกลางความฝันที่ต้องการเป็นคนมีชื่อเสียง พร้อมแรงผลักดันจากแม่ที่บอกว่า อิริคสันคือคน “พิเศษ”

โค้ชหัวก้าวหน้าพาสโมสรท้องถิ่นยิ่งใหญ่

งานแรกหลังแขวนสตั๊ด คือ ผู้ช่วยผู้จัดการทีม ‘เดเกอร์ฟอร์ส’ (Degerfors) ในดิวิชั่น 3 ของสวีเดน อิริคสันอยู่ในตำแหน่งนี้แค่ปีเดียวก็ได้เลื่อนเป็นผู้จัดการทีมเต็มตัว เพราะ ‘ทอร์ด กริป’ (Tord Grip) หัวหน้าของเขาลาออกไปรับงานผู้ช่วยผู้จัดการทีมชาติสวีเดน

เมื่อโอกาสมาถึง อิริคสันก็โชว์พรสวรรค์ให้ทุกคนรับรู้ทันที ด้วยการพาเดเกอร์ฟอร์ส เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 2 ได้ภายใน 2 ฤดูกาล จนฝีมือไปเข้าตา ‘โกเธนเบิร์ก’ (Gothenburg) ทีมยักษ์ใหญ่ในลีกสูงสุดของสวีเดน ซึ่งดึงตัวไปเป็นกุนซือคนใหม่ตั้งแต่มีอายุแค่ 30 ปี

จุดเด่นของอิริคสัน คือ การนำแทคติกใหม่ ๆ มาใช้กับฟุตบอลสมัยนั้น โดยเจ้าตัวเผยว่า ฟุตบอลส่วนใหญ่ยังเล่นกันในระบบตัวต่อตัว คือ แบ็คซ้ายคอยประกบปีกขวา และแบ็คขวาตามประกบปีกซ้าย ส่วนเซ็นเตอร์แบ็คสองคนก็คอยจัดการกับศูนย์หน้า ไม่มีการสลับตำแหน่งไปมา หรือช่วยกันซ้อน - ช่วยกันไล่

เมื่อเขาเอาระบบใหม่ซึ่งมีการเคลื่อนที่สลับไปมาแบบโซนมาใช้ และสั่งให้นักเตะช่วยกันวิ่งไล่กดดันฝ่ายตรงข้าม เกมจึงเพิ่มความไวและสนุกเร้าใจมากขึ้น

ยิ่งต่อมาเมื่ออิริคสันพาโกเธนเบิร์ก ซึ่งเป็นเพียงทีมกึ่งอาชีพ สร้างประวัติศาสตร์เป็นสโมสรแรกของสวีเดนที่ออกไปคว้าแชมป์ยุโรปในศึกยูฟ่าคัพ (ปัจจุบันคือยูโรป้า) เมื่อปี 1982 ชื่อของสเวน-โกรัน อิริคสัน ก็ไม่ได้ดังแค่ในบ้านเกิดอีกต่อไป แต่ถูกพูดถึงไปไกลทั่วยุโรป

กุนซือมาดอาจารย์ผู้เป็นตำนานทีมชาติอังกฤษ

หลังคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ อิริคสันถูกทาบทามให้ไปคุมทีมนอกประเทศครั้งแรก เริ่มจากเบนฟิก้าในโปรตุเกส ก่อนย้ายไปอีกหลายทีมในอิตาลี ทั้งโรม่า ฟิออเรนติน่า ซามพ์โดเรีย และลาซิโอ

ตลอดเวลาเกือบ 20 ปีที่โลดแล่นในโปรตุเกสและอิตาลี ตั้งแต่ทศวรรษ 1980s จนเปลี่ยนสู่สหัสวรรษใหม่ ทุกทีมที่อิริคสันเข้าไปล้วนประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการคว้าแชมป์ลีก 3 สมัยกับเบนฟิก้า และพาลาซิโอ ให้กลับมาผงาดเป็นแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา สมัยที่สองในประวัติศาสตร์สโมสร 124 ปี

นอกจากนี้เขายังพาลาซิโอ ออกไปประกาศศักดาคว้าแชมป์ยุโรปรายการยูโรเปี้ยน คัพวินเนอร์สคัพ ในปี 1999 ก่อนที่ฟุตบอลรายการดังกล่าวจะถูกยกเลิกการแข่งขันในปีต่อมา

นั่นคือช่วงเวลารุ่งโรจน์ที่สุดของอิริคสัน จนกระทั่งสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ดินแดนต้นกำเนิดกีฬาลูกหนังยอมแหกธรรมเนียมปฏิบัติ ทำสัญญาว่าจ้างมาคุมทีมชาติในปี 2001 และกลายเป็นกุนซือต่างชาติคนแรกที่ได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีม ‘สิงโตคำราม’ อังกฤษ

เพราะ ณ เวลานั้น แชมป์สุดท้ายที่คว้ามาได้ครั้งล่าสุดก่อนที่อิริคสันจะเข้าไปคุมทัพ นั่นคือ ฟุตบอลโลกในปี 1996 

อิริคสันเปิดใจกับ The Guardian สื่อของอังกฤษ ยอมรับว่า งานกุนซือทีมชาติอังกฤษ คือ ความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา

“ผมคิดว่าโค้ชทุกคนบนโลกนี้น่าจะอยากได้งานนี้ และข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขาไม่เคยคว้าแชมป์ใดมาเป็นเวลายาวนานยิ่งทำให้ข้อเสนอนี้น่าสนใจมากขึ้น”

นายกฯ อังกฤษท้าพนัน

งานคุมทีมชาติอังกฤษที่อิริคสันเชื่อว่าน่าปลาบปลื้ม กลับกลายเป็นทุกข์ เพราะมันเป็นงานแรกในชีวิตที่เขาถูกไล่ออก หลังเผชิญมรสุมข่าวฉาวซัดกระหน่ำ

อิริคสันยอมรับว่า เขาเริ่มสังหรณ์ใจหลังเข้ามารับงานกุนซือทีมชาติอังกฤษไม่นาน เมื่อได้รับคำเชิญจากโทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ณ เวลานั้นให้ไปเยือนทำเนียบรัฐบาลเพื่อแสดงความยินดี

“โทนี่ แบลร์ บอกผมว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่อังกฤษ เรามาพนันกันมั้ย?’ ผมถามกลับไปว่า ‘คุณหมายถึงอะไร’ และเขาตอบว่า ‘ใครจะรักษาเก้าอี้ได้นานกว่ากัน คุณหรือผม?’ 

“เขาบอกว่า ‘เพราะอะไรรู้มั้ยสเวน ตำแหน่งเราทั้งคู่เป็นงานที่เป็นไปไม่ได้ และเราจะถูกปลดในอีกไม่ช้าก็เร็ว’ สุดท้ายเขาเป็นฝ่ายชนะ ผมโดนปลดก่อน” (โทนี่ แบลร์ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ในปี 2007 หรือ 1 ปี หลังอิริคสันอำลาทีมชาติอังกฤษ)

อิริคสันคุมทีมชาติอังกฤษนาน 5 ปี ก่อนถูกปลดในปี 2006 หลังพาสิงโตคำรามทะลุถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายรายการใหญ่ได้ทั้ง 3 รายการ คือ ฟุตบอลโลก 2002, ยูโร 2004 และฟุตบอลโลก 2006

นอกจากนี้ยังช่วยทำให้อันดับโลกของอังกฤษในตารางคะแนนฟีฟ่า ขยับจากอันดับ 17 ตอนเข้ามา ขึ้นไปอยู่อันดับ 5 ในปีที่เขาถูกปลดออกไป ถือเป็นผลงานดีที่สุดในรอบเกือบ 40 ปี นับตั้งแต่อังกฤษคว้าแชมป์โลกปี 1966 ในยุคของ ‘อัลฟ์ แรมซีย์’

อิริคสันบอกกับ The Guardian ว่า ปัญหาของทีมชาติอังกฤษที่ไม่ประสบความสำเร็จในระยะหลังไม่ได้อยู่ที่โค้ช หรือแท็คติก แต่อยู่ที่สภาพจิตใจของนักเตะมากกว่า โดยเฉพาะการต้องแบกรับแรงกดดันที่มาจากทั้งสื่อและแฟนบอล

มรสุมข่าวฉาวของกุนซือจากแดนฟรีเซ็กส์

“ตลอด 13 ปีที่ทำงานในอิตาลี ผมไม่เคยถูกสื่อเขียนถึงชีวิตส่วนตัวเลยสักครั้ง” อิริคสันยอมรับว่ารู้สึก ‘ช็อค’ เมื่อย้ายมาอังกฤษ และถูกสื่อตามติดทุกฝีก้าว โดยเฉพาะการถูกขุดคุ้ยเรื่องราวส่วนตัวเกี่ยวกับคนรัก

อิริคสันเคยแต่งงานและหย่าร้างกับภรรยาตั้งแต่สมัยยังเป็นโค้ชหน้าใหม่ในบ้านเกิด แต่หลังจากนั้นแม้เขาจะคบหาผู้หญิงอีกหลายคนก็ไม่เคยจดทะเบียนสมรสกับใคร โดยตอนย้ายมาอังกฤษ เขาคบกับ ‘แนนซี เดลล์ โอลิโอ’ ทนายสาวไฮโซชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี

แต่ชีวิตคู่มันมีอะไรซับซ้อนมากกว่าที่คนนอกจะล่วงรู้ และเมื่อสื่อจับได้ว่าเขามีสาวคนใหม่ เรื่องราวต่าง ๆ จึงถูกตีแผ่เป็นข่าวใหญ่ในสื่อแท็บลอยด์ ไม่ว่าจะเป็นการนอกใจแนนซี ไปคบกับ ‘อุลริกา จอนส์สัน’ พิธีกรทีวีเชื้อสายสวีดิช และความสัมพันธ์กับ ‘ฟาเรีย อารัม’ เลขานุการของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ

ในหนังสารคดี Sven กุนซือชาวสวีเดนจากแดน ‘ฟรีเซ็กส์’ มองย้อนกลับไปถึงข่าวฉาวเหล่านี้ว่าไม่ใช่ความผิดของเขา “ผมไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย”

“เซ็กส์เป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ เรื่องหนึ่งในชีวิตของพวกเราทุกคน”

ความจริงแล้วฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อิริคสันถูกปลดจากกุนซือทีมชาติอังกฤษ ไม่ได้มาจากความเจ้าชู้ของเขา แต่มาจากการถูกหลอกให้บอกว่า เขากำลังปันใจจากการรับใช้ทีมชาติ

เหยื่อดักฟังและคำหลอกลวง

5 เดือนก่อนศึกฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้ายจะคิก-ออฟ อิริคสันตกเป็นเหยื่อการปั่นข่าวของ News of the World แท็บลอยด์เก่าแก่ของอังกฤษ เมื่อเขาถูกนักข่าวคนหนึ่งปลอมตัวเป็นเศรษฐีอาหรับชวนไปกินข้าว และอิริคสันหลุดปากบอกกับ ‘ชีคตัวปลอม’ คนนั้นว่า แอสตัน วิลล่า กำลังต้องการขายสโมสร

เขาแนะนำให้ชายที่คุยด้วยเข้าไปเทคโอเวอร์ พร้อมรับปากจะลาออกจากทีมชาติอังกฤษมาช่วยคุมวิลล่า และจะดึง ‘เดวิด เบ็คแฮม’ จากเรอัล มาดริดให้ย้ายมาร่วมทัพ

หลังข่าวนี้ถูกตีแผ่ สมาคมฟุตบอลอังกฤษจึงออกประกาศเตรียมแยกทางกับอิริคสัน หลังจบศึกฟุตบอลโลกปีนั้นทันที

อิริคสันยอมรับว่า เขาพลาดท่าให้กับวิธีหาข่าว ซึ่งหมิ่นเหม่กับการละเมิดจรรยาบรรณแบบนั้นในอังกฤษ นอกจากนี้ เขายังมาทราบจากสก็อตแลนด์ ยาร์ด ภายหลังว่า ตนเองถูกดักฟังโทรศัพท์มาตลอด

ความเป็นคนจิตใจดี - เชื่อคนง่ายยังทำให้เขาตกเป็นข่าวฉาวอีกในปี 2009 เมื่อถูกทาบทามให้ไปเป็นผู้อำนวยการฟุตบอล ‘น็อตต์ส เคาน์ตี้’ ในดิวิชั่น 2 ของอังกฤษ ด้วยคำ ‘ขายฝัน’ ว่า เขาจะได้รับเงินลงทุนมหาศาลจากเศรษฐีอาหรับ ซึ่งอยากให้พาสโมสรเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกให้ได้ภายใน 5 ปี

หนึ่งในภารกิจของเขา คือ การเดินทางไปเกาหลีเหนือ เพื่อปิดดีลทำเหมือง ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนหลักของสโมสร ทว่า เมื่อเดินทางไปถึงกลับไม่มีดีลธุรกิจใด ๆ แต่เป็นการหลอกให้ไปคุยกับสมาคมฟุตบอลเกาหลีเหนือ เพื่อเกลี่ยกล่อมให้ช่วย ‘ล็อคผล’ การจับสลากแบ่งสายฟุตบอลโลก 2010 เนื่องจากอิริคสันเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการฟีฟ่า

“ผมบอกไปว่า ‘ผมล็อกผลให้ไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

หลังเดินทางกลับอังกฤษ อิริคสันรู้ตัวว่า ตนเองถูกหลอกและไม่มีเงินลงทุนจากเศรษฐีอาหรับเข้ามาแต่อย่างใด สุดท้ายเขายังต้องยกหนี้มูลค่า 2.5 ล้านปอนด์ที่สโมสรติดค้างตัวเองไว้เพื่อช่วยให้ทีมอยู่รอด ก่อนถูกขายให้เจ้าของคนใหม่ในราคาแค่ปอนด์เดียว

พลิกฟื้นแมนฯ ซิตี้ สู่ยุคยิ่งใหญ่

แม้หลังถูกไล่ออกจากทีมชาติอังกฤษ ชีวิตของอิริคสันต้องเผชิญอุปสรรคและความท้าทายมากมาย เขากลายเป็น ‘กุนซือพเนจร’ ที่ตระเวนไปคุมสโมสรและทีมชาติอื่นทั่วโลก โดยแต่ละทีมที่ไปก็ไม่สามารถอยู่ได้แบบระยะยาว

แต่หนึ่งในงานที่เขาตอบรับ และทำให้เริ่มคุ้นเคยกับคนไทย คือ การเซ็นสัญญาคุมแมนฯ ซิตี้ ในปี 2007 หลังอดีตนายกฯ 'ทักษิณ ชินวัตร’ เข้าไปเทคโอเวอร์ และสร้างประวัติศาสตร์เป็นคนไทยคนแรกที่เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลอังกฤษ

สเวน-โกรัน อิริคสัน: กุนซือ ‘เวิลด์คลาส’ ที่คนไทยคุ้นเคย ผู้จุดประกาย ‘แมนฯ ซิตี้\' สู่ความยิ่งใหญ่ การมาของอิริคสัน สร้างเซอร์ไพร์สและกลายเป็นข่าวดัง เนื่องจากแฟนบอลส่วนใหญ่ไม่คิดว่า กุนซือ ‘บิ๊กเนม’ ที่เพิ่งคุมทีมชาติอังกฤษมาหมาด ๆ จะยอมลดตัวมารับงานคุมทีมท้ายตารางอย่าง ‘ซิตี้’ ในยุคนั้น

นอกจากนี้ อิริคสันยังช่วยจุดประกายความฝันให้ซิตี้กลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ ด้วยการพาทีมเอาชนะแชมป์เก่าและคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง ‘แมนฯ ยูไนเต็ด’ ภายใต้การคุมทัพของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ทั้งนัดเหย้า - เยือน เป็นครั้งแรกในรอบ 38 ปี

แม้สุดท้ายเขาต้องย้ายออกจาก ‘ซิตี้’ หลังคุมทีมได้ฤดูกาลเดียว แต่จากนั้นไม่นานเมื่อ ‘ทักษิณ’ ขายทีมต่อให้เศรษฐีน้ำมันอาหรับ ‘เรือใบสีฟ้า’ ก็ขยับสถานะขึ้นมา กลายเป็นทีมแถวหน้าที่ผูกขาดแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษแทนคู่ปรับร่วมเมืองได้ในที่สุด

โค้ชผู้เป็นที่รักของนักเตะ

หลังร่วมงานกับคนไทยครั้งแรกที่ ‘แมนฯ ซิตี้’ ต่อมาในปี 2010 - 2011 อิริคสันมีโอกาสคุมทีมที่คนไทยเป็นเจ้าของอีกครั้งกับ 'เลสเตอร์ ซิตี้’ จากนั้นจึงเดินทางมารับตำแหน่งผู้อำนวยการฟุตบอลในศึกไทยลีกกับ ‘บีอีซี - เทโรศาสน’ แม้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ในปี 2012

ตลอด 11 ปี หลังถูก ‘ทักษิณ’ ปลดจากแมนฯ ซิตี้ อิริคสันตระเวนไปรับงานผู้จัดการทีมทั่วโลกรวม 7 ทีม โดยนอกจากเลสเตอร์ ยังมีทีมชาติเม็กซิโก ไอเวอรี่โคสต์ และฟิลิปปินส์ รวมถึงสโมสรในลีกจีนอีก 3 ทีม ก่อนประกาศอำลาอาชีพโค้ชอย่างเป็นทางการในปี 2019

“ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้จัดการทีมที่ดีไหม แต่ถ้ามีอะไรที่ผมทำได้ดี มันคือการสร้างบรรยากาศดี ๆ ให้เกิดขึ้นไม่เฉพาะแค่ในทีม แต่รวมทั้งสโมสร ผมคิดว่านั่นคือจุดแข็งของผม มากกว่าเรื่องเทคนิคการเล่นด้วยซ้ำ”

อิริคสันบอกกับ The Guardian หลังตลอดอาชีพกุนซือที่ผ่านมาเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้จัดการทีมที่ให้เกียรติคนรอบตัว และเป็นที่รักของนักเตะหลายคน

“ผมรักเขาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา เขาคอยปกป้องและให้เกียรตินักเตะทุกคน” เดวิด เบ็คแฮม กัปตันทีมชาติอังกฤษในยุคอิริคสัน กล่าวยืนยันเรื่องนี้

ชื่อเสียงเรื่องการปกป้องลูกทีมของอิริคสันที่โด่งดังที่สุดเห็นจะเป็นการแถลงข่าวครั้งสุดท้ายในฐานะกุนซือทีมชาติอังกฤษ หลัง ‘เวย์น รูนีย์’ โดนใบแดง ทำให้อังกฤษต้องเล่น 10 คนนานนับชั่วโมง จนสุดท้ายพ่ายจุดโทษโปรตุเกส ตกรอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006

อิริคสันพยายามปกป้องรูนีย์ โดยบอกกับนักข่าวว่า ศูนย์หน้าดาวรุ่งผู้นี้ คือ อนาคตสำคัญของทีมสิงโตคำราม 

“อย่าไปเล่นงานเขาเลย เล่นงานผมนี่ พวกคุณต้องการเขา แต่คุณไม่จำเป็นต้องมีผมก็ได้”

หลังงานแถลงข่าวนั้น รูนีย์ออกมาชื่นชมและยกย่องกุนซือชาวสวีดิชทันทีว่า เป็นโค้ชที่น่าเคารพและมี “คลาส” อย่างแท้จริง

“ถ้าคุณให้เกียรติคนรอบตัว พวกเขาก็จะให้เกียรติคนอื่นรอบตัวของเขาด้วยเช่นกัน” อิริคสันกล่าวย้ำปรัชญาข้อนี้ของตนเอง

มองโลกด้านดีและยิ้มสู้

นอกจากเป็นกุนซือจอมแท็คติก อิริคสันยังมีเอกลักษณ์เรื่องบุคลิกข้างสนามที่ไม่เหมือนใคร เขาเป็นผู้จัดการทีมที่แต่งตัวเนียบ ใส่แว่น สวมสูท หวีผมเปิดหน้าผากกว้าง ที่สำคัญแทบไม่เคยแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาไม่ว่าทีมจะตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไร

หลายคนแซวว่า มาดนิ่ง ๆ ของเขาทำให้ดูคล้ายอาจารย์มหาวิทยาลัยมากกว่าผู้จัดการทีมฟุตบอล

อิริคสันเปิดใจหลังประกาศข่าวร้ายว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และมีเวลาอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นานว่า ฟุตบอลคือทุกอย่างในชีวิตของเขา แม้ในช่วงที่ตัวเองต้องพักรักษาตัว เขายังนั่งชมเกมลูกหนังอย่างบ้าคลั่ง และบอกว่า ไม่เคยพลาดชมศึกยูโร 2024 เลยสักนัดเดียว

ในหนังสารคดีเรื่อง Sven นอกจากอิริคสันจะกล่าวขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งโค้ช นักเตะ และกองเชียร์เป็นครั้งสุดท้าย เขายังยืนยันหนักแน่นว่า ไม่เคยเสียใจต่อเรื่องที่ผ่านมา ไม่ว่าจะร้ายหรือดี

“อย่าเสียใจไปเลย จงยิ้มเข้าไว้” เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาทั้งร้ายและดี เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตใกล้เข้ามา เขาบอกว่า ไม่มีอะไรมีความสุขไปกว่าแค่ตื่นนอนขึ้นมาและรู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย 

แต่ถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ เขาอยากให้ทุกคนจดจำชายผู้นี้ที่ชื่อ ‘สเวน-โกรัน อิริคสัน’ ว่า เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่มองโลกในแง่ดี และพยายามทำทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้ 

ที่สำคัญ… อย่าลืมให้เกียรติคนรอบกายเพื่อให้สังคมน่าอยู่ และเต็มไปด้วยความรัก

 

เรื่อง: ภานุวัตร เอื้ออุดมชัยสกุล

 

อ้างอิง:

THE SVEN YEAR | ภาพยนตร์เต็มเรื่อง! | 1 ปีที่แมนฯ ซิตี้ กับ ‘สเวน โกรัน อิริคสัน’ / Man City

'Don't be sorry, smile' - Eriksson in new film / BBC

‘I try not to think about dying’: Sven-Göran Eriksson on his terminal illness, scandal, and why he feels sorry for the next England manager / The Guardian

Sven review – this portrait of the ex-England manager is deeply profound / The Guardian