06 มี.ค. 2568 | 12:30 น.
KEY
POINTS
“คุณเห็นรายงานที่เขาทำมั้ย? แค่ข้อมูลพื้นฐานยังรวบรวมไม่ครบเลย แล้วจะไปนำเสนอผู้บริหารได้ยังไง”
“อย่าไปมอบหมายงานสำคัญให้ทีมเขาเลย ครั้งที่แล้วก็ทำพลาดจนลูกค้าเกือบยกเลิกสัญญา”
“เธอเข้ามาทำงานที่นี่ได้เพราะคอนเนคชั่น ไม่ใช่ความสามารถหรอก”
การพูดถึงคนอื่นในแง่ลบ ชี้จุดบกพร่อง หรือกล่าวโทษคนอื่นในสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นสิ่งที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ ในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นในห้องประชุม มุมกาแฟ หรือแม้แต่ในแชทส่วนตัว
ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ คนที่ชอบวิจารณ์หรือตำหนิผู้อื่นมากที่สุด มักเป็นคนที่มีจุดอ่อนเรื่องนั้นเสียเอง
สิ่งนี้คือ ‘กลไกป้องกันตัว’ ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า ‘การฉายภาพ’ หรือ ‘การโยนความรู้สึก’ (Projection) ซึ่งเป็นกระบวนการที่คนเราโยนความรู้สึก ความกลัว หรือลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ของตัวเองไปให้คนอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับจุดอ่อนของตัวเอง
การโยนความรู้สึก คือกระบวนการที่คนเราโยนความรู้สึกของตัวเองไปให้คนอื่น สัตว์ หรือวัตถุ โดยเฉพาะเมื่อเป็นความรู้สึกที่เรารับไม่ได้ในตัวเอง
เช่น หัวหน้าที่ทำงานสะเพร่าแต่ชอบกล่าวหาว่าลูกน้องทำงานผิดพลาด หรือเพื่อนร่วมงานที่ชอบมาสาย แต่กลับชอบนินทาคนอื่นว่า “ไม่มีความรับผิดชอบ”
ตัวอย่างง่าย ๆ ที่พบบ่อย คือพนักงานที่ไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง มักจะเป็นคนแรกที่วิจารณ์ผลงานของคนอื่นว่า “ไม่ได้มาตรฐาน” หรือ “ไม่มีคุณภาพ”
ในความเป็นจริง การโยนความรู้สึกไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป นักจิตวิทยาเห็นว่าการโยนความรู้สึกมีทั้งด้านบวกและด้านลบ
ด้านบวก: การโยนความรู้สึกเป็นพื้นฐานของความเห็นอกเห็นใจ เพราะเราไม่สามารถเข้าไปในใจคนอื่นได้จริง ๆ เราจึงต้องใช้ประสบการณ์ของตัวเองเพื่อเข้าใจคนอื่น เช่น พ่อที่มีความละเอียดอ่อนอาจสังเกตเห็นสีหน้าของลูกสาวและรู้ว่าเธอกำลังเศร้า เพราะเขาเองก็มีสีหน้าแบบนี้เวลาเศร้า การโยนความรู้สึกแบบนี้ทำให้เกิดความเข้าใจอันลึกซึ้ง
ด้านลบ: การโยนความรู้สึกที่เป็นการโยนลักษณะที่ตัวเองไม่ยอมรับไปให้คนอื่น (“ฉันไม่ใช่คนที่รู้สึกแบบนี้ คุณต่างหากที่รู้สึก!”) เมื่อเราโยนลักษณะที่เรารังเกียจและไม่ยอมรับในตัวเอง และบิดเบือนภาพของอีกฝ่าย การโยนความรู้สึกแบบนี้จะทำร้ายความสัมพันธ์
นักจิตวิทยาจึงแบ่งการโยนความรู้สึกเป็น 2 ประเภทหลัก
1.การโยนความรู้สึกแบบป้องกันตัว (Defensive Projection): คือการที่เราโยนลักษณะที่ไม่ดีของเราไปให้คนอื่น เพื่อปกป้องตัวเองจากความวิตกกังวล เช่น คนที่ชอบโกหกมักจะกล่าวหาว่าคนอื่นไม่จริงใจ
2.การโยนความรู้สึกทั่วไป (Non-defensive Projection): คือการที่เราคิดว่าคนอื่นคล้ายกับเรา ซึ่งอาจเป็นลักษณะที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ เช่น คนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นมักคิดว่าคนอื่นก็เอื้อเฟื้อเหมือนกัน
ในที่ทำงาน เรามักเจอการโยนความรู้สึกแบบป้องกันตัวมากกว่า เพราะสภาพแวดล้อมการทำงานที่กดดันทำให้คนต้องหาทางปกป้องตัวเอง
‘ซิกมันด์ ฟรอยด์’ (Sigmund Freud) อธิบายเรื่องนี้ไว้ในจดหมายปี 1895 โดยเล่าถึงคนไข้ที่พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความรู้สึกอับอายของตัวเอง ด้วยการจินตนาการว่าเพื่อนบ้านกำลังนินทาเธอแทน
เมื่อเรารู้สึกไม่สบายใจกับบางสิ่งในตัวเอง เราจะพยายามโยนความรู้สึกหรือแรงกระตุ้นที่ยอมรับไม่ได้นั้นไปให้คนอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมัน กลไกนี้ช่วยให้เราจัดการกับลักษณะที่เรารับไม่ได้ โดยที่เราไม่ต้องยอมรับว่ามันมีอยู่ในตัวเรา
ในองค์กร พนักงานที่รู้ตัวว่าผลงานไม่ดีหรือขาดทักษะบางอย่าง อาจกังวลเรื่องความมั่นคงในงานหรือโอกาสก้าวหน้า ความกังวลนี้ผลักดันให้พวกเขาระบายออกด้วยการวิจารณ์หรือใส่ร้ายเพื่อนร่วมงาน แทนที่จะมองตัวเอง
ที่น่าสนใจคือ การโยนความรู้สึกมีรูปแบบที่แตกต่างกันตามช่วงพัฒนาการของคน
ในเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 3 ปี): เด็กยังแยกไม่ออกระหว่างตัวเองกับคนอื่น เด็กมักคิดว่าผลทางอารมณ์คือเจตนาของการกระทำ เช่น เมื่อพ่อแม่ตั้งกฎที่ไม่พอใจ เด็กจะโกรธและกล่าวหาว่าพ่อแม่เกลียดตน
ในเด็กโต: เด็กเริ่มเข้าใจว่าเมื่อกฎของแม่ทำให้เขาโกรธ ไม่ได้หมายความว่าแม่กำลังโกรธเขา นักจิตวิทยาเรียกความสามารถในการเห็นว่าคนอื่นมีความคิดเป็นของตัวเองนี้ว่า ‘ทฤษฎีจิต’ (Theory of Mind)
ในผู้ใหญ่: ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพจิตดีจะมี ‘Mentalization’ คือความสามารถในการมองว่าคนอื่นมีความคิด ความรู้สึกที่เป็นของเขาเอง ไม่ใช่แค่การโยนภาพตัวเองไปใส่ผู้อื่น
ในที่ทำงาน เราจะเห็นว่าบางคนยังใช้การโยนความรู้สึกแบบเด็ก ๆ โดยไม่สามารถแยกแยะระหว่างความรู้สึกของตัวเองกับความเป็นจริงของคนอื่น ทำให้เกิดการกล่าวหาและใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม
ตัวอย่างพฤติกรรมการฉายความรู้สึกในที่ทำงาน
1. วัฒนธรรม ‘โยนความผิด’
“ไม่ใช่ความผิดฉัน งานล่าช้าเพราะทีมการตลาดส่งข้อมูลมาให้ช้า”
“ถ้าไอทีอัพเดทระบบให้เร็วกว่านี้ ผมก็ทำงานเสร็จตามเดดไลน์แล้ว”
พนักงานที่ไม่กล้ายอมรับความผิดพลาดของตัวเอง มักรีบโยนความผิดให้คนอื่นทันที
2. การบิดเบือนความจริงเพื่อให้ตัวเองดูดี
“โปรเจกต์นี้สำเร็จเพราะฉันอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ทีมอื่นแค่ทำตามที่ฉันบอกเท่านั้น”
“ถ้าไม่มีฉันคอยตรวจทาน รายงานของเธอคงมีแต่ข้อผิดพลาด”
พนักงานที่ไม่มั่นใจในความสามารถตัวเอง มักจะอวดอ้างผลงานของคนอื่นเป็นของตัวเอง
3. การเมืองในการเลื่อนตำแหน่ง
“เธอยังไม่พร้อมสำหรับตำแหน่งนี้หรอก ยังขาดวุฒิภาวะ ขาดความเป็นผู้นำ”
“เขาเอาแต่สร้างภาพต่อหน้าผู้บริหาร แต่จริง ๆ แล้วงานในความรับผิดชอบยุ่งเหยิงมาก”
คนที่กลัวว่าตัวเองไม่เก่งพอจะได้เลื่อนตำแหน่ง มักพยายามลดความน่าเชื่อถือของคู่แข่ง
4. การโยนความรู้สึกแบบสร้างวงจรอุบาทว์
บางครั้งการโยนความรู้สึกไม่เพียงแค่โยนความรู้สึกไปให้คนอื่น แต่ยังทำให้อีกฝ่ายแสดงพฤติกรรมนั้นออกมาจริง ๆ นักจิตวิเคราะห์ ‘เมลานี ไคลน์’ (Melanie Klein) เรียกกระบวนการนี้ว่า ‘การโยนความรู้สึกแบบถ่ายทอดเอกลักษณ์’ (Projective Identification) ตัวอย่างเช่น
ผู้จัดการที่โกรธลูกน้อง แต่ไม่ยอมรับความโกรธของตัวเอง จึงกล่าวหาว่าลูกน้องเป็นฝ่ายก้าวร้าว พูดจาดูถูก และไม่ให้เกียรติเขา ลูกน้องที่ถูกกล่าวหาซ้ำ ๆ สุดท้ายก็เริ่มรู้สึกโกรธและแสดงความก้าวร้าวออกมาจริง ๆ ทำให้ผู้จัดการรู้สึกว่า “เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าเขาก้าวร้าว”
หัวหน้าทีมคนหนึ่งวิตกกังวลว่าลูกน้องจะทำงานพลาด จึงคอยจับผิดและตำหนิลูกน้องตลอดเวลา จนลูกน้องเกิดความเครียดและเริ่มทำงานผิดพลาดจริง ๆ หัวหน้าจึงรู้สึกว่าตัวเองถูก “ฉันรู้แล้วว่าเขาทำงานไม่ได้”
การฉายความรู้สึกแบบนี้ก่อให้เกิดวงจรอุบาทว์ที่ทำลายทั้งความสัมพันธ์และประสิทธิภาพการทำงาน
หากปล่อยให้พฤติกรรมเหล่านี้ดำเนินต่อไป ผลกระทบร้ายแรงจะเกิดขึ้นกับองค์กร
ตัวอย่างที่ร้ายแรง คือการที่พนักงานคนหนึ่งถูกวิจารณ์ว่า “ไม่มีความสามารถ” บ่อยครั้งจนเขาเริ่มเชื่อว่าตัวเองไม่มีค่า ทั้งที่จริง ๆ แล้ว คำวิจารณ์เหล่านั้นมาจากหัวหน้าที่รู้สึกไม่มั่นคงในตำแหน่งของตัวเอง
ที่น่ากังวลมากกว่านั้น งานวิจัยพบว่าการใช้การโยนความรู้สึกเป็นกลไกป้องกันตัวบ่อย ๆ มีความเชื่อมโยงกับลักษณะบุคลิกภาพที่เป็นปัญหา เช่น
นอกจากนี้ การโยนความรู้สึกยังส่งผลต่างกันระหว่างเพศ โดยผู้ชายที่ใช้การโยนความรู้สึกมากมักมีบุคลิกระแวง คอยระวังตัวสูง ขณะที่ผู้หญิงที่ใช้การโยนความรู้สึกมากกลับมีแนวโน้มเป็นคนเข้าสังคม ไว้ใจผู้อื่นง่าย และมีอาการซึมเศร้าน้อย
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการโยนความรู้สึกไม่เพียงส่งผลต่อองค์กร แต่ยังกระทบต่อสุขภาพจิตของแต่ละบุคคลอีกด้วย
สำหรับตัวคุณเอง:
เมื่อคุณเป็นเป้าของการฉายความรู้สึก:
สำหรับผู้นำองค์กร:
การโยนความรู้สึกเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบ เหมือนกระจกที่สามารถสะท้อนภาพได้สองแบบ เมื่อใดที่เราพบว่าตัวเองกำลังวิจารณ์คนอื่นอย่างรุนแรง ให้หยุดและถามตัวเองว่า “นี่เป็นสิ่งที่ฉันกลัวในตัวเองหรือเปล่า?” บางทีคำตอบนั้นอาจทำให้คุณประหลาดใจ และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาตัวเองที่แท้จริง
การเลิกโยนความรู้สึกในทางลบไม่ได้ทำให้เราอ่อนแอลง แต่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น เพราะความกล้าหาญที่แท้จริงอยู่ที่การกล้าเผชิญหน้ากับความจริงในตัวเรา ไม่ใช่การหลบซ่อนมันด้วยการโจมตีคนอื่น
เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Pexels
อ้างอิง:
"Projection." Psychology Today, Sussex Publishers, https://www.psychologytoday.com/us/basics/projection. Accessed 5 Mar. 2025.
Cherry, Kendra. "What Is a Projection Defense Mechanism?" Verywell Mind, Dotdash Meredith, https://www.verywellmind.com/what-is-a-projection-defense-mechanism-5194898. Accessed 5 Mar. 2025.
"Projection (Psychology)." Britannica, Encyclopaedia Britannica, https://www.britannica.com/science/projection-psychology. Accessed 5 Mar. 2025.