17 ม.ค. 2568 | 18:00 น.
KEY
POINTS
พอวันตรุษจีนหวนมาทีไร ลูกหลานชาวจีนหลายบ้านมักได้ลูกอมลายกระต่ายที่มีกระดาษห่อสีขาว แดง และน้ำเงิน มาเป็นกอบเป็นกำ เรียกได้ว่ากินกันจนเมื่อยกรามกันเลยทีเดียว ซึ่งเจ้าลูกอมที่เราเห็นกันบ่อย ๆ ตามหน้าเทศกาล ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นที่คุ้นเคย แต่ในประเทศจีน เซี่ยงไฮ้ และอีกหลายประเทศทั่วโลกต่างคุ้นเคยกันมานานกว่าแปดทศวรรษแล้ว
ลูกอมกระต่ายขาว (White Rabbit Candy) ผลิตครั้งแรกในเซี่ยงไฮ้ ราวช่วงต้นทศวรรษ 1940 ภายใต้บริษัท ABC Company ต่อมาขายกิจการให้กับ Guan Sheng Yuan Food Group ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นของรัฐบาล เดิมทีลูกอมนี้ไม่ได้ทำออกมาเป็นรูปกระต่ายขาว แต่เป็นรูป ‘มิกกี้เม้าส์’ มีเอกลักษณ์ คือ กระดาษขาวขุ่นที่ห่อทับลูกอมทำจากแป้งข้าวเหนียว ซึ่งกินได้ ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยผู้คิดค้นอย่าง ‘Liu Boyong’ ได้รับแรงบันดาลใจจากลูกอมครีมของอังกฤษ และตัดสินใจทำลูกอมครีมในแบบฉบับของตัวเองดู และผลปรากฏว่าแทบทุกคนที่ได้ชิม ชอบรสชาติของเจ้าลูกอมนมที่เขาทำมาก จึงตัดสินใจวางขายในราคาประหยัด เพื่อให้ชาวเซี่ยงไฮ้ได้ลิ้มรสลูกอมนี้ได้อย่างทั่วถึง
“ลูกอม White Rabbit 7 ชิ้นเท่ากับนม 1 แก้ว” คือสโลแกนที่ Liu Boyong วางไว้ตั้งแต่แรก เขาอยากให้เด็ก ๆ มีสุขภาพดี ได้รับสารอาหารเพียงพอ แม้ว่าลูกอมจะมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมปริมาณมากก็ตาม โดยในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของบริษัทระบุว่า “กระต่ายขาวคัดเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุด น้ำเชื่อมแต่ละกระปุกทำด้วยวิธีโฮมเมด คนงานต้องใช้เวลากว่า 40 นาทีในการเคี่ยวส่วนผสมให้เข้ากัน จนออกมาเป็นลูกอมเนื้อหนึบ รสชาติเข้มข้น และเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ”
แต่เมื่อความเป็นชาติเริ่มถูกเร้าด้วยนโยบายของรัฐมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาถูกรัฐบาลกดดันอย่างหนัก และมองว่าขนมที่มีรูปหนูมิกกี้เม้าส์อาจทำลายความเป็นชาติลง และนี่คือค่านิยมตะวันตกที่แสนอันตราย พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก จึงจำใจต้องเปลี่ยนชื่อแบรนด์และใส่รูปกระต่ายขาวไว้บนห่อขนมแทน
ลูกอมกระต่ายขาวประสบความสำเร็จ ทุกคนชื่นชอบจนแทบคลั่ง และขึ้นแท่นเป็นลูกอมแห่งชาติกันเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่แค่ชาวจีนเท่านั้นที่คลั่งใคล้ ลูกอมกระต่ายขาวยังได้รับการยกระดับให้เป็นทูตเชื่อมสัมพันธ์ระดับประเทศมาแล้ว เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล มอบลูกอมให้ริชาร์ด นิกสัน ระหว่างการเยือนจีนในปี 1972 ขณะที่เลโอนิด เบรจเนฟ (Leonid Brezhnev) และนิกิต้า ครุสชอฟ (Nikita Khrushchev) อดีตผู้นำสหภาพโซเวียตก็เคยได้รับลูกอมกระต่ายขาวเช่นกัน เรียกได้ว่าลูกอมกระต่ายขาวกลายเป็นขนมที่น่าภาคภูมิใจของชาวจีนก็ว่าได้
“ลูกอมกระต่ายขาวกลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน และเป็นเหมือนดั่งประวัติศาสตร์ชาติ เพราะหลังจากเปิดตัวใหม่ ๆ ประเทศจีนขาดแคลนวัตถุดิบและส่วนผสมอย่างหนัก ดังนั้นลูกอมกระต่ายขาวจึงเป็นผู้บุกเบิกการผลิตขนมนมชนิดนี้ขึ้น ไม่ใช่แค่ขนมหวานชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นความทรงจำวัยเด็กอันงดงามของคนสมัยก่อน” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ Guan Sheng Yuan Food Group กล่าว
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่มองว่าลูกอมกระต่ายขาวเป็นเหมือนการพลิกประวัติศาสตร์ขนมหวานของจีน จนครองใจคนทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ลูกอมกระต่ายขาวกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ ในปี 1959 ขนมเหล่านี้ถูกแจกในเมืองเป็นของขวัญเนื่องในวันชาติครั้งที่ 10 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน อดีตนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล ซึ่งว่ากันว่ามักจะมีถุงวางอยู่บนโต๊ะทำงานเสมอ และในปี 2013 ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้เยี่ยมชมโรงงานแห่งใหม่ทางตอนใต้ของจีนด้วยตัวเอง
“จุดสูงสุดของแบรนด์คือช่วงทศวรรษ 1980-1990 ช่วงเวลาพิเศษของลูกอมกระต่ายขาว แม้จะมีการปิดประเทศ แต่ยังมีแบรนด์จากต่างประเทศจำนวนมากที่ยังไม่ได้เข้ามาตีตลาดเมืองจีน และกระต่ายขาวเป็นตัวเลือกหลักในเวลานั้น หากผู้บริโภคต้องการซื้อขนม ลูกอมของเราจะอยู่ในความคิดของพวกเขาเป็นอันดับแรก”
ตลอดเวลาที่ลูกอมกระต่ายขาวดำเนินกิจการมาไม่ได้มีแต่ความสำเร็จอันหอมหวานให้เชยชมเท่านั้น บริษัทเองก็เคยเผชิญกับวิกฤตครังใหญ่ เมื่อมีคำสั่งเรียกคืนลูกอมจากประเทศฟิลิปปิน์และอินโดนีเซียในปี 2007 หลังทางการตรวจพบสารฟอร์มาลดีไฮด์ในห่อบรรจุภัณฑ์กระดาษจากประเทศจีน ลูกอมกระต่ายขาวที่มาจากประเทศเดียวกันจึงถูกเหมารวมว่าอาจมีสารปนเปื้อนเช่นนี้ติดมาด้วย
โดยปกติแล้ว อาหารบางชนิด เช่น ผลไม้และนม มีฟอร์มาลดีไฮด์ในปริมาณเล็กน้อยตามธรรมชาติ แต่หากรับประทานเข้าไปปริมาณมากอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ โดยอาจทำให้ปวดหัว อาเจียน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามมากไปกว่านี้ ผู้ผลิตลูกอมกระต่ายขาวจึงให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาตรวจสอบสารปนเปื้อนในขนม สร้างความเชื่อมั่นว่าขนมของพวกเขาไม่มีสารพิษเจือปนอย่างแน่นอน และนั่นทำให้ข้อครหาต่าง ๆ ทุเลาลง ลูกอมกระต่ายขาวจึงได้รับความนิยมกลับคืนมาอีกครั้ง
แต่คลื่นอีกระลอกก็ซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อปี 2008 มีเด็กมากกว่า 52,000 คนล้มป่วยจากนมที่ปนเปื้อนเมลานีนในประเทศจีน ลูกอมกระต่ายขาวจึงถูกจัดให้อยู๋ในรายชื่อผลิตภัณฑ์ต้องห้ามเช่นเดียวกัน
ห้างซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำอย่าง Tesco ได้นำขนมออกจากจากเชลฟ์ ขณะที่หน่วยงานด้านอาหารในออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ได้ออกคำเตือนประชาชน บางส่วนก็เรียกคืนสินค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อยอดขายอย่างมาก
พวกเขาไม่ย่อท้อ พยายามทำทุกอย่างเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นกลับมาอีกครั้ง และกลับมาอยู่ในตลาดขนมหวานได้อีกคราว เรียกได้ว่าลูกอมแห่งความภาคภูมิใจของชาติต้องฝ่ากระแสคลื่นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
ด้วยการร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ ขนมเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง แต่ยังได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ผู้คนทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีรายงานอ้างว่าแบรนด์นี้ส่งออกขนมไปยังกว่า 40 ประเทศทั่วโลก
แบรนด์นี้ยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในตลาดต่างประเทศอีกด้วย ปัจจุบัน White Rabbit จากเซี่ยงไฮ้ถูกส่งออกไปยังกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยได้รับความนิยมเป็นพิเศษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงสิงคโปร์ ไทย และมาเลเซีย
ขนมเหล่านี้ยังขายในสหรัฐอเมริกาและยุโรปด้วย การส่งออกคิดเป็นเพียงประมาณ 5% ของยอดขายทั้งหมด แต่ Guan Sheng Yuan มีความทะเยอทะยานที่จะขยายตลาดนี้ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายครั้งใหญ่ของลูกอมแบรนด์เก่าแก่ คือ การสร้างสมดุลระหว่างประเพณีและความทันสมัย
“ลูกอมกระต่ายขาวไม่เพียงแต่เป็นขนมเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขอีกด้วย เป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างผู้คนต่าง ๆ ระหว่างแขกและสมาชิกในครอบครัว”
ลูกอมกระต่ายขาวจึงไม่ใช่แค่ขนมหวานที่เราคุ้นเคยในวัยเด็ก แต่เป็นสัญลักษณ์ของความทรงจำ ถึงจะเผชิญกับความท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แบรนด์นี้ก็ไม่เคยหยุดพัฒนา และฟื้นคืนกลับมาเป็นความภาคภูมิใจของชาติ และแรงบันดาลใจที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นตลอดมา
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : Wikipedia
อ้างอิง