15 เม.ย. 2568 | 18:00 น.
KEY
POINTS
“ฉันคงต้องบอกว่าช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต คงหนีไม่พ้นการยุติชีวิตแต่งงาน
“มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันวาดฝันไว้มาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับฉัน ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดในวันที่ตัดสินใจแต่งงาน แต่ฉันรู้ดีว่า ต้องจบการชีวิตแบบนี้ลงเสียที เพื่อไม่ให้สุขภาพกายและจิตใจของฉันย่ำแย่ไปมากกว่านี้ และนั่นเป็นวันที่เศร้าที่สุดในชีวิต”
‘เมลินดา เฟรนช์ เกตส์’ (Melinda French Gates) อดีตภรรยาของ ‘บิล เกตส์’ (Bill Gates) นักธุรกิจผู้มั่งคั่งเป็นอันดับที่ 7 ของโลก จากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes ในปี 2024 เล่าถึงช่วงเวลาที่เธอเสียใจที่สุดในชีวิต หลังจากตัดสินใจเลิกรากับอดีตคนรัก พ่อ และเพื่อนที่อยู่เคียงข้างกันมานานกว่า 27 ปี เวลาครึ่งค่อนชีวิตที่ทำให้เธอกลายเป็น ‘แม่’ ของลูกทั้ง 3 คนอย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนจะขยับสถานะมาเป็นคุณยายในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 หลังจากลูกสาวของเธอ ‘เจนนิเฟอร์ เกตส์’ (Jennefer Gates) มีลูกคนแรก
เมลินดากลายเป็นผู้หญิงที่พร้อมอุทิศชีวิตเพื่อลูก หลาน รวมถึงคนอีกหลายล้านชีวิต ผ่านมูลนิธิ บิล และเมลินดา เกตส์ (The Bill & Melinda Gates Foundation) ซึ่งก่อตั้งในปี 2000 เพื่อช่วยเหลือปัญหาความยากจนและสาธารณสุขทั่วโลก และมียอดการใช้จ่ายเพื่อการกุศลมากถึง 7.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.87 ล้านล้านบาท) แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารร่วมของมูลนิธิเมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 เพื่อไปทำงานเกี่ยวกับสิทธิสตรีที่ถดถอยในสหรัฐอเมริกาอย่างหนักแล้วก็ตาม
‘เมลินดา แอนน์ เฟรนช์’ (Melinda Ann French) เกิดที่ดัลลาส เป็นลูกคนที่สองจากพี่น้องสี่คน พ่อเป็นวิศวกรอวกาศ ทำงานในโครงการอะพอลโลอันโด่งดัง ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน ช่วยดูแลลูกทั้งสี่คนด้วยความรัก และรู้สึกเสียดายเสมอมาที่ไม่ได้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย นับแต่นั้น แม่จึงตั้งปณิธานเอาไว้ในใจว่าลูกทุกคนจะต้องได้เข้าเรียน เพราะการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดในชีวิตของแม่
ในปี 1980 ขณะที่เมลินดาอายุได้ 15 ปี พ่อของเธอได้นำคอมพิวเตอร์ Apple รุ่นแรกกลับบ้าน และนั่นทำให้เธอได้เรียนรู้วิธีการเขียนโปรแกรม BASIC เขียนโค้ดออกมาเป็นรูปหน้ายิ้มสี่เหลี่ยม ทำให้มันเคลื่อนที่ไปมาในจอคอมพ์ตามทำนองเพลง "It's a Small World" แต่งโดย โรเบิร์ต และริชาร์ด เชอร์แมน (Robert และ Richard Sherman)
เมลินดาจบปริญญาตรีด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเศรษฐศาสตร์ ก่อนจะเรียนต่อในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยดุ๊ก (Duke University) หลังจากทำงานที่ IBM ในช่วงฤดูร้อนหลายครั้ง เธอได้เข้าสัมภาษณ์งานที่บริษัทที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักในซีแอตเทิลชื่อ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เป็นเวลาเก้าปี โดยบรรยายถึงวัฒนธรรมของบริษัทว่า "ทะนงตน เต็มไปด้วยการถกเถียง และแข่งขันกันสูง"
เมลินดารักชีวิตการทำงานที่ไมโครซอฟท์ รักวัฒนธรรมทุกอย่าง รักเพื่อนร่วมงานทุกคน แม้งานจะหนักและเหนื่อยแค่ไหน แต่เมื่อได้ทำงานกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เปลี่ยนความเหนื่อยล้ามาเป็นแรงฮึดและไฟในการทำงานก็ลุกโชนขึ้นทุกเมื่อ
“ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นอยู่เลย เราจะเข้าไปยังสำนักงาน ออฟฟิศของลูกค้า หรือของใครก็ตาม แล้วเราก็เปิดบราวเซอร์ขึ้นมา จากนั้นก็ทำให้เขาดู และพูดว่า ‘โอ้ อินเทอร์เน็ตยังไงล่ะ!’ เรารู้ว่าเรากำลังเปลี่ยนโลกด้วยสิ่งนี้ และมันสนุกมาก”
ในตอนแรกเมลินดาดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด จากนั้นจึงดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปด้านผลิตภัณฑ์ข้อมูล โดยเธอได้ดูแลการเปิดตัว Word และ Expedia รวมถึง Bob ซึ่งเป็นอินเทอร์เฟซ Windows คล้ายการ์ตูนที่ออกแบบมาเพื่อให้พีซี (PC) ใช้งานง่ายขึ้น แต่ถูกยกเลิกหลังจากทำงานไปได้ไม่ถึงปี
เมลินดาพบกับ บิล เกตส์ (Bill Gates) ครั้งแรกในปี 1987 ที่งานเลี้ยงอาหารค่ำของบริษัทในนิวยอร์ก เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากที่เธอเริ่มทำงานที่ไมโครซอฟท์ ต่อมาในฤดูใบไม้ร่วงของปีเดียวกัน ทั้งคู่เริ่มออกเดตกัน และแต่งงานกันในวันที่ 1 มกราคม 1994 ที่เกาะลานาอี รัฐฮาวาย ช่วงแรกเธอรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการมีความสัมพันธ์กับผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็พัฒนาไปอย่างมั่นคง
เมลินดาตัดสินใจลาออกจากบริษัทในปี 1996 หลังจากให้กำเนิดลูกสาวคนโต (เจนนิเฟอร์) ซึ่ง ณ เวลานั้นเธอต้องดูแลพนักงานกว่า 1,800 คน แต่เธอรู้ดีว่า จะต้องมีสักคนที่อยู่ดูแลลูก ๆ จึงตัดสินใจไม่ยากเลยที่จะลาออกจากงานอันมั่นคงแห่งนี้
เธอรู้มาเสมอว่าอยากจะเป็นแม่ที่ดี แต่การมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบจะเป็นไปไม่ได้เลยหากทั้งพ่อและแม่ยังขลุกตัวอยู่กับที่ทำงาน
"มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยหากเราคนใดคนหนึ่งต้องเดินทาง และอีกคนก็ต้องทำหน้าที่ซีอีโอ โดยไม่มีคนอยู่บ้าน ไม่มีคนเป็นผู้ดูแลกฎเกณฑ์ ดูแลความเรียบร้อยของบ้าน (ฟีบี้ เกตส์ (Phoebe Gates) ลูกสาวคนเล็กของทั้งคู่เคยให้สัมภาษณ์ว่า แม่เป็นที่พึ่งให้เธอมาตลอดชีวิต)"
เธอเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่างในบ้าน ทั้งอาหารและงานบ้านอื่น ๆ เมื่อลูก ๆ เข้าเรียน เธอจะบอกให้สามีไปส่งที่โรงเรียนในสัปดาห์ที่สามเท่านั้น เพื่อไม่ให้คนอื่นแตกตื่นกัน ด้วยวิธีการนี้เด็ก ๆ จะสามารถปรับตัวเข้ากับที่โรงเรียนได้
"เราใช้เวลาราว ๆ สองสัปดาห์ที่ทำให้ทุกคนเห็นว่าเราเป็นแค่ครอบครัวธรรมดา ไม่ได้แตกต่างจากครอบครัวอื่น”
เมลินดารักชีวิตความเป็นส่วนตัวของครอบครัว เธอให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เป็นอันดับต้น ๆ เช่นเดียวกับการคงความเป็นปกติในชีวิตก่อนแต่งงานกับซีอีโอคนนี้ไว้อย่างเคร่งครัด เธอตัดสินใจว่าเด็ก ๆ จะใช้ชื่อสกุลเดิมของเธอในการเรียนชั้นประถมศึกษา และเมื่อพวกเขาเข้าเรียนมัธยมต้น พวกเขาสามารถเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนเป็นนามสกุลพ่อหรือไม่
“ลูกสาวคนโตของฉันอยากเปลี่ยนเป็นนามสกุลเกตส์ เธอรู้สึกว่าเธอพร้อมแล้วกับชื่อนั้น ลูกชายของฉันยังคงใช้นามสกุลเดิมของฉันตลอดช่วงที่เรียนมัธยมปลาย”
ย้อนกลับไปช่วงที่เธอตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกสาวคนแรก เมลินดาเล่าว่าเธอมีเหตุผลสองประการ
ประการแรก เธอรู้ดีว่าเธอรักการเป็นแม่ และรู้สึกโชคดีมากที่สามารถอุทิศตนให้กับเรื่องนี้ได้เต็มเวลา
ประการที่สอง ความรับผิดชอบของบิลที่ไมโครซอฟต์หมายความว่าเขาต้องทำงานหลายชั่วโมงและเดินทางบ่อยครั้ง เธอจึงต้องการให้แน่ใจว่าลูก ๆ จะมีพ่อแม่อย่างน้อยหนึ่งคนที่ตั้งใจจะอยู่เคียงข้างพวกเขา เหมือนกับที่แม่อยู่เคียงข้างเธอ
ช่วงที่ ‘เจน’ ลูกสาวของเธอเกิด เธอเล่าว่าเต็มไปด้วยความทรงจำอันงดงาม บ้านของพวกเขาอยู่ไม่ห่างจากชายหาด ทุกเช้าเธอจะวางแผนเข็นรถเข็นเด็ก พาลูกไปเดินเล่น เป็นครั้งแรกของชีวิตในวัยผู้ใหญ่ที่เธอสามารถมีเวลาส่วนตัวกับคนที่เธอรักมากที่สุดในโลก
ระหว่างนั้นเองเมลินดาก็ตระหนักได้ว่า ไม่ใช่พ่อแม่มือใหม่ทุกคนจะมีโอกาสเช่นเธอ พ่อแม่บางคนไม่สามารถลาออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูกได้ เธอจึงมักแบ่งเวลาออกมารณรงค์ให้คนเห็นความสำคัญของการลาคลอดบุตร ให้สวัสดิการแก่พ่อแม่มือใหม่ เพื่อให้ครอบครัวเป็นครอบครัว
“ฉันกลายเป็นคนที่มักออกมาสนับสนุนให้พ่อแม่สามารถลาพักร้อนได้ เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลาดูแลลูก ๆ ไม่ใช่แค่แม่เท่านั้นที่ควรได้สิทธิ์ พ่อเองก็เช่นกัน ชาย-หญิงควรมีความเท่าเทียม การลางานมาเพื่อดูแลลูกไม่ควรเป็นสิทธิพิเศษ แต่ควรเป็นสิทธิ์อันพึงมีของทุกคน”
เมื่อเจนเติบโตขึ้น เธอก็ค้นพบว่าโลกใบเล็กของลูกเริ่มขยายกว้าง เธอพร่ำถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเธอเลี้ยงลูกดีพอหรือยัง
“ฉันรู้สึกเหมือนมีเสียงกระซิบอยู่ในหัวตลอดเวลาว่า ‘เธอเป็นแม่ที่ดีหรือยัง’ ‘เธอทำทุกอย่างอย่างเต็มที่เพื่อลูกแล้วแน่เหรอ’ เสียงกระซิบที่วนเวียนมาไม่หยุดเมื่อเจนค่อย ๆ เติบโต โชคดีที่มันอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อฉันมี ‘รอรี’ (Rory) และฟีบี้ ซึ่งเกิดมาในปี 1999 และ 2002 ระหว่างทั้งสองเกิดมา ฉันก็ได้เปิดมูลนิธิขึ้นมา เพราะไม่อาจทนอยู่กับความรู้สึกผิดที่ต้องเห็นเด็ก ๆ บางคนต้องอดอยาก และไม่สามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ดีพอ”
การเปิดมูลนิธิทำให้เธอต้องเสียสละความเป็นแม่ ออกมาดูแลภายในองค์กรอย่างจริงจัง เธอกังวลไม่น้อย กลัวว่าจะเป็นแม่ที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป สามสิ่งที่จำได้ตลอดชีวิตการเป็นแม่ของลูกทั้ง 3 คนคือ
หนึ่ง เธอภูมิใจในสิ่งที่ทำโดยเฉพาะงานมูลนิธิ
สอง มีความสุขเสมอเมื่อเห็นรอยยิ้มของลูก ๆ เห็นพวกเขาเติบโตอย่างงดงาม
สาม ความวิตกกังวลอย่างรุนแรงที่ต้องจัดสมดุลชีวิตการเป็นแม่ และการทำงาน
“สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ และจำเป็นต้องเรียนรู้ (แต่ยังไม่ได้ตกตะกอนดีนัก) คือ ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถเป็นแม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ได้ช่วยใครให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเท่าที่ควร ไม่ใช่แค่ลูก ๆ ของฉัน งานของฉัน หรือตัวฉันเอง มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันเสียสมาธิอยู่เหมือนกัน ที่แย่กว่านั้นคือ ความเอาแต่ใจ (หรืออาจจะเรียกว่าความสมบูรณ์แบบ) ฉันอยากให้ทุกอย่างไม่ว่าจะชีวิตครอบครัวหรือว่าการงานไม่มีข้อผิดพลาด แต่สุดท้ายก็ได้เรียนรู้ว่า กรอบความคิดดังกล่าวมีแต่จะทำให้ฉันหมกมุ่นจนไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่น กระทั่งพบว่าการเป็นผู้นำที่ ‘ดีพอ’ นั้นควรวางตัวอย่างไร”
แนวคิดของเธอสอดคล้องกับ ‘โดนัลด์ วินนิค็อตต์’ (Donald Winnicott) นักจิตวิทยาชาวอังกฤษผู้วางรากฐานของคำว่า ‘แม่ที่ดีพอ’ ขึ้นมาในช่วงทศวรรษที่ 1950 แม้ว่าข้อสันนิษฐานของเขาเกี่ยวกับครอบครัวและบทบาททางเพศบางส่วนจะล้าสมัยไปแล้ว แต่แนวคิดเรื่องพ่อแม่ที่ดีพอก็ยังคงเป็นที่ยอมรับมายาวนานจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงลูกหลายชั่วอายุคน
แนวคิด ‘การเป็นแม่ที่ดีพอ’ ที่เธอได้เรียนรู้คือ พ่อแม่คือคนที่เอาใจใส่ลูกและดูแลความต้องการของลูกโดยไม่คาดหวังความสมบูรณ์แบบจากตัวเขาเองหรือจากลูก แต่ในความเป็นจริง ยังมีข้อโต้แย้งจากนักจิตวิทยาคนอื่น ๆ บอกว่าพ่อแม่ที่ดีพอ มีประสิทธิภาพมากกว่า ‘พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ’ เพราะการยึดมั่นในความสมบูรณ์แบบไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกพัฒนาไปในทิศทางที่ดี
สำหรับเมลินดาแล้ว แนวคิดที่ว่าพ่อแม่ที่ดีพอไม่ได้หมายถึงแค่การอนุญาตให้ปล่อยวางเท่านั้น แต่มันยังทำให้การปล่อยวางกลายมาเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องทำเพื่อให้ลูก ๆ มีโอกาสได้เติบโตในโลกของพวกเขาอย่างเต็มที่
ผลของความพยายามในการเลี้ยงดูลูกของทั้งคู่ ทำให้เด็ก ๆ ทุกคนเติบโตมาเป็นอย่างดี ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดัง และทั้งสามก็กลายเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่มาโดยตลอด
เจน หรือเจนนิเฟอร์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาธารณสุขศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและปริญญาตรีชีววิทยามนุษย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในเดือนพฤษภาคม 2024 เธอสำเร็จการศึกษาจาก Icahn School of Medicine ที่ Mount Sinai ก่อนที่จะเริ่มการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางด้านกุมารเวชศาสตร์ที่ Mount Sinai
นอกจากจะเป็นแพทย์ฝึกหัดแล้ว เจนนิเฟอร์ยังเป็นนักกระโดดข้ามเครื่องกีดขวางมืออาชีพที่แข่งขันมาเป็นเวลาหลายปีอีกด้วย
รอรี เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1999 เขาได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ จอห์น นีลสัน (John Neilson) เพื่อนผู้ล่วงลับของเมลินดา ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไม่นานหลังจากลูกชายของเธอเกิด รอรีสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิคาโกในเดือนมิถุนายน 2022 โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาสองใบและปริญญาโทภายในสี่ปี ปัจจุบันเขากำลังศึกษาในระดับปริญญาเอกที่สถาบันการเมืองโลกและเป็นนักวิเคราะห์ให้กับคณะกรรมาธิการสงครามอัฟกานิสถาน
ในเดือนพฤษภาคม 2024 รอรีซึ่งใช้ชีวิตค่อนข้างเป็นส่วนตัว ได้ไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของทำเนียบขาวกับเมลินดา และยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตลอดมา
ฟีบี้ ลูกสาวคนสุดท้อง สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมในปี 2021 และในวันสำเร็จการศึกษา เจนนิเฟอร์ได้โพสต์ข้อความให้กับน้องสาวของเธอบนอินสตาแกรม พร้อมชุดภาพถ่ายตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า "ฟีบี้ ฉันไม่เชื่อเลยว่าวันนี้จะมาถึง (เวลาผ่านไปเร็วมาก!) แต่เธอฉลาดเกินวัย และพร้อมอย่างยิ่งสำหรับบทต่อไปที่น่าเหลือเชื่อในเส้นทางชีวิตของเธอ ฉันรักเธอ ฉันภูมิใจในตัวเธอมาก และแทบรอไม่ไหวที่จะพบกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นที่สแตนฟอร์ด”
ฟีบี้ใช้เวลาเพียงสามปีในการสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในเดือนมิถุนายน 2024
นอกจากนี้เมลินดายังเขียนข้อความถึงลูก ๆ ไว้ด้วยว่า
หวังว่าลูกจะจำไว้เสมอว่าความรักของแม่ ลูกคือคนที่ทุกคนต้องการอย่างแน่นอน และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการให้ทุกอย่างแก่โลกใบนี้ คือการเชื่อมั่นในตัวเองว่าลูกมีคุณค่ามากเพียงพอแล้ว มากเกินพอแล้ว
และสำหรับพ่อแม่คนอื่น ๆ ที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ จงรู้ไว้ว่าสิ่งนี้ก็เป็นจริงสำหรับคุณเช่นกัน เมื่อต้องดูแลครอบครัวของคุณ ซึ่งเป็นงานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่คุณจะทำในโลกนี้ ฉันหวังว่าคุณจะไม่ยอมให้การยึดมั่นในความสมบูรณ์แบบมาพรากความสุขอันล้ำค่าไปจากชีวิตครอบครัว
อย่าลืมอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกถึงความสงบจากการปล่อยวางด้วยเช่นกัน
ไม่มีใครรู้มากนักว่าชีวิตครอบครัวที่เธอ ‘หวังว่า’ จะออกมาเพอร์เฟกต์จะจบลง การครองคู่กับชายที่เธอรักตลอดเวลาเกือบ 30 ปีได้ปิดฉากลงอย่างลงอย่างสมบูรณ์ แม้จะปวดร้าวเพียงใด แต่นั่นคือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ในหนังสือเล่มใหม่ของเธอที่มีชื่อว่า "The Next Day: Transitions, Change, and Moving Forward" (วางจำหน่ายวันที่ 15 เมษายน 2025) บอกเล่าถึงสาเหตุของการหย่าร้างกับบิล เกตส์ การแต่งงานที่ไม่ต่างจากฝันร้าย และทำให้เธอมีอาการตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา
“ฉันต้องตัดสินใจบางอย่าง และฉันต้องทำมันด้วยตัวเอง” เมลินดาบอกกับตัวเองซ้ำ ๆ จนเอ่ยปากบอกกับสามีว่าจะยุติความสัมพันธ์นี้ลงเสียที
“บิลเคยยอมรับกับสื่อว่าเขาไม่ได้ซื่อสัตย์กับฉันเพียงคนเดียว
“พวกเราเข้าพบนักบำบัด ทำให้ฉันสามารถยอมรับกับสิ่งที่เขาทำได้”
การหย่าร้างของทั้งคู่สิ้นสุดลงในวันที่ 3 พฤษภาคม 2021 หลังจากประกาศว่าจะหย่ากันในปลายปี 2019 จากนั้นในปี 2022 เมลินดาให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ USA TODAY ว่าการตัดสินใจยุติการแต่งงานของเธอเป็นหนึ่งใน "ช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต" ขณะที่บิล เกตส์ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษว่า
"การหย่าร้างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับตัวผมและเมลินดา มันกัดกินชีวิตพวกเราไม่ต่ำกว่าสองปี"
“คงไม่มีอะไรในชีวิตที่น่าเศร้าใจถึงเพียงนี้
“หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้งผมก็ยังจะแต่งงานกับเธอเหมือนเดิม”
มีการประเมินว่าเมลินดาได้รับทรัพย์สินจากการหย่าครั้งนั้นประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากการประกาศหย่าร้างของพวกเขา The Wall Street Journal รายงานว่าบิล เกตส์ถูกกรรมการบริษัทไมโครซอฟต์สอบสวน หลังจากที่พนักงานคนหนึ่งอ้างว่าเคยมีเพศสัมพันธ์กันมาก่อนในปี 2019 ตัวแทนของเกตส์บอกกับสื่อว่าการที่เขาออกจากคณะกรรมการบริษัทในปี 2020 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาดังกล่าว ซึ่งเกิดจากเรื่องชู้สาวที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน
ถึงชีวิตรักของทั้งคู่จะจบลง แต่พวกเขาก็ได้มูฟออนเริ่มต้นความสัมพัน์ใหม่ได้ระยะหนึ่งแล้ว
“เรามีความสุขกันมากได้ไปดูการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก สร้างความทรงจำดี ๆ ร่วมกันในอีกหลายที่ ผมโชคดีมากที่ได้เจอเธอ” บิล เกตส์ ในวัย 69 ปีเล่าถึง ‘พอลล่า เฮิร์ต’ (Paula Hurd) แฟนสาวของเขาในวัย 62 ปี หลังจากทั้งคู่พบกันในปี 2022 และเริ่มสานสัมพันธ์กันเรื่อยมา
“ผมผ่านพ้นช่วงเวลาการหย่าร้างมาได้แล้ว และเมลินดาเองก็สบายดี ทั้งผมและเธอต่างมีงานอีกเยอะมากให้ทำ ดังนั้นผมเลยไม่ได้รู้สึกแย่กับชีวิตตอนนี้มากนัก แน่นอนว่าการหย่าร้างไม่ใช่เรื่องดี เรามีลูก 3 คน แถมยังมีงานที่ทำร่วมกันอีก ผมรู้ว่ามันคงไม่คงอยู่ตลอดไป แต่สุดท้ายแล้วผมก็จะทำมันอยู่ดี”
ขณะที่เมลินดา ฉลองวันเกิดอายุ 60 ปีด้วยการไปพักร้อน และลองค้นหาตัวเองดู
“เมื่อคุณอายุเกิน 50 แล้ว คุณก็ไม่สามารถละเลยได้ว่าคุณอยู่ในช่วงครึ่งหลังของชีวิต คุณทำไม่ได้จริง ๆ นะ แต่การมีอายุครบ 60 ปีและมีหลาน ๆ ทำให้ฉันไตร่ตรองได้ว่า ‘เรากำลังทิ้งโลกแบบไหนไว้ข้างหลัง’”
เมลินดาเองก็มีข่าวเชื่อมโยงกับนักธุรกิจอย่าง ‘ฟิลิป วอห์น’ (Philip Vaughn) แต่เธอกล่าวว่าตอนนี้การออกเดทไม่ใช่สิ่งที่เธอให้ความสำคัญ
“ฉันรู้ดีว่าเมื่อฉันหย่าร้าง ฉันจะอยู่คนเดียวได้ และฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าการ ‘เปลี่ยนผ่าน’ กลับมาใช้ชีวิตโสดครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องยาก
“ดูสิ การหย่าร้างเป็นเรื่องเจ็บปวด และไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากให้เกิดขึ้นกับครอบครัวใด ๆ”
ชีวิตของเธอยังมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องกังวล (แม้ว่าในปี 2025 มีข่าวว่าเมลินดาและวอห์นคบหากันแล้วก็ตาม) เช่น ทำไมเงินทุนสำหรับการวิจัยด้านสุขภาพสตรีจึงน้อยนิดนัก “ทำไมเราถึงมีไวอากร้าสำหรับเพศชาย แล้วยังมีอะไรอีกเยอะที่มีอยู่ในท้องตลาด แต่ทำไมเราถึงไม่พิจารณาเรื่องวัยหมดประจำเดือน ซึ่งผู้หญิงทุกคนต้องเผชิญดูบ้าง” เธอตั้งคำถาม
หรือการทำให้ผู้หญิงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง ไม่เพียงแต่ในระดับรัฐบาลกลาง (เมลินดาไม่ได้ขึ้นตรงกับพรรคการเมืองใด แต่เธอสนับสนุนรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส และตามรายงานของนิวยอร์กไทม์ส เธอบริจาคเงินมากกว่า 13 ล้านเหรียญให้กับกลุ่มที่สนับสนุนการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของแฮร์ริส) แต่ยังรวมถึงในระดับท้องถิ่น ระดับรัฐ และระดับรากหญ้าด้วย หรือการทำลายล้างคดี Roe v. Wade เมลินดาเคยพูดสนับสนุนและให้ทุนสนับสนุนโครงการคุมกำเนิดสำหรับสตรีในประเทศกำลังพัฒนามาเป็นเวลานานแล้ว แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มูลนิธิเกตส์มีนโยบายเป็นกลาง เนื่องจากต้องทำงานทั้งสองฝ่าย ดังนั้นการสนับสนุนสิทธิการทำแท้งในสหรัฐฯ อย่างชัดแจ้งและด้วยเงินจึงถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอ ท่าทีดังกล่าวทำให้เธอขัดแย้งกับคริสตจักรนิกายโรมันคาธอลิก ซึ่งเป็นศาสนาที่เธอยังคงนับถืออยู่
ในเดือนพฤษภาคม 2024 เมลินดาประกาศกร้าวหลังจากลาออกจากประธานมูลนิธิบิลเกตส์ ว่าเธอจะหันมาให้ความสำคัญในประเด็นสิทธิสตรีและเด็กผู้หญิงมากขึ้น เริ่มจากการมอบเงินบริจาค 1,000 ล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุนโครงการและองค์กรที่ทำงานด้านนี้
ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังมุ่งมั่นแก้ปัญหาช่องว่างด้านเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการหญิง ผ่านองค์กร Pivotal Ventures ที่เธอก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นทั้งบริษัทลงทุน กลุ่มผลักดันนโยบาย และเครื่องมือเพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ
การเดินทางบทใหม่ของเมลินดาอาจไม่ได้อยู่ภายใต้ชื่อของมูลนิธิเกตส์อีกต่อไป แต่เจตนารมณ์ในการยืนหยัดเพื่อโอกาสที่เท่าเทียมของผู้หญิงทั่วโลก ยังคงชัดเจนและทรงพลังไม่เปลี่ยนแปลง
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง