05 พ.ค. 2567 | 18:36 น.
KEY
POINTS
ความคิดแบบนี้แล่นเข้ามาในหัวของคนหลายช่วงอายุมากขึ้นในปัจจุบัน จากเมื่อก่อนที่เป็นช่วงวัยเรียนเพราะเกิดภาวะเครียดไม่รู้ตัว รวมไปถึงเรื่องอื่นที่มักเข้ามาทำให้วัยเรียนว้าวุ่น แต่ ณ ตอนนี้ ช่วงอายุขยายกว้างพบมากขึ้นในวัยไม่เกิน 35 ปี ซึ่งก็คือ ‘วัยทำงาน’
หลายข้อมูลที่เราเห็น หนึ่งในนั้นก็คือ OOCA แพลตฟอร์มที่ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตกับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตของคนไทย ซึ่ง หมออิ๊ก - กัญจน์ภัสสร สุริยาแสงเพ็ชร์ เป็นเจ้าของและผู้ก่อตั้ง
ในบทความ OOCA Story ได้พูดถึงช่วงจิตคนเราที่กำลังดาวน์ ขุ่นมัว ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น แต่ไม่ถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย ห้วงอารมณ์เหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สารเคมีบางอย่างในสมองเราเริ่มหลั่งผิดปกติ ทำให้เรามีความคิดลบกับตัวเอง อยากจะหายไปจากโลกนี้ หรือ ตายไปก็ได้ แต่ไม่อยากฆ่าตัวตาย
เรามาทำความเข้าใจกันอย่างช้า ๆ และง่ายที่สุดเกี่ยวกับภาวะ Passive Death Wish คืออะไร?
ภาวะ Passive Death Wish หรือบางครั้งก็เรียกว่า ‘Passive Suicidal Idention’ นพ.ฮาโรลด์ ฮอง (Harold Hong) จิตแพทย์และผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของ New Waters Recovery ในเมืองราลี รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา อธิบายไว้ว่า
“ความคิดฆ่าตัวตายแบบ Passive เป็นความคิดเกี่ยวกับความตายและการฆ่าตัวตายบ่อยครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจหรือตั้งใจที่จะทำร้ายตัวเอง เพียงแต่จะแตกต่างจากความคิดฆ่าตัวตายเชิงรุกหรือ Active ที่มีการวางแผน มีการคิดล่วงหน้าเกี่ยวกับวิธีการเพื่อให้เป็นไปตามแผน”
“ถึงแม้ว่าภาวะ Passive Death Wish อาจไม่ได้การนำไปสู่การตายเสมอไป เพราะเป็นเพียงความคิดที่อยู่ในหัว ไม่ได้สร้างปัญหาร้ายแรงต่อผู้อื่น แต่ในมุมมองของแพทย์ถือว่ามีความเสี่ยง และควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ เพราะภาวะดังกล่าวอาจนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า ที่คิดอยากจะฆ่าตัวตายก็ได้”
“ที่สำคัญคือ Passive Death Wish มองยากกว่าโรคซึมเศร้า เพราะคนที่กำลังเป็นยังใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ไม่มีสัญญาณล่วงหน้า เพราะทุกอย่างเป็นสิ่งที่คิดในหัวทั้งหมด”
คล้าย ๆ กับความหมายที่ OOCA นิยามไว้ว่า คน ๆ นั้นอาจไม่ได้ทำตัวให้อยู่ในความเสี่ยง แต่ก็ไม่ได้แคร์ว่าตัวเองจะอยู่หรือไป มีความคิดว่าถ้าตายก็ดีไม่ตายก็คงต้องทนอยู่ต่อได้
ทั้งนี้ ผู้ที่มีอาการ Passive Death Wish จะมีความคิดแบบนี้วนเวียนไปมาอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ส่วนหนึ่งอาจเพราะว่า พวกเขามีทัศนคติที่มองไม่เห็นชีวิตด้านบวกของตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ไม่อยากทุกข์ทรมานอีกแล้ว เป็นต้น
ตัวอย่างความคิดที่มาจากอาการ Passive Death Wish อย่างเช่น
“ฉันหวังว่าจะมีคนชนรถของฉัน”
“ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ฉันไม่สามารถรับมันได้”
“ฉันหวังว่าฉันจะไม่ได้เกิดมา”
“พวกเขาทั้งหมดคงจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีฉัน”
นอกจากนี้ อาการของ Passive Death Wish ที่เป็นแล้วเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็คือ ชอบพูดเรื่องการจากไปของตัวเอง, รู้สึกเครียดและเศร้าอยู่ตลอดเวลา, กินและนอนผิดเวลาไปจากเดิม, ไม่ร่าเริงสดใส
ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำจำกัดความความคิดฆ่าตัวตายแบบ Passive ว่าเป็นการใคร่ครวญที่จะตายหรือเก็บงำความปรารถนาที่จะตายไว้ โดยไม่กระตือรือร้นที่จะบรรลุผลนั้น หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่การสูญเสียชีวิตได้ในที่สุด
ถึงแม้ว่านักวิจัยจาก New Waters Recovery บอกสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีแรงจูงใจที่ ‘น่าจะ’ ทำให้เกิดขึ้นภาวะ Passive Death Wish ได้แก่
ทั้งนี้ ในมุมของจิตแพทย์ของ OOCA ได้ให้คำแนะนำทิ้งท้ายว่า หากภาวะนี้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง หรือคนใกล้ตัวก็ตาม สิ่งที่เราสามารถทำได้เบื้องต้นก็คือ ทำให้เขาเห็นความสำคัญของการมีชีวิตอยู่ของตัวเขาเอง และเห็นว่าชีวิตเขามีความหมายมากแค่ไหน ควรค่าแก่การอยู่ต่ออย่างไร ส่วนเราคงทำได้เพียง ตั้งใจฟังเขาอย่างตั้งใจ ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่จำเป็นต้องมีคำพูดมากมายก็ได้ แค่ให้คนนั้นรู้สึกว่าเราพร้อมอยู่ข้าง ๆ ก็พอ
ภาพ: Pixabay
อ้างอิง:
“Passive Death Wish” อันตรายไม่แพ้ “ซึมเศร้า” เช็ก 4 วิธีระวังใจไม่ให้จมดิ่ง