19 ธ.ค. 2567 | 16:06 น.
KEY
POINTS
PIPATCHARA เป็นแบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติไทยที่กำลังเฉิดฉายบนวงการแฟชันโลก อาจเป็นเพราะเป็นเสื้อผ้าไร้แพทเทิร์น บางคอลเลคชันก็ทำจากเส้นหนังที่ถักทออย่างประณีต และบางคอลเลคชันก็มาจากนำแผ่นพลาสติกที่เป็นวัสดุรีไซเคิลมาเรียงร้อยกันจนเป็นชุดที่สมบูรณ์
แล้วคนที่เป็นหัวเรือหลักของแบรนด์นี้ คือ เพชร 'ภิพัชรา แก้วจินดา' เจ้าของแบรนด์สายอาร์ตที่ใช้ความเชื่อและแพสชันนำการทำงาน อีกทั้งความเชื่อและแพสชันนี่แหละที่ทำให้ ‘PIPATCHARA’ เกิดขึ้น
PIPATCHARA ซึ่งเป็นทั้งชื่อแบรนด์และชื่อจริงของเพชรคำบอกเล่าของ ‘ความเชื่อ’ และ ‘ความรัก’ ที่เพชรมีในตัวเอง และสิ่งที่เธอทำผ่านการสร้างงานที่เชื่อมโยงกับชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อทำให้เห็นว่าแฟชัน สังคม และชุมชนสามารถเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน
ทุกชิ้นงานถูกสร้างสรรค์จากคนในชุมชน มีเรื่องเล่า และกระบวนการเฉพาะของตัว PIPATCHARA ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่แฟชัน แต่มันคือความภาคภูมิใจของทุกคนที่มีส่วนร่วมในการสร้างมันขึ้นมาด้วยกัน
“หลาย ๆ คนใน PIPATCHARA เชื่อในตัวเพชรก็ส่วนหนึ่ง แต่เขาเชื่อด้วยตัวเองว่า PIPATCHARA จะไปได้ ตอนแรกเพชรยอมแพ้ง่ายมาก แต่เพชรคิดว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ตอนนี้เพชรยอมแพ้ได้ยากมาก
“ถ้าเราหยุด มันหยุดหมดเลยนะ เพราะฉะนั้นชุมชนเป็นปัจจัยหลักเลยที่ทำให้ PIPATCHARA เหมือนหมุนกงล้อของมันไปต่อได้”
และต่อจากนี้ คือ เส้นทางของแบรนด์สัญชาติไทยที่ใช้ความเชื่อและความรักถักทอผลงานจนกลายเป็นที่ยอมรับทั่วโลก แม้กระทั่ง ‘ลิซ่า’ ลลิษา มโนบาล
ก่อนจะเข้ามาเป็นหัวเรือขับเคลื่อนแบรนด์ ‘PIPATCHARA’ เพชรก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ค้นพบตัวเองอย่างรวดเร็วว่า รักในการวาดรูป ชอบศิลปะ และหลงใหลงานอาร์ต
ด้วยแรงรักและแพสชันอันแรงกล้า เธอจึงทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงการศิลปะ แต่เรื่อง ‘แฟชัน’ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เพชรคิดว่าจะมาบรรจบกับชีวิตของเธอได้
เธอเลือกเรียนคณะศิลปกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วก็ไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส และนั่นคือบันไดขั้นแรกที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ก้าวเท้าเข้าสู่วงการแฟชัน
ที่ฝรั่งเศส ลองวาดรูป ลองปั้น ลองทำแพทเทิร์นเสื้อผ้า ลองดูสี ลองทำหลายสิ่ง ลองผิด ลองถูกด้วยตัวเอง อยู่นาน ตัดสิ่งที่ไม่ชอบออกไป จนเหลือสิ่งที่เธอรักและอยากทำ
“จริง ๆ ก็ fail อยู่ทุกทุกวัน ไม่มีวันไหนที่รู้สึกว่า fail จบไปแล้วเราโตขึ้น แต่เพชรรู้สึกว่ามันคือการที่เราต้องพูดกับตัวเองทุกวันว่า มันเป็นธรรมดาของชีวิต ที่ต้อง fail แต่สิ่งสําคัญคือเวลาเรา fail เราเสียใจ แต่เราต้องเรียนรู้อะไรสักอย่างจากมันให้ได้”
“บางทีเรา fail เราก็คิดว่ามันผิดพลาดตรงไหน ทำไมเราถึงทำไม่ได้ แต่ถามว่าจะเป็นต้องหาคำตอบไหม บางทีไม่นะ แต่อย่าไปตั้งว่าห้าม fail เพราะมันจะ always fail แล้วพอเป็นแบบนั้นเยอะ ๆ จะทำให้รู้สึกไม่อยากทำ สำหรับเพชรมันคือเรื่องธรรมดาที่จะ Fail แต่สิ่งสำคัญคือเราเรียนรู้อะไร และอย่าทำอีกเท่านั้นเอง”
แล้วเมื่อเจอความล้มเหลวและเรียนรู้จากความผิดพลาดมากพอโดยใช้แรงรักและแพสชันเข้าสู้ ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นรูปธรรม ก็คือ แบรนด์ ‘PIPATCHARA’
PIPATCHARA เปิดตัวครั้งแรกในปี 2563 ด้วยความเชื่อและความรักในงานศิลปะของเพชร หลังจากที่เธออยากทำแบรนด์ที่คนใช้จะใช้งานมันได้ทุกวัน ยั่งยืน และเป็นชิ้นงานศิลปะที่มีคุณค่าทางจิตใจสำหรับคนที่ซื้อสินค้าของเธอไป
แล้วหลังจากออกเดินทางค้นหาตัวเอง เพชรก็รู้ว่าเธอชอบงาน art & craft สินค้าแนวศิลปหัตถรรม โดยเฉพาะการถักมาคราเม่ (Macrame - การมัดหรือถักเชือกเป็นลวดลาย) ที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องแขวนที่พี่สาวเอากลับมาบ้านจนกลายเป็นสินค้าเอกลักษณ์เฉพาะของ PIPATCHARA
“เพชรเอาสิ่งที่ชอบมาก ๆ คือ กระเป๋าหรือเครื่องประดับมาบวกกับการถักมาคราเม่ การถัก งานฝีมือต่าง ๆ ที่เพชรชอบมาผสมกัน เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่อยากจะเอาเรื่อง Art & Craft มาเป็นพื้นฐานของ PIPATCHARA”
ดังนั้น ‘PIPATCHARA’ จึงเกิดขึ้นด้วยความเชื่อ เชื่อว่าตัวเองทำได้ และเชื่อว่าสิ่งที่เธอทำอยู่มันถูกต้อง
“Passion มันเป็นนามธรรม เราไม่สามารถบอกได้หรอกว่า passion คืออะไร เราจะซื้อมันได้ไหม แต่สิ่งสําคัญคือการที่เราเชื่อในสิ่งที่เราทํามาก ๆ เชื่อในตัวเองก่อนว่า มันดีและต่อยอดได้ เพชรคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”
มากกว่านั้น วันนี้ PIPATCHARA ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ที่เชื่อในตัวเอง แต่ที่เป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่เชื่อและจะเติบโตไปพร้อมกับชุมชนด้วย
“เราอยากให้ทุกชิ้นงานที่เราทำ มีส่วนเกี่ยวข้องกับชุมชน”
นอกจากฝั่งหนึ่งจะใช้แพสชันและความรักในงานศิลปะนำจนใช้เป็นฐานของแบรนด์แล้ว อีกฝั่งหนึ่งเพชรก็จับมือกับ ‘ทับทิม’ จิตริณี แก้วจินดา พี่สาวของเธอที่สนใจเรื่องชุมชนยั่งยืน (sustainable community) มาร่วมออกแบบให้ PIPATCHARA เป็นแบรนด์แฟชันที่ทำงานกับคน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม
PIPATCHARA จึงตั้งใจว่าจะเป็น ‘Fashion for Community’ สายกระเป๋าก็เป็นผลงานของคนในชุมชนภาคเหนือที่เป็นส่วนหนึ่งของ PIPATCHARA Community ที่ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ราว 50 คน
ทุก ๆ ขั้นตอน ทุก ๆ วิธีการทำ เพชรและทับทิมลงไปสอนเองทุกขั้นตอน เพื่อให้ผลงานทุกชิ้นเชื่อมโยงกับชุมชนได้จริง
นอกจากนี้คอลเลคชันยอดนิยม INFINITUDE ซึ่งเป็นชุดที่ทำจากแผ่นพลาสติกหลากสี ถูกเกี่ยว และร้อยต่อกันจนเป็นชุดแนวใหม่ของวงการแฟชันก็ยังซ่อนกิมมิคสำคัญ เพราะบนแผ่นพลาสติกแต่ละอันจะมีวงรีคล้ายรูปแม่น้ำเล็ก ๆ 3 วง ซึ่งสะท้อนกลยุทธ์ 3 อย่างของ PIPATCHARA ประกอบด้วย Recycle Redone และ Rebirth
ถ้าอธิบายความเชื่อมโยงของทั้ง 3 เรื่องนี้ได้สั้น ๆ ก็คือ การนำพลาสติกเหลือใช้ ไม่ว่าจะเป็นทัพเพอร์แวร์ ฝาขวดน้ำ ขวดน้ำ หรือขวดยาคูลท์ มาแปรรูปเป็นแผ่นพลาสติกชิ้นใหม่สำหรับชุดของ INFINITUDE (Recycle / Redone) ซึ่งเปรียบเสมือนการเกิดใหม่อีกครั้ง (Rebirth)
ขณะเดียวกัน ถ้ามองให้ลึกลงไปมากกว่าสวยงาม ความแปลกใหม่ เสื้อผ้า กระเป๋า และเครื่องประดับทุกชิ้นจะมีเรื่องราวของผู้คนอยู่ในนั้นที่เกี่ยวโยงกับแพสชัน ความรักของทุกคนช่วยกันหมุนกงล้อที่ชื่อว่า PIPATCHARA ไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
“ครั้งแรกที่เพชรไปเชียงรายครั้งแรก แล้วมีคนมาหาเรา 50 คน เรามีเชือก มีห่วง มีแพทเทิร์น มีไม้บรรทัด มีทุกอย่างให้ วันนั้นเพชรรู้สึกว่า มันมาถึงแล้ว สิ่งที่เราพูดว่าอยากเป็น Fashion for Community ชุมชนเป็นปัจจัยหลักเลยที่ทำให้เพชรอยากทำต่อ รู้สึกว่าเขามีความสุขกับการได้ทำงานหัตถกรรม และได้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ที่กำลังเติบโต
“หลาย ๆ คนใน PIPATCHARA เชื่อในตัวเพชรก็ส่วนหนึ่ง แต่เขาเชื่อด้วยตัวเองว่า PIPATCHARA จะไปได้ ตอนแรกเพชรยอมแพ้ง่ายมาก แต่เพชรคิดว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ตอนนี้เพชรยอมแพ้ได้ยากมาก
“เพราะถ้าเราหยุด มันหยุดหมดเลยนะ เพราะฉะนั้นชุมชนเป็นปัจจัยหลักเลยที่ทำให้ PIPATCHARA เหมือนหมุนกงล้อของมันไปต่อได้”
PIPATCHARA เริ่มจากธุรกิจเล็ก ๆ ที่ไม่มีหน้าร้าน ไม่ได้เร่งรีบ แต่เดินบนเส้นทางของตัวเองมาตลอด จนกระทั่งชื่อของ PIPATCHARA กลายเป็นที่กล่าวขานทั่วโลก เมื่อ ‘ลิซ่า’ หยิบชุดคอลเลคชัน ‘INFINITUDE’ มาใส่เข้าร่วม After Party ของ Monaco F1 Grand Prix 2024 บนเรือยอชท์ของ Tag Heuer ที่ประเทศโมนาโก
“ด้วยตัวน้องเองสนับสนุนแบรนด์ไทยค่อนข้างมาก แล้ว PIPATCHARA ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เขาสนับสนุน มันบ่งบอกว่าน้องลิซ่าเองก็สนใจเรื่องพวกนี้ คิดว่าการที่น้องให้โอกาสพี่พัชรา มันเริ่มทำให้คนเริ่ม awareness ว่าสิ่งที่เราทําอยู่อ่ะมันมีค่า”
หลังจากนั้น PIPATCHARA จึงกลายเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เสื้อผ้าที่ถูกจับตามอง เหล่าดาราและเซเลบต่างได้มาลองสวมใส่ไปออกงานต่าง ๆ มากมาย รวมถึงได้ไปเฉิดฉายอยู่บนรันเวย์ต่างประเทศมากขึ้น
พอมองกลับมาที่อุตสาหกรรมแฟชันไทย เพชรมองว่า คนไทยเก่ง แฟชันดีไซเนอร์ของไทยก็เก่ง หากทุกคนร่วมมือกัน จับมือไปด้วยกัน โลกใบนี้จะเห็นว่าแฟชันไมยก็ไม่แพ้ชาติใดเช่นกัน
“ในมุมมองของเพชร เพชรคิดว่าโลกนี้เชื่อว่า ทุกคนรู้จักเซเลบริตี้ไทย เพราะเขาไปทุกที่ แล้วแฟชั่นแบรนด์ของไทยทุกคนก็เก่งมาก สิ่งสำคัญตอนนี้ คือ เรากำลังร่วมมือกัน คุยกันว่า เราไปด้วยกันได้ เพราะถ้าไปคนเดียวไปมอดเร็ว แต่ถ้าเราจับมือกัน คนนี้ไปจีน คนนี้ไปฝรั่งเศส คนนี้ไปฮ่องกง ถ้าหลายแบรนด์ออกนอกประเทศ หลังจากนี้คนจะเข้าใจแล้วว่า จริง ๆ แบรนด์ไทยดีมากเลยนะ”
สำหรับ PIPATCHARA การทำเสื้อผ้าและกระเป๋าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น อนาคต PIPATCHARA ก็เตรียมเดินหน้าขยับไปร่วมมือกับแบรนด์อื่น ๆ เพื่อส่งต่อและสื่อสารเรื่อง ‘Fashion for Community’ ให้เกิดขึ้นจริง
พอถามว่า ความสุขของเพชร ณ เวลานี้ คืออะไร คำตอบของเธอ ก็คือ การได้ตื่นมาทำงานที่เธอรักในทุก ๆ วัน ถึงจะมีเรื่องที่ไม่ชอบเกิดขึ้น แต่เธอก็ยังสนุกที่หาแง่มุมของสิ่งที่เพชรรักและอยากทำในแต่ละวันจนเจอ
“แรงผลักดันที่ตื่นมาทำงานมีหลายอย่าง เพชรเป็นคนที่ทำในสิ่งที่เพชรชอบทุกวันอยู่แล้ว วันหนึ่งเพชรจะได้วาดรูปบ้าง วันหนึ่งอาจจะได้ต่อพลาสติก เลือกสีพลาสติก เลือกสีหนัง คุยกับคน คุยกับ community คือทุกอย่างที่เพชรทําแต่ละวัน เพชรจะเวท มันไม่ใช่ทุกวันที่จะเพชรได้สิ่งที่เพชรรักหรอก แต่ว่าทุกวันเพชรจะต้องหาสิ่งที่เพชรรักให้ได้สักอย่างหนึ่ง
“เคยเจอนะ วันนั้นไม่ชอบเลยสักงาน มันจะทำให้เราดาวน์ แต่มันไม่อยู่ที่งาน ก็อยู่ทางอื่น เช่น ไปออกกำลังกาย ดูหนัง แต่เพชรจะหามุมมองที่ inspire ตัวเองตลอด เพชรจะไม่บังคับให้ตัวเองทำอะไรอย่างหนึ่ง แต่อะไรทำแล้วมีความสุขเราก็ทำ ถ้าไม่มีความสุข อะไรที่จำเป้นต้องทำก็ทำ แต่จะรู้ตัวว่าเราทำได้มากน้อยแค่ไหน”
เพราะเรื่องราวทั้งหมดนี้บอกเราว่า PIPATCHARA คือแบรนด์ที่สร้างขึ้นจากความเชื่อ และยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความรักในสิ่งที่ทำ เชื่อมโยงศิลปะ ชุมชน และผู้คนเข้าด้วยกันในทุกชิ้นงาน เพื่อสร้างคุณค่าและแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่สัมผัส
ภาพ : กัลยารัตน์ วิชาชัย