01 พ.ย. 2567 | 20:21 น.
‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปลุกความหวังกลับคืนความยิ่งใหญ่ให้เหล่าสาวกทั่วโลกอีกครั้ง หลังแต่งตั้ง ‘รูเบน อโมริม’ (Ruben Amorim) กุนซือชาวโปรตุเกส วัย 39 ปี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่แทน ‘เอริก เทน ฮาก’ กุนซือชาวดัตช์ ซึ่งถูกปลดออกไปเพราะผลงานไม่เข้าตา แถมยังมองไม่ออกว่า จะปลุก ‘ยักษ์หลับ’ ทีมนี้ให้ตื่นกลับมาเมื่อใด
หากไม่นับตำแหน่งรักษาการณ์ อโมริมถือเป็นกุนซือคนที่ 6 ในรอบ 11 ปีของแมนฯ ยูไนเต็ด (เฉลี่ย 1 คนไม่เกิน 2 ปี) นับตั้งแต่หมดยุคของ ‘อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน’ ผู้จัดการทีมคนสุดท้ายที่พาสโมสรคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในปี 2013
หลังจากนั้น ยูไนเต็ดก็ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสถ้วยแชมป์ใบนี้อีกเลย จนกระทั่งอโมริมเข้ามา ท่ามกลางความหวังว่า เขาจะช่วยปลุก ‘ปีศาจแดง’ ให้ตื่นจากหลับใหล กลับมายิ่งใหญ่เป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้เร็วไว เหมือนที่เขาเคยทำได้กับ ‘สปอร์ติ้ง ลิสบอน’ ในบ้านเกิดของตัวเอง
สื่อหลายสำนักยกให้อโมริม เป็นกุนซือเนื้อหอมที่สุดคนหนึ่งของยุค เพราะเขามีชื่ออยู่ในบัญชีผู้จัดการทีมคนต่อไปของหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป ก่อนที่แมนฯ ยูไนเต็ดจะคว้าตัวมา
หลายคนให้ฉายาเขาเป็น ‘ร่างทอง’ ของ ‘โชเซ่ มูรินโญ่’ ยอดกุนซือรุ่นพี่จากชาติเดียวกัน หรือจะบอกว่า ถ้ามูรินโญ่ คือ ‘Special One’ อโมริมก็เหนือกว่าไปอีกขั้น อยู่ระดับ ‘Extra Special One’ ก็ไม่ผิด
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอโมริมมีมูรินโญ่เป็น ‘ไอดอล’ เขาเคยฝึกงานกับรุ่นพี่คนนี้ที่ ‘โอลด์ แทรฟฟอร์ด’ และเป็นโค้ชเน้นแท็กติก – มากพรสวรรค์ ด้วยกันทั้งคู่ แต่ที่ต่างกันนอกจากอายุ คือ อุปนิสัย
มูรินโญ่เป็นโค้ชฝีปากกล้า และมักมีปัญหากับคนอื่นไปทั่ว แต่อโมริมได้รับคำชมจากคนรอบตัวว่าอัธยาศัยดี และมีวาทศิลป์ ถึงขั้น ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ อดีตเพื่อนร่วมทีมชาติเคยเรียกเขาว่า ‘นักกวี’
ความสามารถในการใช้ภาษาโน้มน้าวใจ และกระตุ้นลูกทีมให้มุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน คือ จุดเด่นของเขา เมื่อรวมกับพรสวรรค์ในการวางแผนเกมลูกหนังภายใต้ปรัชญาเฉพาะตัว จึงทำให้ รูเบน อโมริม กลายเป็นกุนซือเนื้อหอมระดับ Extra Special One ที่หลายทีมต้องการ
หากอยากรู้ต้นตอที่ทำให้อโมริม กลายเป็นกุนซือ Extra Special One คงต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ
รูเบน อโมริม เป็นชาวกรุงลิสบอน เมืองหลวงของโปรตุเกสโดยกำเนิด เขาเกิดวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1985 ปีเดียวกับ ‘โรนัลโด้’ นักเตะซูเปอร์สตาร์เพื่อนร่วมชาติ
โดยอโมริมเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพในลีกสูงสุดที่บ้านเกิดในตำแหน่งมิดฟิลด์กับ ‘เบเลเนนส์’ (Belenenses) ตั้งแต่อายุ 18 ปี ก่อนย้ายไป ‘เบนฟิก้า’ และคว้าแชมป์ลีกได้ 3 สมัย
เขามีชื่อติดทีมชาติโปรตุเกส 14 ครั้ง และเคยอยู่ในชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2 สมัยในปี 2010 และ 2014
แม้ชื่อเสียงในฐานะนักเตะอาจไม่โด่งดังระดับซูเปอร์สตาร์ แต่หลายคนจดจำในฐานะนักเตะจอมขยัน ทุ่มเท สไตล์ ‘ผึ้งงาน’ ที่สามารถเป็นทุกอย่างเพื่อทีม ไม่ใช่นักบอล ‘ชายเดี่ยว’ แต่เน้นทีมเวิร์ก และมีหัวใจนักสู้
อย่างไรก็ตาม เส้นทางค้าแข้งของอโมริมต้องมาจบลงก่อนวัยอันควรเพราะปัญหาบาดเจ็บเอ็นไขว่หน้าเข่า เขาประกาศแขวนสตั๊ดในวัย 32 ปี แต่ในโชคร้ายก็ยังมีเรื่องดี เพราะปีถัดมา อโมริมตัดสินใจต่อยอดความถนัดในเชิงลูกหนังของตัวเอง ด้วยการพัฒนาไปสู่อาชีพโค้ชเป็นเป้าหมายต่อไป
อโมริมสมัครเข้าเรียนหลักสูตรโค้ชที่มหาวิทยาลัยลิสบอน (University of Lisbon) ในปี 2018 และได้มูรินโญ่ ซึ่งขณะนั้นรับงานคุมทีม ‘ปีศาจแดง’ แห่งเกาะอังกฤษและเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากมาย ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในอาจารย์พิเศษช่วยถ่ายทอดบรรยายประสบการณ์ตรง
นอกจากความรู้ในห้องเรียน คอร์สนี้ยังเปิดโอกาสให้อโมริมเดินทางไปฝึกงานและสัมผัสบรรยากาศจริงกับมูรินโญ่ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด นาน 1 สัปดาห์ เรียกว่าเป็นการเรียนรู้งานล่วงหน้า ก่อนที่อีก 6 ปีถัดมา อโมริมจะได้เซ็นสัญญามาคุมทีม ‘ปีศาจแดง’ จริง ๆ
หลังได้เคล็ดวิชามาจากมูรินโญ่ งานแรกที่อโมริมเลือกทำในฐานะโค้ชน้องใหม่ วัย 33 ปี คือ การคุมทีม ‘คาซ่า เปีย’ (Casa Pia) ในดิวิชั่น 3 ของโปรตุเกส แต่ก็ทำได้ไม่นาน เพราะยังไม่มีใบอนุญาตให้เป็นโค้ชอย่างถูกต้อง
ปี 2019 พอได้ใบรับรองอย่างเป็นทางการ เบนฟิก้าจึงทาบทามให้ไปคุมทีมสำรอง ทว่า อโมริมปฏิเสธ และเลือกไปเริ่มต้นกับทีมที่เล็กกว่าอย่าง ‘บราก้า’ (Braga) ชุด ‘บี’ ก่อนที่จะได้ก้าวขึ้นสู่เฮดโค้ชทีมชุดใหญ่ภายในเวลาไม่กี่เดือน
เมื่อเฮดโค้ชบราก้าคนเก่าถูกปลดกลางคัน อโมริมได้เลื่อนขั้นมาทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชุดใหญ่ในช่วงปลายปี 2019 และสามารถพาต้นสังกัดทำผลงานได้น่าเหลือเชื่อ ไม่แพ้ใครตลอด 13 นัดสุดท้ายที่เหลือของฤดูกาล ทำให้บราก้าขยับจากอันดับ 8 ขึ้นไปจบที่อันดับ 3 แถมยังมีแชมป์บอลถ้วยในประเทศติดมือมาอีก 1 ใบ
ที่สำคัญกว่านั้น อโมริมยังช่วยเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับบราก้า ด้วยการเป็นโค้ชที่พาทีมบุกไปชนะเบนฟิก้า ได้ถึงถิ่นคู่แข่งเป็นครั้งแรกในรอบ 65 ปี
นั่นคือเหตุผลที่สปอร์ติ้ง ลิสบอน ไม่รอช้า หลังจบซีซั่นแรกของอโมริมกับบราก้า จึงตัดสินใจดึงตัวกลับมาเมืองหลวงทันที โดยทุ่มเงินซื้อตัวไป 10 ล้านยูโร ทำให้อโมริมสร้างสถิติเป็นผู้จัดการทีมค่าตัวแพงที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ลูกหนัง
แม้ยังเป็นโค้ชอายุน้อย แต่อโมริมก็พิสูจน์ให้เห็นทันทีว่า ฝีมือของเขาไม่ธรรมดาสมกับราคาค่าตัว โดยฤดูกาล 2020/21 ซึ่งเป็นซีซั่นแรกที่ย้ายมาสปอร์ติ้ง ลิสบอน เขาปลุก ‘ยักษ์หลับ’ ทีมนี้ ซึ่งมีปัญหาภายในรุมเร้า ให้กลับมาทำสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกัน 32 นัด พร้อมผงาดเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 19 ปี
จากนั้นในฤดูกาล 2023/24 อโมริมก็พาทีม ‘สิงโตเขียว - ขาว’ แห่งกรุงลิสบอน คว้าแชมป์ลีกถ้วยเดียวกันอีกสมัย เพื่อตอกย้ำว่า เขา ‘ไม่ได้ฟลุค’ และยืนยันด้วยว่า สามารถพาสปอร์ติ้งผ่านยุคตกต่ำได้จริง ทำให้สโมสรกลับไปยืนอยู่ในกลุ่ม ‘บิ๊กทรี’ หรือสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งลีกลูกหนังโปรตุเกส ร่วมกับ ‘เบนฟิก้า’ และ ‘ปอร์โต้’ ได้อย่างภาคภูมิใจ
สื่อหลายสำนักพยายามวิเคราะห์เคล็ดลับที่ทำให้อโมริม สามารถทำทีมประสบความสำเร็จได้รวดเร็ว โดยสอบถามจากบรรดากูรูที่คุ้นเคยกับลีกลูกหนังโปรตุเกส รวมถึงโค้ชที่เคยร่วมงาน และโค้ชฝั่งตรงข้ามที่เคยคุมทีมฟาดแข้งด้วย
ข้อมูลที่ได้ส่วนใหญ่ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ความสำเร็จของอโมริม มีเคล็ดลับมาจากสามปัจจัยหลัก ๆ นั่นคือ แผนการเล่น ปรัชญาการทำทีม และบุคลิกส่วนตัว
อโมริมเป็นโค้ชที่ยึดแผนการเล่นแบบ 3-4-3 คือใช้เซ็นเตอร์แบ็ก 3 คน กองกลาง + วิงแบ็ก 4 คน และกองหน้า 3 คน โดยเน้นเกมบุกที่รวดเร็ว และตั้งรับด้วยการเพรสซิ่งอย่างดุดัน วิงแบ็กทั้งสองข้างต้องสามารถวิ่งขึ้นลงช่วยทั้งเกมรับและรุก โดยระหว่างตั้งรับอาจปรับมาใช้ระบบ 5-2-3 ชั่วคราว เพื่อให้หลังบ้านเหนียวแน่นยิ่งขึ้น
‘กีเยม บาลาเก’ (Guillem Balague) ผู้เชี่ยวชาญฟุตบอลยุโรปบอกกับ ‘บีบีซี สปอร์ต’ ว่า อโมริมค้นพบแผน 3-4-3 ตั้งแต่เริ่มอาชีพกุนซือที่คาซ่า เปีย
“เขาทำทีมแพ้ 2 นัดแรก ทำให้เริ่มเสียความมั่นใจและเกิดข้อกังขา เขาจึงประกาศออกไปว่า ถ้าแพ้อีกเป็นนัดที่ 3 จะลาออก นัดต่อมาเขาเปลี่ยนระบบ หันมาเล่นกองหลัง 3 คนครั้งแรก
“ปรากฏว่าระบบนี้ได้ผล หลังจากนั้นทีมทำสถิติไร้พ่ายติดต่อกัน เขาจึงรู้สึกว่า สูตรนี้ทำให้สามารถสร้างสรรค์ฟุตบอลในแบบที่ตัวเองต้องการ แถมยังเป็นสูตรที่ทำให้แฟนบอลตื่นตาตื่นใจตลอดเวลาได้อีกด้วย
“ตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่เคยหันหลังกลับไปใช้แผนอื่น แม้ต้องย้ายไปคุมบราก้า และสปอร์ติ้งในเวลาต่อมาก็ตาม”
แม้อโมริมจะยึดแผน 3-4-3 เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่แท็กติกของเขาก็มีความยืดหยุ่น และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ตลอดเวลา โดยเจ้าตัวเผยว่า เขาชอบศึกษาจุดอ่อนคู่แข่งตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ และนิสัยนี้ก็ติดตัวมาตอนเป็นโค้ช ดังนั้น เขาจะทำการบ้านก่อนลงสนามทุกนัด และปรับแท็กติกไปตามจุดอ่อน - จุดแข็งของคู่ต่อสู้
ปรัชญาการทำทีมของอโมริม คือ ‘ไม่มีนักเตะคนใดใหญ่กว่าสโมสร’ ดังนั้น เขาจึงเน้นการเล่นเป็นทีมเหมือนสมัยที่ตัวเองเป็นนักเตะ และสามารถรักษาผลงานที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ แม้ทีมจะมีผู้เล่นย้ายเข้าออกตลอดเวลาก็ตาม
สิ่งนี้ปรากฏให้เห็นชัดเจนหลังอโมริมพาสปอร์ติ้ง ลิสบอน คว้าแชมป์ลีกสมัยแรก และฤดูกาลต่อมา นักเตะหลักถูกทีมต่างชาติซื้อตัวไปหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ‘เจา ปาลินญ่า’ (บาเยิร์น มิวนิก) ‘นูโน่ เมนเดส’ (ปารีส แซงต์ แชร์กแมง) ‘มัทเธอุส นูเนส’ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) หรือ ‘เปโดร ปอร์โร่’ (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์) แต่เขาก็ใช้เวลาเพียงฤดูกาลเดียวสร้างทีมขึ้นใหม่ และคว้าแชมป์ได้อีกสมัยในฤดูกาลถัดไปทันที
ปรัชญานี้ยังมาพร้อมความกล้าหาญในการปั้นนักเตะเยาวชนจากอะคาเดมีให้ขึ้นมาเติบโตในทีมชุดใหญ่ และให้ความสำคัญกับเกมการแข่งขันที่สนุกเร้าใจ โดยเขามีความเชื่อส่วนตัวที่ยึดมั่นมาตลอดว่า “ฟุตบอลจะมีความหมายก็ต่อเมื่อคนดูรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจเท่านั้น”
ปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้อโมริม กลายเป็นโค้ชเนื้อหอมและนำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้รวดเร็ว คือ นิสัยส่วนตัวที่แตกต่างจากอาจารย์ของเขาอย่างมูรินโญ่โดยสิ้นเชิง
หลายคนยกย่องอโมริมให้เป็นกุนซือที่มีทักษะการเลือกใช้คำพูดได้ดี เป็นคนตรงไปตรงมา แต่ไม่ก้าวร้าว มีความเป็นมิตร สีหน้ายิ้มแย้ม และถ่อมตัว
ที่สำคัญ เขามีภาวะผู้นำเต็มเปี่ยม ไม่เคยวิจารณ์ลูกทีมออกสื่อ เมื่อทีมทำผลงานน่าผิดหวัง เขาจะยืดอกยอมรับผิดโดยไม่โทษใคร เป็นคนใช้วาทศิลป์ได้ดี สามารถพูดโน้มน้าวคนรอบกายตั้งแต่ลูกทีมไปจนถึงผู้บริหาร ตลอดจนนักข่าวและแฟนบอล นั่นจึงทำให้ใคร ๆ ต่างพูดถึงในด้านดี และส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของสโมสร
“ผมคิดว่าเขาพาทีมเก็บชัยชนะได้บ่อยเพราะการสื่อสารที่ดี” วาสโก ซีบรา (Vasco Seabra) อดีตเฮดโค้ชของเอสโตริล ทีมเพื่อนบ้านของสปอร์ติ้ง ลิสบอน ยืนยันกับ ‘สกาย สปอร์ต’
“ข้อความของเขาที่สื่อออกไปมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ผู้เล่นสามารถติดต่อสื่อสารกับเขาได้ง่ายดาย แม้แต่คนนอกอย่างนักข่าวและคนทั่วไป ก็รู้สึกเป็นอะไรที่ง่ายและจับต้องได้จริง”
มูรินโญ่ อาจารย์ของเขาเคยพูดถึงลูกศิษย์คนนี้ตอนมีข่าว ‘เวสต์แฮม’ สนใจดึงตัวอโมริมไปคุมทีมเมื่อต้นปี 2024 ว่า
“ผมคิดว่าเขามีศักยภาพพอในการเป็นโค้ชได้ทุกลีกและทุกสโมสร แต่เขาก็อยู่ในลีกและสโมสรที่ดีแล้ว มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา และขึ้นอยู่กับสโมสรว่าอยากได้ตัวเขาจริงหรือไม่ คงต้องคุยกันไม่มากก็น้อยเพื่อให้เขาเห็นคล้อย
“ที่ชัดเจนสำหรับผมก็คือ ผมชอบเขาทั้งในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และในฐานะโค้ชด้วย”
นั่นคือเสียงยืนยันความเป็น Extra Special One ของ ‘รูเบน อโมริม’ โค้ชมากพรสวรรค์ที่ก้าวจากนักเตะจอมขยันไปสู่กุนซือเจ้าเสน่ห์
เป็นผู้ยึดมั่นปรัชญาการทำงานที่มีเอกลักษณ์ เน้นสร้างสรรค์เกมที่สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ และเป็นที่หมายปองของใครหลายทีม โดยเฉพาะแมนฯ ยูไนเต็ดในยุคซึ่งห่างไกลจากคำว่า ‘ท็อปโฟร์’ หรือ ‘ท็อปไฟฟ์’ และยังห่างหายจากคำว่า ‘แชมป์พรีเมียร์ลีก’ มานานกว่า 10 ปี
เรื่อง: ภานุวัตร เอื้ออุดมชัยสกุล
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง:
A student of Mourinho - is 'crowd pleaser' Amorim right for Man Utd?
Why Man Utd appointed Ruben Amorim: The 'poet' who had an internship with Jose Mourinho and turned Portuguese football on its head can give Red Devils the shake-up they need
Manchester United next manager live updates: Ruben Amorim lined up to replace Erik ten Hag