10 พ.ค. 2562 | 19:04 น.
เจอร์เกน คล็อปป์ (Jürgen Klopp) ผู้จัดการทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล ยังคงถามตัวเองอยู่เสมอว่าทำไม ? ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว คล็อปป์ พยายามนึกถึงหน้าลูกชายตัวเอง เขาสงสัยว่าตัวเองรู้สึกยังไงตอนที่ไม่ได้อยู่ที่หน้าประตูเพื่อส่งลูกชายไปโรงเรียนวันแรก คล็อปป์ คิดเรื่องนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้อะไรได้ เพราะเขารู้ว่าตอนนั้นสิ่งที่เขาเลือกทำก็เป็นสิ่งที่เขารักไม่ต่างกัน นั่นก็คือการเล่นฟุตบอล ตอนสมัยเป็นนักเตะ คล็อปป์ ใช้เวลากับการฝึกซ้อมทั้งวัน เขาเป็นคนมุ่งมั่นและมีระเบียบวินัยเสมอ แม้ลึก ๆ เขาจะรู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจทำทุกอย่างตามกฎเป๊ะ ๆ จนชีวิตส่วนตัวแย่ลงเรื่อย ๆ แต่เขาใช้เวลาที่จะเรียนรู้และเติบโตจากสิ่งที่เขาเคยพลาด หลังเปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้จัดการทีม คล็อปป์ ปล่อยวางทุกสิ่งมากขึ้น เขาไม่ยึดติดกับอะไรเดิม ๆ ซึ่งต่างกับสมัยค้าแข้งนัก กรณีตัวอย่างก็คือ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฟาเบียน เกอร์เบอร์ นักเตะของเขาที่ไมนซ์ 05 เดินเข้ามาขอเขาหยุดซ้อมหนึ่งวัน เพื่อต้องการกลับบ้านไปงานวันเกิดของแม่และใช้เวลากับครอบครัว ใช่แล้วถ้าเป็น คล็อปป์ สมัยก่อน ลูกทีมของเขาคนนี้อาจถูกโดนด่าและไล่ออกจากห้องแทบไม่ทันแน่ ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่แบบนั้นเลย สุดท้าย คล็อปป์ อนุญาตให้ เกอร์เบอร์ กลับไปหาครอบครัวได้ คล็อปป์ มีปรัชญาการทำทีมในแบบของตัวเอง และนั่นคือการทำให้คนอื่นรู้สึกสบายในการทำงาน เขาอยากให้คนอื่นรู้สึกอิสระ อิสระจากแรงกระตุ้นจากภายนอก มันคือกุญแจในการบริหารทีมของเขา “ถ้าคุณทำตัวเหมือนเป็นสิ่งของ คนจะชอบคุณตอนช่วงขาขึ้นเท่านั้นแหละ นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีเลย ผมเลยต้องคอยบอกพวกเขาว่าอย่าไปสนใจเสียงวิจารณ์จากภายนอก คำวิพากษ์วิจารณ์สำคัญนะ แต่มันก็มีแนวโน้มที่จะไปในด้านลบมากหรือบวกมากไปเลย คุณทำประตูได้ 3 ลูก จากนั้นทุกคนก็จะบอกคุณว่า 'ยอดเยี่ยม! รู้สึกยังไงบ้าง?’ ไม่มีใครสนใจคนที่ส่งบอลก่อนหน้านั้นหรอก ในฐานะผู้จัดการทีมคุณรู้อยู่แล้วว่านักเตะแทบไม่มีทางทำได้ 3 ลูกในเกมหน้าหรอก นั่นแหละเป็นเหตุผลว่าทำไมการช่วยให้พวกเขาเป็นคนพึ่งพาตัวเองได้ มั่นใจในตัวเอง จึงเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ในการทำงานกับพวกเขาในทุก ๆ วัน” คล็อปป์ เริ่มต้นเส้นทางลูกหนัง ด้วยการเป็นนักฟุตบอลให้กับทีมไมนซ์ 05 ในตำแหน่งกองหน้า ก่อนที่ช่วง 5 ปีหลังของการค้าแข้งเขาเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองมาเล่นเป็นกองหลังตัวกลาง ตลอด 12 ฤดูกาลที่เขาค้าแข้งกับไมนซ์ คล็อปป์ลงสนามไปทั้งสิ้น 338 นัดยิงได้ 52 ประตู ก่อนที่เขาจะยุติเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพด้วยวัยเพียง 33 ปี “ผมไม่สามารถทำงานอื่นได้นอกจากฟุตบอล ตลอดมาผมเรียนรู้ที่จะอยู่กับความกดดันและการต่อสู้กับความรู้สึกภายในของตัวเอง” หลังจากประกาศแขวนสตั๊ด คล็อปป์ เปลี่ยนบทบาทของตัวเองมารับบทผู้จัดการทีมของไมนซ์ในช่วงข้ามคืน ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยได้รับการอบรมการเป็นโค้ชมาก่อนเลย คล็อปป์ ใช้เวลาไม่กี่ฤดูกาลก็สร้างปรากฏการณ์พาไมนซ์เลื่อนชั้นมาเตะในบุนเดสลีกาได้สำเร็จ แม้อีก 3 ฤดูกาลต่อมาไมนซ์จะตกชั้นลงไปอีกครั้งก็ตาม “ผมยังจำได้อยู่เลย ตอนนั้นผมไม่มีประสบการณ์อะไรทั้งนั้น (การเป็นโค้ช) ตอนนั้นผมรู้สึกตื่นเต้นมากกับโอกาสที่ได้รับ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นโค้ช ตอนนั้นผมไม่คิดด้วยซ้ำว่า ถ้าทำผลงานไม่ดี จะโดนไล่ออกไหม สิ่งนี้มันไม่เคยเข้ามาอยู่ในหัวผมเลย แต่ผมเพิ่งมาคิดได้เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ถ้าในตอนนั้นไมนซ์ไล่ผมออก คงไม่มีใครกล้าให้โอกาสที่สองกับกุนซือผู้ไม่มีประสบการณ์อย่างผมแน่นอน นี่คืองานฆ่าตัวตายชัด ๆ "หลังจากที่ผมรับงานผู้จัดการทีม ผมมองเห็นความหวังที่จะพาทีมเลื่อนชั้น ผมจำคำพูดตัวเองที่พูดกับลูกทีมได้ดี ผมบอกพวกเขาว่านี่คือไมนซ์ ชุดที่ดีที่สุดที่ผมเคยเจอ ผมมั่นใจในศักยภาพของพวกเขา ผมไม่ได้เสแสร้งพูด ผมพูดในสิ่งที่ผมเชื่อ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะเริ่มเชื่อในตัวผมเองเช่นกัน“ [caption id="attachment_7214" align="aligncenter" width="305"] คล็อปป์ สมัยคุมไมนซ์ 05[/caption] ในช่วงเวลาดังกล่าวคล็อปป์เลือกที่จะยังอยู่กับทีมต่อไปแม้ทีมกำลังจะตกชั้น แต่ในฤดูกาล 2008-2009 เขาไม่สามารถพาทีมกลับขึ้นมาประสบความสำเร็จได้ จึงตัดสินใจลาออกจากไมนซ์ เพื่อไปรับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งภายใต้การคุมทีมของ คล็อปป์ เขาพาทีมเสือเหลืองกวาดแชมป์มากมาย หนึ่งในนั้นคือการโค่นบาเยิร์น มิวนิค ลงจากบัลลังก์ฟุตบอลเยอรมัน รวมถึงทะลุเข้าชิงยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกในฤดูกาล 2012-2013 แต่แล้วในฤดูกาลต่อมาทุกอย่างที่เขาสร้างก็พังทลายลง ดอร์ทมุนด์ เริ่มต้นฤดูกาล 2014-2015 ได้อย่างย่ำแย่ คล็อปป์ ทำทีมตกไปอยู่ในโซนตกชั้นจนหลายคนตั้งคำถามกับเขาว่า เกิดอะไรขึ้น ? “ตอนนั้นผมรู้สึกแย่มาก แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองทำผิดพลาดอะไรมากมายนัก ตอนนั้นหลายคนคงคิดว่า เฮ้ยคล็อปป์ ไม่ไหวแล้วเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ แต่ผมก็บอกพวกเขาไปตลอดว่าผมรู้สึกตัวเองเป็นผู้จัดการทีมที่เก่งกว่าเมื่อสามปีที่แล้วเสียอีก นั่นเป็นสิ่งที่ใครหลายคนไม่อยากฟังแต่มันไม่สำคัญหรอก เราถูกทำให้เชื่อว่าสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนั้นมันถูกต้องแล้ว เราทั้งหมดติดอยู่ตรงนั้นด้วยกัน จนกระทั่งสุดท้ายทีมสามารถกลับมาคลิกกันได้อีกครั้ง” แม้ท้ายที่สุด คล็อปป์ จะพาทีมกลับขึ้นไปอยู่ในโซนหัวตารางได้ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจไขก๊อกลาออกจากที่ดอร์ทมุนด์ เพื่อมารับงานเป็นผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล [caption id="attachment_7210" align="aligncenter" width="307"] สมัยคุมดอร์ทมุนด์[/caption] การทำทีมของ คล็อปป์ แฝงไปด้วยเกมรุกที่จัดจ้าน การเข้าบอลโดยเน้นเพรสซิ่งที่รวดเร็วจนกดดันไม่ให้คู่แข่งสามารถทำเกมได้ คล็อปป์ เปรียบเปรยสไตล์ฟุตบอลของเขาว่าเป็น "เฮฟวี่ เมทัล ฟุตบอล" เพราะมันดูดุดันและก้าวร้าวเหมือนดนตรีเฮฟวี่ เมทัล แต่เหนือจากแท็คติกใด ๆ สิ่งที่เขาต้องการจากนักเตะมากที่สุดคือเรื่องของสปิริตและหัวจิตหัวใจที่แข็งแรงในการเล่นฟุตบอล และการสร้างความสัมพันธ์ในห้องแต่งตัวที่ดี ทั้งหมดนี้มาจากแพสชั่นที่เขามีให้กับทีม คล็อปป์ ใช้เวลาไม่นานก็ผสานรอยร้าวทั้งหมด จนทำให้ทีมหงส์แดงกลับมาบินสูงกลายเป็นยอดทีมได้อีกครั้ง “ไม่ต้องสงสัยเลย คุณควรถามคำถามแต่อย่ามีข้อกังขา เราตั้งคำถามตอนชนะเหมือนกัน ผมไม่ได้คาดหวังความสมบูรณ์แบบจากตัวเองหรือกับทีม แต่มันเป็นเรื่องปกติที่จะมีคำถาม ถึงแม้หลังจากเราเพิ่งชนะมา เราก็จะถามตัวเองว่าเราควรจะเริ่มเกมต่อไปยังไง ทำยังไงให้เล่นได้ดีแบบเดิมไปเรื่อย ๆ ผมไม่เห็นว่าเป็นข้อกังหาเลย ไม่เคยมีจุดที่คิดว่า ‘พระเจ้า จะพูดอะไรกับพวกเขาดีล่ะทีนี้’ ทุกอย่างมีคำอธิบายและคำตอบเสมอ” หลายคนอาจจะไม่เชื่อเรื่องนี้ ! คล็อปป์ เคยให้สัมภาษณ์ว่าทัศนคติต่าง ๆ ของเขาส่วนหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากการ์ตูนสเปนเรื่อง Mort and Phil การ์ตูนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ 2 สายลับที่ชอบประสบแต่เคราะห์ร้าย ทั้งตกจากที่สูง เจอระเบิด ถูกทับโดยของหนัก แต่พอหน้าถัดไปมันจะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มันไม่สำคัญว่าถูกเหยียบจนแบนหรือตกลงมาจากหน้าผา 800 เมตร สุดท้ายแล้วเราจะผ่านมันไปได้ ในอีกมุมหนึ่งคือแม้เราจะแพ้ แต่เราก็ยังมีเกมต่อไปที่เราต้องทำได้ดีเสมอ” คล็อปป์ ถือเป็นกุนซือที่มีแพสชั่นต่อเกมสูง ทุกครั้งที่เขาคุมทีมข้างสนาม เรามักจะได้เห็นภาพเขาออกท่าทางมีอารมณ์ร่วมเต็มที่ อีกทั้งหลังเกมเขาก็มักจะเดินลงไปสนามเพื่อเข้าไปกอด หรือจับมือกับนักเตะทั้งสนาม ไม่ใช่เพียงแค่ลูกทีมของเขาเท่านั้น ด้าน เจมส์ มิลเนอร์ หนึ่งในนักเตะของเขาเคยออกมาพูดถึง คล็อปป์ ในเรื่องนี้ว่า “เขาชอบที่จะตะโกนสั่งการข้างสนามอยู่แล้ว เขาชอบที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้มีผลต่อเกมในสนาม ถ้าอะไรที่มันไม่ได้เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขาจะเดินมาบอกคุณ ทั้งตอนเวลาพักครึ่ง หรือตอนประชุมทีมในวันรุ่งขึ้น บางทีเขาก็โกรธควันขึ้น บางทีก็ไม่ พวกเราเคยคุยกันว่า เฮ้ยวันนี้โค้ชต้องโกรธมากแน่เลย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่โกรธ เขามักจะเป็นคนมีเหตุผลเสมอ ผมคิดว่ามันดีนะที่คุณมีผู้จัดการทีมที่มีทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ซึ่งโค้ช มีมันทั้งสองอย่าง อย่างที่ทุกคนเห็น เขามักจะลงมาหาพวกเราในสนามหลังจบเกม ในฐานะผู้จัดการทีม คุณควรรู้ว่าจังหวะไหนคุณควรเข้าไปกอดนักเตะของคุณหนุนหลังเขา ซึ่งโค้ชทำเรื่องนี้ได้ดีมาก ๆ” เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อาจจะถูกมองว่าเป็นจอมแท็กติก เป็นเจ้าพ่อฟุตบอลแบบ ติกิ-ตากา โชเซ่ มูรินโญ่ อาจะเป็นกุนซือสายรถบัส เมาริซิโอ ซาร์รี หรือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ อาจจะเป็นกุนซือที่ชอบมีลูกรัก แต่ถ้าพูดถึง คล็อปป์ ฟุตบอลของเขาคือเรื่องของใจล้วน ๆ “การที่เราสร้างสถานการณ์ให้ทุกคนรู้สึกสำคัญ สนุกกับตัวเอง รู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร ทำให้รู้สึกว่าพวกเขาได้รับความเคารพและรู้ความสำคัญของตัวเอง นั่นแหละชีวิตที่ควรจะเป็น” คล็อปป์ พูดถึงประตูที่จะพาลิเวอร์พูลกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง [caption id="attachment_7213" align="aligncenter" width="308"] คล็อปในฐานะกุนซือลิเวอร์พูล[/caption] ฤดูกาล 2018-2019 ถือเป็นช่วงเวลาที่ลิเวอร์พูล มีผลการแข่งขันที่ดีที่สุดในรอบกว่า 30 ปี พวกเขามีทีมที่พร้อมครบเครื่องกับสถานการณ์นี้ แน่นอนความฝันสูงสุดของชาวเดอะค็อปในช่วงชีวิตนี้คือการคว้าถ้วยพรีเมียร์ลีกให้ได้สักครั้งก่อนตาย ก่อนหน้านี้การพูดว่าลิเวอร์พูลจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นเหมือนเรื่องตลกของกลุ่มแฟนบอลทั่วไป แต่ถึงวันนี้ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ คล็อปป์ ได้แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่าตอนนี้พวกเขาใกล้ฝันไปขนาดไหนแล้ว “ช่วงเวลาที่คุณมีในสโมสรสมควรถูกจดจำ ผมเข้าใจว่าชีวิตคือแหล่งสะสมประการณ์อันมากมายทั้งดีและร้าย ผมขนลุกทุกครั้งเมื่อนึกถึงประสบการณ์ดี ๆ มันเจ๋งมาก ถ้าคนอื่นรู้สึกเหมือนกัน เราก็อยู่บนการเดินทางครั้งใหญ่ด้วยกัน เราไม่สามารถที่จะหยุดยิ้มได้เลย นั่นแหละทำไมคุณถึงต้องให้โอกาสคนอื่นได้รู้สึกว่า เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์นี้ มันง่ายสำหรับผมเพราะผมรู้ว่าคนที่สนับสนุนพวกเราสำคัญมากจริง ๆ บางทีคนอื่นอาจมองอีกมุมหนึ่งหรือลืมพวกเขาไปบ้าง แต่ผมไม่เคยลืมคนที่สำคัญกับพวกเรา มันง่ายสำหรับผมมากที่จะแสดงความเคารพอย่างที่พวกเขาควรได้รับ”
หมายเหตุ : ในที่สุดฝันของเดอะค็อปก็เป็นจริง เมื่อลิเวอร์พูลสามารถคว้าถ้วยพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ เมื่อปี 2019-2020 รวมถึงยังคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2018-2019, แชมป์สโมสรโลกปี 2019, แชมป์ลีกคัพ 2021–2022 และแชมป์เอฟเอคัพ 2021–2022