The Alchemist : การเดินทางที่ชวนให้ผู้อ่านกล้าฝันและคว้ามันมาครอง

The Alchemist : การเดินทางที่ชวนให้ผู้อ่านกล้าฝันและคว้ามันมาครอง

‘The Alchemist’ หรือในชื่อฉบับแปลไทย ‘ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน’ นวนิยายจากปลายปากกาของนักเขียนชาวบราซิล ‘เปาโล คูเอลญู’ (Paulo Coelho) ที่ว่าด้วยเรื่องของการออกเดินทางล่าความฝันของตัวเองมาครอง ผ่านการผจญภัยของเด็กเลี้ยงแกะนาม ‘ซานติอาโก’ (Santiago)

KEY

POINTS

  • ก่อนจะออกเดินทาง ‘ซานติอาโก’ (Santiago) ได้เผชิญกับบทเรียนหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการไม่ให้สัญญาในสิ่งที่ยังไม่มีหรือการเตรียมใจต่อกระแสน้ำของการตัดสินใจ
  • ผู้คนที่เด็กหนุ่มพบตลอดการเดินทางล้วนเป็นภาพแทนของบุคคลประเภทต่าง ๆ ที่มองและลงมือล่าฝันแตกต่างกันไป ตั้งแต่ แกะ พ่อค้าขายคริสตัล และชายชาวอังกฤษ
  • ปลายทางของเรื่องไม่เพียงพาซานติอาโกและผู้อ่านไปพบกับขุมทรัพย์ล้ำค่าในหีบฝังดิน แต่ยังทำให้เราพบอีกขุมทรัพย์หนึ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวของเราเอง

อาจเป็นเพราะความเป็นไปได้ที่จะเห็นฝันนั้นบรรลุกลายเป็นจริงที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย

 

เราทุกคนล้วน ‘ฝัน’ กันแทบทุกค่ำคืน ในยามที่หลับตาลงจากชีวิตจริง ฝันที่อาจจะดีบ้าง เลวร้ายบ้าง แต่มันก็ล้วนเป็นส่วนผสมของจินตนาการและคุณค่าภายในที่เรายึดมั่น แต่อาจเพราะเราเป็นมนุษย์ ที่ไม่เพียงถวิลหาแค่การอยู่รอด ‘ฝัน’ ที่ว่านี้ จึงไม่ได้เร้นกายอยู่เพียงยามเราหลับใหลเพียงเท่านั้น แต่มันยังได้ก้าวขาของมันออกมาสู่โลกแห่งความจริง อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนให้ใครสักคน ที่เชื่อในมันอย่างสุดหัวใจ เดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อเปลี่ยน ‘ฝัน’ ให้เป็น ‘จริง’ ได้

The Alchemist’ หรือในชื่อฉบับแปลไทย ‘ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน’ คือนวนิยายจากปลายปากกาของนักเขียนชาวบราซิล ‘เปาโล คูเอลญู’ (Paulo Coelho) ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1988 ว่าด้วยเรื่องราวการออกเดินทางของชายหนุ่มเลี้ยงแกะนามว่า ‘ซานติอาโก’ (Santiago) ภายหลังจากภาพนิมิตในฝันส่งสัญญาณบอกเขาข้ามทะเลทรายเพื่อให้เดินทางไปที ‘พีระมิด’ (Pyramids) ในแดนอียิปต์ เพราะที่แห่งนั้น มีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ การออกเดินทางของชายหนุ่มจึงเริ่มต้นขึ้น…

 

The Alchemist : การเดินทางที่ชวนให้ผู้อ่านกล้าฝันและคว้ามันมาครอง

 

ขึ้นชื่อว่าเป็นนวนิยายที่ถูกแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากที่สุด อีกทั้งยังเป็นชื่อเรื่องคุ้นหูที่ครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักอ่าน นักฝัน หรือใครสักคนที่ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง และอยากจะเดินตามเสียงเรียกร้องเหล่านั้นตามไปจนสุดทาง The Alchemist ย่อมเป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่หยิบขึ้นมาอ่านสักครั้ง อาจทำให้มุมมองต่อการใช้ชีวิตของคุณไปตลอดกาล

หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยของการเดินตามความฝันและบรรลุ ‘ตำนานส่วนตัว’ (Personal Legend) ของคุณให้เปลี่ยนจาก ‘ฝัน’ กลายเป็น ‘จริง’ ตลอดเส้นทางเราจะได้ผจญภัยไปพร้อมกับซานติอาโก ตั้งแต่พื้นที่บริเวณตอนใต้ของประเทศสเปน ผ่านมหาสมุทรทะเลทรายไปจนถึงพีระมิดในอียิปต์ ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคที่ท้าทายชวนตื่นเต้น แฝงไปด้วยวัฒนธรรมต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นกระจกสะท้อนเป็นข้อคิดและปรัชญาชีวิตชวนตั้งคำถามเส้นทางของตัวเราเอง

เราจะได้เห็นเส้นทางของการล่าฝันที่เริ่มต้นด้วยโชคจบด้วยบททดสอบ เราจะได้เห็นผู้คนที่ชายหนุ่มพบปะ ที่สะท้อนถึงผู้คนหลากหลายประเภทที่มอง ‘ฝัน’ แตกต่างกันไปผ่านตัวละครต่าง ๆ ในเรื่อง และเราจะได้เห็นภาพรวมของการเดินทางล่าฝันและขานตอบเสียงเพรียกจากหัวใจที่จะดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้า

ต้อนรับปี 2025 นี้ ผมขอหยิบเรื่องราวที่สวยงามนี้มานำเสนอ และชวนผู้อ่านทุกคนไปออกล่าฝันกันครับ

 

/ บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของนวนิยายเรื่อง The Alchemist /

ก่อนจะล่าขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน

The Alchemist : การเดินทางที่ชวนให้ผู้อ่านกล้าฝันและคว้ามันมาครอง

ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยการสร้างสัญญาในสิ่งที่คุณเองก็ยังไม่มี
คุณจะหมดแรงปราถนาที่จะไขว่คว้ามันมาครอง

 

คือสิ่งที่ ‘เมลคีเซเดค’ (Melchizedek) กล่าวกับเด็กชายเมื่อเขาเสนอจะแบ่งสมบัติหนึ่งในสิบให้แทนที่จะเป็นแกะหนึ่งในสิบส่วนของฝูงที่เขาเลี้ยงอยู่ อดไม่ได้ที่จะทำให้ผมนึกถึงหนังสือของ ไรอัน ฮอลีเดย์ (Ryan Holiday) อย่าง ‘Ego is the Enemy’ ที่มีแก่นทำนองเดียวกันว่า ในการจะทำอะไร เราสมควรที่จะลงมือทำและคว้าความสำเร็จเสียก่อน ก่อนที่จะพูดถึงสิ่งที่เราเพียงคาดคิดว่าจะครอง เพราะมันจะทำให้เราสูญเสียเรี่ยวแรงใจที่จะบรรลุให้สำเร็จ

ซึ่งเหตุการณ์นี้ใน The Alchemist ก็ฉายออกมาเป็นภาพที่ทำให้เราเข้าใจเหตุผลของคำแนะนำนี้กระจ่างชัดขึ้น เพราะก่อนหน้าที่เด็กหนุ่มจะใช้ข้อเสนอนี้กับเมลคีเซเดค แม่หมอชาวยิปซีก็ได้ทำข้อตกลงกับเด็กหนุ่มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะการจะไขว่คว้าฝันมาครอง บทพิสูจน์สำคัญอาจไม่ใช่การเจียดความสำเร็จในอนาคตมาแลกกับค่าผ่านทางในปัจจุบัน แต่ต้องเป็นสิ่งที่คุณมีในตอนนี้มากกว่า ที่เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดแจ้งที่สุดว่าใครสักคนมุ่งมั่นที่จะไขว่คว้ามันมาจริงแค่ไหน 

เพราะใคร ๆ ก็พูดได้ ว่าถ้าสำเร็จแล้ว จะทำอะไรต่อในอนาคต แต่คงไม่ใช่ทุกคนที่กล้าแลกสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อลองเสี่ยงก้าวกระโดดแห่งศรัทธาเพื่อคว้าฝันมาครอง 

นอกจากนั้น การเจียดขุมทรัพย์สุดปลายฝันของคุณก่อนที่จะค้นพบมัน ก็อาจจะทำให้คุณค่าของมันถูกลดทอนลงไป ซึ่งก็อาจทำให้แรงปราถนาที่จะไขว่คว้ามันมาครองเสื่อมถอยลงไปอีก ลำพังเพียงตั้งมั่นว่าจะคว้าฝันมาครองก็ตามมาด้วยบททดสอบสุดหินอยู่แล้ว และเมื่อขุมทรัพย์ถูกเจียดไป การบอกตัวเองให้ลุกขึ้นมาสู้เพื่อฝันอาจจะยากขึ้นกว่าเดิมก็ได้

 

การตัดสินใจอะไรสักอย่างเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบางสิ่งเท่านั้น เมื่อใครสักคนตัดสินใจ แท้จริงแล้วเขาเหล่านั้นได้กระโจนตัวลงไปในสายน้ำที่ไหลเชี่ยวที่จะพาเขาไปยังสถานที่ที่ไม่เคยคาดฝัน ณ ตอนตัดสินใจในคราแรกมาก่อน

 

แน่นอนว่าในตอนซานติอาโกตัดสินใจออกล่าขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน ตัวเขาเองคงไม่คิดว่าต้องไปทำงานที่ร้านขายคริสตัล ไม่คิดว่าจะต้องติดแหง็กอยู่กลางทางพลันเจอรักแท้ที่อัลฟัยยูม (Al-Fayoum) และไม่คิดว่าจะต้องพยายามแปลงกายตัวเองเป็นสายลมท่ามกลางทะเลทราย เขาไม่มีทางรู้ว่าสายน้ำที่จะพาเขาไปหาขุมทรัพย์จะพาชีวิตของเขาไปแวะเวียนที่ไหนก่อนบ้าง แต่บางทีนั่นคือส่วนสำคัญของการออกเดินทาง

นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสื่งสำคัญที่ The Alchemist พยายามบอกกับเรา ว่าการออกเดินทางไขว่คว้าหาเป้าหมายย่อมไม่ถูกเรียงร้อยเป็นเส้นตรงที่เลียดราบ แต่มันจะสลับคดเคี้ยวและโรยไปด้วยขวากหนามจนทำให้เรานึกถามกับตัวเองว่าแม่น้ำสายนี้ถูกต้องแล้วหรือเปล่า? หรือจะหันหลังกลับดีไหม?

หลักสำคัญที่ต้องคว้าไว้ให้แน่นก่อนออกเดินทางก็คงเป็นหลักคิดที่ว่า ไม่ว่าจะผ่านสถานการณ์แบบไหน ก็จงนึกถึงขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน นึกถึงตำนานส่วนตัว และจับมันให้แน่น และพร้อมจะตัดสินใจเพื่อเสี่ยงกระโดดไปคว้ามันอยู่เสมอ เพราะการตัดสินใจเล็ก ๆ ในวันนี้ อาจพาเราไปอยู่ในจุดที่เราไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยก็ได้ ซึ่งนั่นก็เป็นรสชาติสำคัญของการออกเดินทาง

 

ผู้คนระหว่างทาง

ตลอดการเดินทางของซานติอาโกที่เริ่มต้นตั้งแต่แคว้นอันดาลูซิอา (Andalusia) บริเวณตอนใต้ของสเปน ผ่านแหลมตาริฟา (Tarifa) สถานที่ที่พาให้เขาพบกับโจรหัวหมอและพ่อค้าขายเพชร ก่อนจะทะยานผ่านทะเลทรายแอฟริกาไปยังโอเอซิสอัลฟัยยูม กว่าจะถึงพีระมิดอันเป็นจุดหมายที่ปลายฝัน เด็กหนุ่มได้เจอกับผู้คนมากมาย 

ผู้คนแต่ละคนที่ซานติอาโกพบเจอระหว่างทางก็ล้วนเป็นภาพแทนของผู้คนประเภทต่าง ๆ ที่ได้เลือกตัดสินใจต่อขุมทรัพย์และความฝันของเขาแตกต่างกันไป ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงผู้คนรูปแบบต่าง ๆ ในสังคมของเราเช่นเดียวกัน

เหล่าเพื่อนคนแรก ๆ ที่ปรากฎขึ้นในหน้าหนังสือของ The Alchemist ณ โบสถ์ร้างก็คือ ‘ฝูงแกะ’ ที่ซานติอาโกทำหน้าที่ดูแล ดังที่ซานติอาโกเองก็ได้บรรยายนิสัยของแกะเหล่านี้ว่า แม้จะออกเดินทางด้วยกันมานาน แต่สิ่งที่ฝูงแกะเหล่านี้สนใจมีเพียงแค่น้ำกับอาหาร ตราบใดที่ใครสักคนสามารถหาสิ่งเหล่านี้มาให้เหล่าฝูงแกะได้ พวกมันก็พร้อมจะเป็นเพื่อนที่ดีเหมือนกับที่เป็นให้กับซานติอาโก 

ซึ่งฝูงแกะเหล่านี้ก็เป็นภาพแทนของคนที่ไม่ได้นึกคิดถึงฝันหรือเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเอง เพียงแต่ต้องการอยู่ในเซฟโซนที่มีใครสักคนเป็นที่พึ่งคอยพยุงพวกเขาไปข้างหน้าได้ แม้ว่าบางครั้งบางครา เพื่อนในฝูงของพวกเขาจะถูกปลิดชีวิตไปก็ตาม เพราะฝูงแกะเหล่านี้ไม่ได้ปราถนาที่จะมีตำนานส่วนตัวเป็นของตัวเอง เพียงแค่อาหารกับน้ำก็เพียงพอ

 

พวกมันไม่เคยตระหนักเลยว่าพวกมันกำลังเดินไปบนเส้นทางใหม่ทุกวัน พวกมันมองไม่เห็นเลยว่าไร่นาเปลี่ยนไปและฤดูกาลก็เปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวที่พวกมันคิดถึงก็คืออาหารและน้ำ

The Alchemist : การเดินทางที่ชวนให้ผู้อ่านกล้าฝันและคว้ามันมาครอง

 

ต่อมาซานติอาโกจะได้เจอกับ ‘พ่อค้าขายคริสตัล’ (Crystal Merchant) ผู้ซึ่งตระหนักถึงความฝันของตนเองดี ว่าสักวันหนึ่งอยากจะมีโอกาสไปที่ ‘เมกกะ’ (Mecca) สถานที่ที่ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามต้องไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต ทว่าการออกเดินทางในแง่หนึ่งก็เปรียบเสมือนการกระโดดออกไปในความไม่แน่นอน เมื่อเทียบกับการอยู่ในเซฟโซนอย่างร้านค้าของเขา ในอีกแง่หนึ่ง เขาก็กลัวว่าหากวันหนึ่งที่ฝันของเขาได้ถูกบรรลุแล้ว เขาเกรงว่าเขาจะต้องใช้ชีวิตต่อไปแบบไร้จุดหมายและไร้เหตุผล 

อันเป็นภาพแทนของคนที่แม้จะมีความฝัน แต่ก็หวั่นเกรงต่อความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน เป็นภาพแทนของผู้ที่พลาดโอกาสในการที่จะคว้าฝันมาครอง แม้จะพบมันแล้วก็ตาม เรื่องราวของพ่อค้าคนนี้ทำให้เราเห็นว่า ในบางที ความเคยชินอาจกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ขวางกั้นไม่ให้เราเติบโตขึ้นกว่าเดิม

เพราะเวลาฉันคิดถึงเมกกะ มันทำให้ฉันยังอยากจะมีชีวิตอยู่ มันช่วยให้ฉันเผชิญกับความจำเจในทุกเมื่อเชื่อวัน ฉันกลัวว่าวันหนึ่งถ้าฝันเป็นจริง ฉันจะไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก…

 

ชายชาวอังกฤษ’ (The Englishman) คือผู้ที่มีฝันที่สักวันหนึ่งอยากจะเรียนรู้วิชาโบราณจากนักเล่นแร่แปรธาตุเพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถเปลี่ยน ‘ตะกั่ว’ (Lead) เป็น ‘ทองคำ’ (Gold) ดังที่ได้ยินคำร่ำลือมา อีกทั้งเขายังศึกษาผ่านหนังสือมากมายก่ายกอง และกล้าที่จะออกเดินทางข้ามทะเลทรายเพื่อเรียนรู้วิชานี้จนได้

แต่ดูเหมือนว่าจนจบเล่ม ชายชาวอังกฤษคนนี้ก็ยังไม่พบขุมทรัพย์ปลายฝันของตัวเอง แม้ว่าจะแตกต่างจากทั้งฝูงและพ่อค้าคริสตัล ที่มีทั้งฝันและกล้าเสี่ยง ทดองกี่ทีก็ยังไม่สำเร็จ และถึงแม้พบกับนักเล่นแร่แปรธาตุที่ตัวเขาตามหาแล้ว ก็ได้เพียงคำแนะนำที่บอกว่า “ไปลองทำซะ

เพื่อที่จะให้เห็นภาพของชายชาวอังกฤษชัดขึ้นกว่าเดิม เราต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงท้ายเรื่องด้วย ตอนที่นักเล่นแร่แปรธาตุได้ลองเปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำให้ซานติอาโกได้ดู และเด็กหนุ่มก็บอกขอให้เขาสอนศาสตร์นี้ให้ แต่สิ่งที่นักเล่นแร่แปรธาตุคนนั้นตอบกลับมาคือ “นี่คือตำนานส่วนตัวของฉัน ไม่ใช่ของนาย ฉันแค่จะแสดงให้ดูว่ามันเป็นไปได้

แม้จะเจอเป้าหมายและกล้าออกเดินทาง แต่สิ่งสำคัญที่เราได้เห็นจากชายชาวอังกฤษคือการไล่ล่าหาขุมทรัพย์ปลายฝันนั้น ‘ไม่มีทางลัด’ ไม่มีทางที่เราจะไปถามกับผู้ที่สำเร็จแล้วว่าจะทำอย่างไร มีเพียงแต่การต้องไปลองทำเองเท่านั้น เพราะเส้นทางสู่ความสำเร็จไม่มีสูตรสำเร็จ 

นอกจากนั้น ก็ยังเป็นสิ่งที่น่าชวนคิดต่อว่า การอยากเปลี่ยนตะกั่วเป็นทอง เป็นความปราถนาที่แท้จริงของชายชาวอังกฤษจริงหรือเปล่า หรือเพียงได้ยินเรื่องความสำเร็จนี้และอยากจะเดินตาม เพราะหากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าจิ๊กซอว์ตัวอื่น ๆ จะถูกวางเอาไว้เข้าที่เข้าทางหมดแล้ว จิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่อาจจะเป็นตัวแรกที่สำคัญที่สุด อาจจะหายไปจากกล่อง หรือไม่มีอยู่เลยตั้งแต่แรกก็ได้

 

ส่วน ‘ฟาติมา’ (Fatima) คือภาพแทนของ ‘รักแท้’ ที่จะไม่ถ่วงใครสักคนที่กำลังเดินทางเพื่อล่าฝันเอาไว้ เพราะแม้ว่าฟาติมาต้องแบกรับความเสี่ยงที่ซานติอาโกจะออกเดินทางและไม่กลับมาอีก แต่การเชื่อมั่นในรักแท้ อาจเป็นการปล่อยให้ใครสักคนที่เรารัก ออกไปล่าฝันและบรรลุความปราถนาให้สำเร็จ และเฝ้ารอที่จะพบเขาอีกทีอีกครั้ง

 

ขุมทรัพย์ที่ปลายฝันที่ทั้ง ‘ใกล้’ และ ‘ไกล’

 

ทุกการค้นหาจะเริ่มด้วยโชคของผู้เริ่มต้น

และการค้นหาทุกครั้งจะจบลงด้วย

การที่ผู้ชนะเผชิญกับบททดสอบอย่างหนัก

 

การเดินทางของซานติอาโกใน The Alchemist ชี้ให้เราเห็นว่าการออกเดินทางคว้าฝันนั้นอาศัยความกล้าหาญและความอดทนเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังต้องมีแรงใจและความเชื่ออย่างแน่วแน่ เพราะตลอดเส้นทางจะมีบททดสอบและอุปสรรคเฝ้ารออยู่เสมอ 

เฉกเช่นเดียวกับเรื่องราวการออกผจญภัยของนวนิยายหรือภาพยนตร์หลายเรื่องที่มีโครงสร้างแบบ ‘The Hero’s Journey’ หรือ ‘Monomyth’ ที่ตัวละครเอกจะได้ออกเดินทางจากจุดแรก ฝ่าฟันอุปสรรค และกลับมาที่เดิมในแบบที่แข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็น ซึ่งก็เหมือนกับเรื่องราวของซานติอาโกที่เขาได้เดินทางออกไปไกลเพื่อที่จะรู้ว่าขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ตั้งแต่หน้าแรกที่ชื่อของเขาถูกแนะนำ

การเดินทางไปหาพีระมิดของซานติอาโกจึงได้ชี้ให้เห็นว่า บางทีขุมทรัพย์ที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ในหีบที่เด็กหนุ่มขุดพบในตอนท้ายของเรื่อง แต่เป็นเส้นทางและบททดสอบตลอดเรื่องเสียมากกว่าที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นกว่าเดิม เพราะแม้ยืนอยู่ในสถานที่เดียวกัน ผู้เขียนเชื่อว่า ซานติอาโกในหน้าแรก กับซานติอาโกในหน้าสุดท้าย แทบจะเป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง

การเดินทางสอนให้เขายินดีกับขุมทรัพย์ที่ขุดพบ การเดินทางสอนให้เขาเข้าใจโลก สอนให้เขาเข้าใจชีวิต สอนให้เขาเข้าใจตัวของเขาเองมากกว่าที่เคยเป็น บางทีนี่อาจเป็นขุมทรัพย์ที่ปลายฝันที่ซานติอาโก—และเราอีกหลายคน—กำลังมุ่งหาอยู่ก็เป็นได้

ออกตามหาขุมทรัพย์ที่ปลายฝันและสร้างตำนานส่วนตัวกันครับ!