19 เม.ย. 2568 | 18:00 น.
“เราจะขาย Yolé (โยเล่) เพราะเป็นโยเล่ นี่คือกลยุทธ์ที่เราวางเอาไว้ตั้งแต่แรกเลย เราจะให้โยเล่เป็นโยเล่ไม่ใช่เป็นไอศกรีมของบิวกิ้น”
‘จีโน่ - กิตติพัฒน์ บริบูรณ์ชัยศิริ’ หนึ่งใน CEO ผู้นำเข้าไอศกรีมแบรนด์ดังจากสิงคโปร์มาเปิดสาขาในประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ในรายการ Unscripted CEO Ep.1 ผ่านทางยูทูปช่อง ChubbyBoy ออกอากาศเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2024
เพราะจีโน่เชื่อว่า Yolé มีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน เรียกได้ว่าแตกต่างตั้งแต่เจ้าของแบรนด์อย่างสองพี่น้องชาวสเปน ‘มิกูเอล ดิแอซ’ (Miguel Diaz) และ ‘จาเวียร์ ดิแอซ’ (Javier Diaz) วางโจทย์แสนท้าทายเอาไว้ว่าพวกเขาจะคิดค้นไอศกรีมที่ไม่ใส่น้ำตาลแม้แต่กรัมเดียว จนออกมาเป็นรสชาติที่ทุกคนพยักหน้าเห็นตรงกันว่า นี่แหละ คือรสชาติที่ถูกต้อง สามารถป่าวประกาศให้ใครต่อใครได้อย่างภูมิใจว่า นี่คือโยเกิร์ต 0% Sugar Added ใช้ความหวานจากธรรมชาติล้วน ๆ ไม่มีสิ่งเจือปน
แม้ว่าในปัจจุบัน ‘มาร์ธา ดิแอซ’ (Marta Diaz) จะเข้ามาเป็นผู้บริหารอย่างเต็มตัว แต่เธอก็ไม่เคยลืมความตั้งใจแรกเริ่มของพี่ ๆ มีแต่จะเพิ่มความแข็งแกร่งเข้าไปอีกขึ้นขั้น กระทั่งขยายสาขาเข้ามาสู่ประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2023 ภายใต้การนำของ 2 CEO หนุ่ม ‘จีโน่’ และ ‘แมท’ โดยมีหุ้นส่วนคนสำคัญ คือ ‘บิวกิ้น - พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล’ ที่เข้ามาอยู่เบื้องหลังอย่างลับ ๆ
และนี่คือเรื่องราวของ Yolé ก่อนจะมาเป็นแฟรนไชส์ในประเทศไทย เริ่มจากเพื่อนวัยเด็กที่โชคชะตาผลักให้มาเจอกันหลังจากผ่านไปกว่า 20 ปี
“ฉันมีความผูกพันอย่างมากกับแบรนด์นี้ และไม่ได้มีความฝันแค่จะทำให้โยเล่กลายเป็นผลิตภัณฑ์ระดับสากลเท่านั้น แต่ยังอยากให้โยเล่ติด 1 ใน 5 แบรนด์ไอศกรีมชั้นนำของโลกให้ได้”
เมื่อย้อนกลับไปช่วงแรกที่ทำโยเล่ พี่น้องตระกูลดิแอซคลุกคลีอยู่ในวงการอาหารมาก่อนแล้ว และจากความหลงใหลนี้เอง ผลักให้พวกเขาอยากทำให้อุตสาหกรรมนี้คึกคักยิ่งกว่าเก่า เพราะไหน ๆ ใครก็บอกว่านี่คือวงการปราบเซียน ทำผู้ประกอบการหลายคนล้มเลิกมานักต่อนัก แต่ไม่ใช่กับพี่น้องดิแอซ ทั้งคู่มีความมุ่งมั่น มีแหล่งทุนที่พรั่งพร้อม และรายล้อมไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ตั้งแต่นักปั่นไอศกรีม นักโภชนาการ นักวิทยาศาสตร์อาหาร และเหล่านักชิมมืออาชีพที่พร้อมให้คำติชมอย่างตรงไปตรงมา จนออกมาเป็นไอศกรีมเนื้อเนียนนุ่มอย่างในทุกวันนี้
“โยเล่คือความแตกต่างอย่างแท้จริง โยเล่ไม่เหมือนใคร และมันกำลังเขย่าวงการไอศกรีม เราไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตไอศกรีมหรือผู้ประกอบการธรรมดา แต่เราเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ที่มีประสบการณ์ และขับเคลื่อนด้วยจิตวิญญาณของการบริการ
“โยเล่มอบทางเลือกใหม่ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับไอศกรีมที่ทั้ง ‘อร่อย’ และ ‘ดีต่อสุขภาพ’ สิ่งที่เรานิยามตัวเองไว้ชัดเจน คือ คุณสมบัติสองอย่างของผลิตภัณฑ์เรา คือ ไม่มีนม (zero dairy) และไม่เติมน้ำตาล (zero sugar added)”
เมื่อสองความพิเศษมารวมตัวกัน จึงกลายเป็นอีกขั้นของความมหัศจรรย์ ลบล้างกฎเกณฑ์เดิม ๆ ที่มองว่าของดีต่อสุขภาพมักรสชาติแย่ แต่โยเล่ไม่ใช่เช่นนั้น โยเล่ดีต่อสุขภาพแถมยังอร่อยล้ำเกินกว่าจะจินตนาการ
“เราตระหนักว่า มีผู้คนกว่า 6 พันล้านคนทั่วโลกที่แพ้แลคโตส เป็นเบาหวาน หรือเลือกทานอาหารวีแกนอย่างเคร่งครัด แต่ยังไม่มีแบรนด์ไอศกรีมไหนที่ตอบโจทย์ทั้งหมดนี้ได้ในเวลาเดียวกัน ยกเว้นโยเล่ ผลิตภัณฑ์ของเราออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มีความอยากของหวาน ใส่ใจสุขภาพ และให้ความสำคัญกับความยั่งยืน”
แน่นอนว่าความยั่งยืนที่โยเล่พยายามทำมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเวลา 7 ปีแล้วที่พวกเขายังคงก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง และขยายสาขาไปกว่า 21 ประเทศทั่วโลก
“เรามั่นใจว่า ด้วยการวิจัยและการทำงานอย่างหนัก เราจะสามารถทำสิ่งที่คนคิดว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ให้กลายเป็นจริง” ซึ่งพวกเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่ใช่แค่พูด แต่ทำได้จริง แบรนด์ไอศกรีมโยเกิร์ตที่ใส่ใจความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมวิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อโลก ผ่านความตั้งใจ 5 ข้อด้วยกัน
1. ผลิตภัณฑ์จากพืชและไม่มีน้ำตาลเพิ่ม โยเล่ใช้นมข้าวโอ๊ต ซึ่งมีข้อดีต่อสิ่งแวดล้อมหลายอย่าง เช่น ใช้น้ำน้อยลงถึง 80% เมื่อเทียบกับการผลิตนมวัว และปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลงเกือบ 3 เท่า
2. บรรจุภัณฑ์และวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น แผ่นไม้จาก Sonae Arauco ที่ได้รับการรับรอง PEFC ซึ่งมาจากการตัดแต่งป่าเพื่อส่งเสริมสุขภาพของต้นไม้ และในทุกการเปิดร้านใหม่ Yolé จะปลูกต้นไม้ 30 ต้น เพื่อชดเชยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
3. การสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่นและการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีจริยธรรม โยเล่ให้ความสำคัญกับการจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งที่มีจริยธรรมและสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนและลดระยะทางในการขนส่ง ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
4. การใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ เพื่อช่วยลดปริมาณขยะและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
5. การพัฒนาเมนูที่ยั่งยืน เช่น การเปิดตัวท็อปปิ้งวีแกนใหม่ ๆ เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
“เพื่อให้ไปถึงจุดนั้น ฉันมุ่งมั่นสร้างความเป็นเลิศและต้องการขยายการรับรู้ในระดับสากล ด้วยการร่วมมือกับผู้นำจากตะวันออกกลาง เอเชีย แอฟริกา อเมริกา และยุโรป เรียนรู้จากพวกเขาว่าจะพัฒนาแบรนด์ให้เติบโตไปด้วยกันได้อย่างไร ฉันวิเคราะห์ สร้าง และปรับแต่งเครือข่ายของตัวเองอยู่เสมอ รวมถึงติดตามแนวโน้มตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด”
ซึ่ง CEO หญิงคนนี้ยังฝากข้อคิดให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่อีกว่า การจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้นั้น ล้วนมีอุปสรรคเป็นธรรมดา แต่จงอย่ายอมก้มหัวให้ขวากหนามเหล่านั้นมาทำลายความตั้งใจของตัวคุณเอง และยืนหยัดต่อกรกับมันจนสุดความสามารถ
“เมื่อคุณกล้าหาญ ไร้ความกลัว และกล้าแสดงออก อย่าคาดหวังว่าทุกคนจะลุกขึ้นมาปรบมือให้คุณ อย่าคาดหวังเส้นทางที่ราบเรียบหรือเป็นไปตามแบบแผน จงผลักดันตัวเองให้กล้าเสี่ยง ความสำเร็จเริ่มต้นจากความล้มเหลว รับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง เรียนรู้จากความผิดพลาด และแม้จะต้องล้มลงก็ยังลุกขึ้นสู้ต่อไป
“จงเป็นฟองน้ำที่พร้อมดูดซับ เรียนรู้ และปรับตัวอย่างรวดเร็ว ความมีวินัยและการทำงานหนักเป็นสิ่งที่มาคู่กันกับความสำเร็จ คุณลักษณะเหล่านี้จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นภายในตัวคุณ และทำให้คุณสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและความไม่สบายใจได้ในท้ายที่สุด”
ส่วนในประเทศไทยเริ่มเปิดร้านอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2023 ที่ชั้น 7 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เป็นแห่งแรก ก่อนจะขยายเรื่อยมา จนในปี 2025 โยเล่ในไทยมีทั้งหมด 8 แห่งแล้ว
“ตอนแรกเราจำกันไม่ได้เลย จำไม่ได้เลยว่าเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน คุยกันไปคุยกันมา แมทก็บอกว่าได้ไปคุยกับบิวกิ้นว่าจะทำไอศกรีมโยเกิร์ต ถามเล่น ๆ ว่าสนใจมั้ย ปรากฎว่าเขาก็สนเพราะเคยเดินผ่านอยู่ 2 วันผ่านไป ก็ไปคอนโดบิวกิ้นไปนำเสนอแผนธุรกิจ ไปพรีเซนต์กับครอบครัวเขา คุณพ่อ คุณแม่เขาก็อนุมัติ ปึ้ง ๆ ๆ โอเค บิวกิ้นก็มาลงทุนโยเล่กับเรา
“ส่วนรู้ได้ยังไงว่าเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน ตอนวันเปิดสาขา หม่าม้าก็มา อากง อาม่า ป่าป๊า หม่าม้าแมทก็มาแสดงความยินดี หม่าม้าเจอหน้าแมทครั้งแรกก็บอกว่าหน้าคุ้นมากเลยอะโน่ ก็ถามอาม่าว่าเคยอยู่สวนมะลิมั้ย เขาบอกว่าใช่ ๆ แล้วก็บอกว่า อาม่ามาส่งแมทบ่อยมากเลย ตอนเด็ก ๆ เรียนเนอร์สเซอรี่ด้วยกัน
“พอไปดูรูปเก่า ๆ ตอนเรียนเนอร์สเซอรี่ตลกมากเลย เรายืนถ่ายรูปคู่กันตอนเด็ก ส่วนโน่กับบิวกิ้นเจอกันตอนอนุบาล โน่กับแมทเจอกันตอนเตรียมอนุบาล แล้วแมทกับบิวกิ้นอยู่หมู่บ้านเดียวกันตอนเด็ก หายกันไปเป็น 20 ปีแล้วกลับมาเจอกัน”
จีโน่เล่าในรายการ Unscripted CEO Ep.1 ผ่านทางยูทูปช่อง ChubbyBoy ถึงโชคชะตาที่ทำให้เพื่อนวัยเด็กทั้ง 3 คนวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ก่อนจะเล่าย้อนกลับไปอีกว่าเขากับแมท (CEO อีกคน) ไม่เคยทานไอศกรีมโยเกิร์ตของโยเล่มาก่อน กว่าจะรู้จักก็ตอนมีคนแนะนำให้ทั้งสองลองนำแฟรนไชส์เจ้านี้มาเปิดในประเทศไทยดู แต่ยังมองไม่เห็นว่าจะทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ พวกเขาไม่มีความรู้ด้านการขอแฟรนไชส์มาก่อน ไม่รู้ว่าหากเจ้าของแบรนด์อนุญาตแล้วจะนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศอย่างไร
จากความไม่รู้และไฟของเด็กหนุ่มในวัยยี่สิบต้น ๆ วัยที่ไฟแห่งการทำธุรกิจกำลังลุกโชน พวกเขาเพิ่งเรียนจบ เลยอยากจะลองทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อีกทั้งจีโน่เองก็พอมีความรู้ด้านธุรกิจอาหารอยู่บ้างแล้ว ขณะที่แมทมีเพียงความมุ่งมั่นเต็มกระเป๋า
อันที่จริงโยเล่ไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่พวกเขาอยากนำเข้ามาเปิดในประเทศไทย ยังมีแบรนด์ขนมอีกมากที่เขาพยายามติดต่อไป เมื่อถูกปฏิเสธพวกเขาก็เดินหน้าขอเปิดแฟรนไชส์จากแบรนด์อื่นต่อไปเรื่อย ๆ มีเพียงโยเล่แบรนด์เดียวเท่านั้นที่เขาขอแล้วขออีก จนเจ้าของแบรนด์เห็นความตั้งใจ ยอมบินมาดูความเป็นไปได้ในประเทศไทย
“ตอนนั้นผมกับจีโน่คุยกันว่าจะลองยื่นไปดูนะ ก็โอเคยื่นไปผ่านแบบฟอร์มของเขา แต่ทางนั้นก็ไม่ตอบ เลยลองอีกครั้ง เขาก็ไม่ตอบ (หัวเราะ) ปกติแบรนด์อื่นเราทักไปสองรอบเขาไม่ตอบ เราก็เลิกแล้ว งอน (ยิ้ม) แต่อันนี้พูดตริง ๆ ตอนแรกบอกกับแมทว่าไม่เอาละ ไม่ทำละเบื่อ เซ็งไม่มีใครตอบเลย แต่พอเลื่อนไอจีดูตอนตีหนึ่ง ตีสอง เห็นว่าสาว ๆ ไปกินโยเล่เยอะมาก
“ประมวลผลในหัวเลยทันทีว่า เอาวะ จะลองส่งอีกรอบ พร้อมกับแนบโปรไฟล์ตัวเองไปด้วยว่าเป็นใคร วันต่อมาเขาก็ตอบมาเว้ย แบบเออเห็นโปรไฟล์แล้วสนใจ วิดีโอคอลกันมั้ย ซึ่งเราไม่ได้บอกแมทเลยว่าจะยื่นไปอีกรอบ (หัวเราะ)”
จากนั้นราวกับทุกอย่างพลิกผันจีโน่เริ่มทำมาร์เก็ตรีเสิร์ช หาข้อมูลไอศกรีมโยเกิร์ตในตลาดว่าเป็นอย่างไร แม้ไม่มีความรู้มากนัก แต่โชคดีที่เขามีเพื่อนที่พร้อมให้การสนับสนุน และเขาเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากคนอื่น อาศัยความไม่รู้ ขอความรอบรู้จากผู้เชี่ยวชาญไปเรื่อย ๆ และในที่สุดโยเล่ก็เข้ามาเปิดในประเทศไทยได้สำเร็จ
“สิ่งหนึ่งที่เราได้จากการสำรวจคือ คนไทยจะซื้อของครั้งนึง เขาไม่อยากเลือกเยอะ ไม่อยากเครียด
“สมมุติมีแบรนด์อื่นละกัน ถ้าเป็นบิสกิตธรรมดาเพิ่ม10 บาท สตอเบอรี่เพิ่ม 50 บาท บลูเบอร์รี่เพิ่ม 40 บาท คุณต้องมานั่งคิดแล้วว่า อุ๊ย! ฉันเพิ่มอันนี้มันต้องเสีย 50 บาท เพิ่มอีกก็เสีย 20 บาท เรามองว่ามันไม่ได้ เลยทำให้โยเล่คิดราคาเพิ่มท้อปปิ้งราคาเดียวเท่ากันหมด”
ซึ่งวิธีการคิดราคาท้อปปิ้งเดียวกันทั้งหมด ทำให้โยเล่ประเทศไทยแตกต่าง เพราะเป็นความคิดของสองเด็กหนุ่มที่อยากจะทำให้ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทย
“ช่วงที่เปิดขายวันแรกประมาณ 3-4 โมง มีพนักงาน 4 คน จำได้เลยว่าวุ่นวายมาก พอวัตถุดิบหมดเราสองคนกับแมทต้องวิ่งสลับกันไปซื้อของเพื่อไปหิ้ววัตถุดิบกลับมา พอผ่านไปสองอาทิตย์ CEO ฝั่งนู้นเขาโทรมาแบบขอประชุมหน่อย อัพเดทให้ฟังหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะเขาอยากรู้ว่าทำไมยอดมันถึงพุ่งไปถึงแสน น่าจะมี error บางอย่าง คือมันพุ่งสูงที่สุดในโลก เรากลายเป็นสาขาที่ขายดีที่สุดในโลกไปเลยตอนนั้น
“ประเทศไทยต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
อันที่จริงแทบทุกแบรนด์หากอยากมาตีตลาดเมืองไทยให้สำเร็จ คงหนีไม่พ้นการมาเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์ โยเล่เองก็เช่นกัน พวกเขาเลือกแล้วว่ายังไงศึกครั้งนี้จะต้องพิชิตใจคนไทยให้ได้ จึงเป็นที่มาว่าทำไมจึงเลือกศูนย์การค้าแห่งนี้เป็นสาขาแรก และได้ขยายไปอีกสาขานึงที่บริเวณชั้น G ศูนย์การค้าสยามพารากอน ในเดือนมีนาคม 2024
จีโน่ยังบอกในรายการ Unscripted CEO อีกว่าช่วงที่เปิดสาขาสอง เขาอยากให้เจ้าของเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพขนาดไหน บวกกับมีบิวเป็นหุ้นส่วนจะยิ่งทำให้โยเล่แข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น จึงเชิญชวนให้มาเห็นกับตาว่าพวกเขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ทำธุรกิจเล่น ๆ
“ตอนนั้นบิวกิ้นมีคอนเสิร์ตที่เซ็นทรัลเวิลด์พอดี เราก็เลยพาเขา 2 คนไปดู เขาช็อก แบบแฟนคลับวิ่งตาม เขาก็บอกอีกว่าเมื่อคืนยังนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่เลย วันนี้เขา(บิวกิ้น)อยู่บนเวที แฟนคลับตาม เราก็เลยแฮปปี้กันทั้งคู่”
จีโน่บอกว่าการมีบิวกิ้นเป็นหุ้นส่วนย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่เขาไม่อยากขายโยเล่เพราะบิวกิ้น แต่อยากให้ทุกคนมาลองชิมเพราะรักในรสชาติของไอศกรีมโยเกิร์ตตัวนี้จริง ๆ นับแต่นั้นเขาก็ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนเลยว่าโยเล่มีบิวกิ้นอยู่เบื้องหลังอีกคน
“เรามองว่าการค่อย ๆ ปล่อยให้คนรู้จักมันเซ็กซี่กว่าการประกาศว่าเรามีบิวกิ้นเป็นเจ้าของนะ มาช่วยกินกันหน่อย คือจุดสำคัญที่สุดของเราคือ ไม่อยากให้มันเป็นแค่กระแส ไม่อยากให้มันเป็นแค่แฟชั่นฟู้ด อยากให้มันก้าวต่อไปด้วยความยั่งยืน”
และในวันนี้พวกเขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า 'โยเล่' ไม่ได้โตในไทยเพราะกระแส หรือมีบิวกิ้นเป็นหุ้นส่วน แต่เพราะคนสองคนกล้าเดินเข้าไปเคาะประตูแบรนด์ระดับโลก ทั้งที่ไม่มีคอนเนกชัน ไม่มีสูตรสำเร็จ และไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า มีเพียงความเชื่อและพลังกายใจ รวมถึงแรงสนับสนุนจากคนรอบข้างทำให้พวกเขายืนหยัดอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างมั่นคง
สามารถรับบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของจีโน่ได้ที่รายการ Unscripted CEO Ep.1 โคตรเก่ง!!! เปิดประวัติ YOLE ที่แรก เริ่มยังไง ทำยังไง อายุ 23 สู่ ธุรกิจ 8 หลัก. https://www.youtube.com/watch?v=vJN7aHf4NN0
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : Yolé Thailand และ Instagram/ bbillkin
อ้างอิง