31 ต.ค. 2567 | 11:37 น.
KEY
POINTS
เรื่องราวความหลอนและสยองขวัญของ Exhuma เริ่มต้นจากประโยคสั้น ๆ ที่ว่า “ขุดมันขึ้นมาจากหลุม”
ถ้าวันนั้น แก๊งหมอผีทั้ง 5 คนไม่ขุดโลงศพปริศนาขึ้นมาจากหลุม โศกนาฏกรรมและความน่ากลัวจากวิญญาณในหลุมคงไม่มาหลอกหลอน
Exhuma ไม่ใช่หนังผีที่มีจังหวะ Jump Scared เหมือนหนังผีไทย แต่เป็นการปูความหลอนมาตั้งแต่วินาทีแรกจนนาทีสุดท้ายของเรื่อง นี่คงสไตล์ของผีเกาหลีที่ครองใจผู้ชมในประเทศด้วยยอดขายตั๋วมากกว่า 11 ล้านใบในประเทศ และเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวสูงสุดอันดับ 1 ใน Box Office ปี 2024 ตามมาด้วยยอดผู้ชมที่ทะลุ 2 ล้านคนภายใน 4 วัน
อีกทั้งยังการันตีด้วยการแสดงคุณภาพจากนักแสดงนำอย่างคิมโกอึนและอีโดฮยอน รวมถึงยังสามารถการกวาด 4 รางวัลจากเวทีประกาศรางวัลแบคซังครั้งที่ 60 เมื่อช่วงกลางปี 2024 ที่ผ่านมาได้สำเร็จ
เพราะแทนที่จะเป็นหนังที่มอบความหลอนให้กับผู้ชมเพียงอย่างเดียว แต่ผู้กำกับจางแจฮยอนพาผู้ชมอย่างเราลงลึกไปถึงร่องรอยบาดแผลที่ฝังรากลึกอยู่ในแผ่นดินเกาหลีใต้
“หากเรามองย้อนกลับไปในอดีตของดินแดนที่เราอาศัยอยู่ มีเหตุการณ์เลวร้ายมากมายเกิดขึ้น และผมก็อยากจะขุดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา และอยากเปลี่ยนคอนเซ็ปต์แบบนั้นให้เป็นภาพยนตร์ที่สนุก” ผู้กำกับจางให้สัมภาษณ์กับ Korea Herald
บทความนี้จึงอยากพาทุกคนสำรวจฉากหลังและรายละเอียดที่แฝงอยู่ในการต่อสู้กับผีที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้
พูดง่าย ๆ ตัวละครหลักของ Exhuma มีเพียงแค่ร่างทรง ซินแส คนทำศพ และดวงวิญญาณ ซึ่งถือว่าเป็นภาพสะท้อนสังคมเกาหลีใต้ในเรื่องความเชื่อและความศรัทธา
ถามว่าคนเกาหลีเชื่อขนาดไหน?
เชื่อขนาดที่บางคนอาจจำเป็นต้องดูฮวงจุ้ย ดูฤกษ์งามยามดี ดูดวงชะตาก่อนจะลงทุนทำธุรกิจ หรือทำสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต โดยเฉพาะกับบ้านที่ร่ำรวยและมีฐานะ รวมถึงนักการเมือง นักธุรกิจ หรือผู้คนที่ทำงานในวงการบันเทิง
หรือแม้แต่วันที่พ่อแม่ส่งลูกไปสอบเข้าซูนึง วันที่เด็กมัธยมศึกษาปีที่ 6 สอบเข้ามหาวิทยาลัยเราก็มักจะเห็นคุณพ่อคุณแม่ ญาติผู้ใหญ่ไปสวดมนต์ขอพรตามวัดต่าง ๆ เพื่อให้ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่หวังได้สำเร็จ
แต่ถ้าดูกันตามประวัติศาสตร์ หนังสือมหัศจรรย์เกาหลี จากเถ้าถ่านสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม แดเนียล ทิวดอร์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ก็เลือกที่จะให้เรื่องคนทรงเจ้าและโลกวิญญาณอยู่ในหมวดของเรื่องรากฐาน
อาจเป็นเพราะมูซกอิน (คำที่คนเกาหลีเรียกคนทรงเจ้า) ถือเป็นประเพณีที่ดำรงอยู่ในคาบสมุทรเกาหลีมายาวกว่าประวัติศาสตร์ของประเทศเสียอีก และยังเป็นอาชีพที่มีอิทธิพลต่อชาวเมืองที่เชื่อและศรัทธาอยู่ไม่น้อย
ร่างทรงไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีระเบียบพิธี ร่างทรงแต่ละคนจึงมีเอกลักษณ์และวิธีการที่แตกต่างกัน สำหรับอีฮวาลิม เธอมองว่าร่างทรง คือ คนที่อยู่ตรงกลางระหว่างหยินหยาง รวมถึงไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่คอยหาคำตอบแสงสว่างที่อยู่เบื้องหลังของสิ่งมืดมิดที่เราเรียกว่า ผี ภูติผี หรือปีศาจ
ส่วนฝั่งซินแส แม้จะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานไม่ต่างจากร่างทรง แต่ในประเทศเกาหลียุคปัจจุบัน แค่คิดจะเริ่มสร้างบ้าน คำถามแรกที่ต้องตอบให้ได้ คือ พื้นที่นั้นมงคลและดีแล้วหรือยัง จึงเป็นเหตุผลที่เกาหลีใต้ยังคงต้องมีอาชีพชินแซเพื่อดูฮวงจุ้ยก่อนจะวางเสาเข็มบ้าน
หรือแม้แต่การหาที่ฝังศพก็ยังคงต้องหาทำเลดี ๆ อาจเป็นเพราะฮวงจุ้ยไม่ได้ยึดติดกับศาสนา ชนชั้นทางสังคม หรือระดับการศึกษาใดตามความเชื่อเกาหลี เพียงแต่เชื่อว่าต้องการกลมกลืนกับธรรมชาติ และถือคติว่า ถ้าทำเลที่ตั้งดี ชีวิตของเราก็จะดีและมีความสุข
“หลังจากที่มนุษย์จบชีวิตลงก็จะกลายเป็นดินกลับสู่โลก และเราที่ดื่มกินสิ่งนั้นและเดินบนโลก เกิด อยู่ ตาย และเกิดใหม่เป็นวัฎจักรธรรมชาติ” ซินแสคิมซังด๊อกพูดถึงอาชีพของตัวเองไว้แบบนั้น
ขณะเดียวกันต่อให้หมอผีจะเก่งแค่ไหน หรือซินแสจะดูฮวงจุ้ยดีแค่ไหน ทว่าหากวิญญาณที่แข็งแกร่งเพรียกหาก็ยากเกินต้านทาน
กลับมาที่เส้นเรื่องหลักของ Exhuma เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้น หลังจากพัคจียงมาจ้างอีฮวาลิมมาปราบผีที่ทำให้คนในบ้านมีอาการผิดปกติ พี่สาวทำร้ายตัวเอง เขานอนแล้วบีบคอตัวเอง ลูกชายที่เพิ่งเกิดก็ร้องไห้ไม่หยุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
“เรียกได้ว่า หลุมศพเรียกร้อง” ฮวาลิมบอกกับจียง
ยุทธการปราบผีจึงเริ่มขึ้นอย่างระมัดระวัง เริ่มจากการไปดูพื้นที่ฝังศพบรรพบุรุษที่ตั้งอยู่กลางป่า แม้จะมีวิวสวย ๆ แต่พอไปถึง คิมซังด๊อกชิมดิน และพูดมาตรง ๆ เลยว่า ที่นี่ทำเลไม่ดี
ยังไม่นับรวมการมีหมาจิ้งจอกเป็นเจ้าหน้าที่รักษาปลอดภัยอยู่รอบ ๆ นักโหราศาสตร์เกาหลีใต้วิพากษ์ถึงประเด็นนี้ว่า “สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ที่กินอาหาร โบราณจึงถือว่าเป็นสุสานฝังศพที่ไม่ดี”
เรื่องราวดำเนินไป และมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น ระหว่างที่ขนโลงศพไปเผส ฝนก็ตกลงมา ทำให้ต้องไปฝากโลงศพที่โรงพยาบาลใกล้ ๆ แล้วพนักงานในโรงพยาบาลที่ดูแลเรื่องศพมาเปิดโลงศพเพื่อขโมยสมบัติ นั่นหมายความว่า ปล่อยให้วิญญาณออกไป
มากกว่านั้น วิญญาณนี้เป็นวิญญาณของทหารญี่ปุ่นที่ถูกฝังไว้ตั้งแต่ยุคสงครามที่ต้องการจะปกป้องพื้นที่ตรงนั้นให้คงอยู่ต่อไป
ศพของบรรพบุรุษครอบครัวปาร์คถูกเผาไปแล้ว แต่สิ่งที่คาใจคิมซังด๊อกยังอยู่
เพราะวันแรกป้ายหลุมศพเขียนละติจูด ลองติจูดไว้ เขาจึงมุ่งหาคำตอบเพื่อปลดปล่อยวิญญาณให้ไปสู่สุคติ เพื่อให้ทุก ๆ ผืนบนคาบสมุทรเกาหลีถูกส่งต่อให้กับคนรุ่นหลังต่อไป โดยไม่ต้องกลัววิญญาณเจ้าของที่ จนกระทั่งเขาได้พบคำตอบว่า ผีญี่ปุ่นที่ตามมาหลอกหลอนทุกคน คือ อดีตทหารที่เคยมาปักหมุดไว้บนพื้นที่กลางเขาแห่งนี้
“พี่ครับ จะมีหมุดหรือไม่ เราก็ยังอยู่ดีกันนี่ครับ แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจล่ะ” โกยองกึนมือขวาของซังด็อกพูดกับอาจารย์ที่นับถือ
คิมซังด็อกตอบกลับไปว่า “ก็ได้ นายกับฉันขายที่ดินก็เลยอยู่ดีกินดีไง ก็เพราะแบบนั้นแหละ คุณโกนี่มันที่ดินนะ ที่ดินที่หลานฉันจะมาอาศัยอยู่นะ แล้วก็ของพวกเรา และเด็ก ๆ รุ่นต่อไปอีก”
และหมุดลึกลับนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ซินแสคนนี้เข้าใจว่าทำไมผีบรรพบุรุษถึงพูดกับเขาว่า “พวกจิ้งจอกสบั้นเอวของเสือ”
ในหนังสือมหัศจรรย์เกาหลีเองก็เขียนอธิบายว่า บางครั้งสัตว์ก็อาจมีทบาททางจิตวิญญาณ เช่น เสือก็มีส่วนสำคัญในการสร้างชาติและเป็นสัตว์ประจำชาติเกาหลีใต้ กล่าวกันว่า เสือเป็นผู้ส่งสารและองครักษ์ของเทพแห่งขุนเขา และภูเขาก็เป็นสถานที่สิงสถิตสำคัญที่สุดของวิญญาณ
อีกทั้งในอดีต ช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองเกาหลีใต้ช่วงปี 1910-1945 ความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยที่แข็งแกร่งที่สุด คือ ‘ปุงซูจิริ’ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งวางเตียง บ้านที่กำลังจะซื้อ การตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ หรือแม้แต่สถานที่ฝังศพก็ต้องเรียกซินแสมาดูก่อนทั้งนั้น
เกาหลีใต้ในยุคนั้นทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมจำนนพูดภาษาญี่ปุ่น ผู้หญิงบางคนถูกเรียกให้เป็นนางบำเรอ และเพื่อให้เกาหลียังคงอยู่ในกำมือของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงเลือกตอกหมุดลงบนจุดที่เป็นฮวงจุ้ยสำคัญของประเทศ เพื่อสะกดไม่ให้เกาหลีมีผู้นำที่เก่งกาจ
แล้วก็ดูเหมือนว่าหมุดเหล่านี้จะมีอยู่จริง เนื่องจากช่วงต้น 1980 สโมสรปีนเขาส่วนตัวสำรวจภูเขาเพื่อค้นหาแท่งเหล็ก ซึ่งพบทั้งหมด 27 แท่งในภูเขาพูกัง และบริจาค 15 แท่งให้กับหอประชุมอิสรภาพแห่งเกาหลี (Independence Hall of Korea) ในปี 1985
สันนิษฐานว่า แท่งเหล็กถูกชาวญี่ปุ่นทุบลงบนภูเขาระหว่างการล่าอาณานิคม แต่บทความข่าวบางชิ้นก็อ้างว่าเป็นหมุดที่ปักลงดินสำหรับทำเครื่องหมายเส้นทางบนภูเขาในปี 1920
กระทั่ง ปี 1995 รัฐบาลของคิม ยังซัม ประกาศเป็นผู้นำและสนับสนุนให้ชาวเกาหลีค้นหาและถอดแท่งเหล็กออกทั้งหมด เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีในการประกาศเอกราชของเกาหลี
นักวิจารณ์หนังบางรายก็วิพากษ์ถึงความเชื่อมโยงของหมุดกับความหมายของคำพูดที่ว่า“พวกจิ้งจอกสบั้นเอวของเสือ” ไว้ว่า ใน Exhuma หมุดเหล่านี้ถูกวางไว้ในเทือกเขาที่กั้นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เมื่อมาประกอบกับแผนที่คาบสมุทรเกาหลีดูเหมือนเสือแล้ว ประโยคที่ผีบรรพบุรุษบอกว่า ‘สุนัขจิ้งจอกที่ตัดเอวเสือ’ จึงอาจหมายถึงหมุดเหล่านี้ที่แยกประเทศออกจากกัน
การขุดโลงศพขึ้นมาจึงเป็นเครื่องย้ำเตือนใจถึงบาดแผล ความสูญเสียที่ถูกฝังรากลึกไว้ในแผ่นดินเกาหลี
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแง่หนึ่ง บาดแผลจากการล่าอาณานิคมได้สร้างบาดแผลกับเกาหลีใต้ไว้มากเหลือเกิน
เราเห็นซีรีส์หรือภาพยนตร์เกาหลีใต้ที่พูดถึงประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นเพื่อสะท้อนถึงบาดแผลและประวัติศาสตร์ล่าอาณานิคมของเอเชียตะวันออก
Exhuma เองก็เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่พูดถึงความเจ็บปวดในอดีต แม้บงกิล คิงซังด๊อกจะผ่านช่วงเวลาแห่งความตายมาแล้ว หรืออีฮวาลิมจะต้องสู้กับผีตรงหน้าด้วยพลังที่เธอมีทั้งหมด และวิญญาณผีญี่ปุ่นจะสลายไปแล้ว แต่บาดแผลในวันนั้นยังคงอยู่ทุกครั้ง
“หน้าหนาวผ่านไป ทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น” อีฮวาลิมบอกกับคนดู
ความยาว 2 ชั่วโมง 14 นาทีของ Exhuma ไม่เพียงแต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ แต่พาเราไปสำรวจบาดแผลและเอาใจช่วยแก๊งหมอผี และบอกเราว่า ทุก ๆ ที่มีเรื่องราว ทั้งดีและไม่ดี
แต่การที่จะเดินหน้าต่อไปได้ ปัจจุบันและอนาคตก็สำคัญ แต่สิ่งสำคัญ คือ เราต้องไม่อดีต
ก็เพราะอดีตคือผลลัพธ์ที่หล่อหลอมให้เราเป็นเราแบบนี้ และให้ประเทศของเราเป็นแบบนี้ มิใช่หรือ?
ภาพ : tvN Movies
อ้างอิง
Feng shui and urban legends in 'Exhuma': What you should understand / Korea JungAng Daily
[News Analysis] Behind the box office success of thriller ‘Exhuma’ / The Korea Herald
'Exhuma' digs up traumas of Korean land / The Korea Herald
หนังสือมหัศจรรย์เกาหลี จากเถ้าถ่านสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม