26 มี.ค. 2564 | 13:52 น.
ถ้ายังหายใจ เราคงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของอากาศบริสุทธิ์รอบตัว ถ้ายังไม่กระหาย เราคงไม่นึกถึงความสดชื่นของน้ำสะอาด ถ้ายังไม่หิว เราคงไม่คิดถึงความอร่อยของอาหาร และถ้ายังมีแสงสว่างส่องในยามค่ำคืน มีสมาร์ทโฟนพร้อมสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้ใช้งานตลอดเวลา เราคงไม่รู้สึกถึงความสำคัญของพลังงาน โลกปัจจุบันที่หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตมีเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้อง พลังงานเลยกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญไม่แพ้ อากาศ น้ำ หรือว่าอาหาร นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ สิงห์ เอสเตท ได้เข้าไปลงทุนในโรงงานผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่ง เพื่อเสริมความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับกลุ่มธุรกิจในเครือ “เราได้สิทธิ์ซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า ด้วยเงื่อนไขที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง ถือเป็นหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้สิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผลิตกระแสไฟฟ้า และให้บริการด้านวิศวกรรมอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย พร้อมกับขยายธุรกิจของเราให้ใหญ่ขึ้นสามเท่าในเวลาสามปี” จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท ได้กล่าวถึงความคืบหน้าในการได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม ขนาดใหญ่ 3 แห่ง การซื้อหุ้นในครั้งนี้จะช่วยสร้างธุรกิจ สิงห์ เอสเตท ให้เติบโตอย่างมั่นคง ให้ผลตอบแทนที่แน่นอนสม่ำเสมอ พร้อมกับการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน จากการใช้ประโยชน์ของการผนึกกำลังกันใน 4 กลุ่มธุรกิจของ สิงห์ เอสเตท ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม โดยกลุ่มธุรกิจที่ 4 คือ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจบริการนวัตกรรมอื่น ๆ จะเป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มและส่งเสริมซึ่งกันและกันกับธุรกิจอื่น ๆ ของสิงห์ เอสเตท โดย บมจ. สิงห์ เอสเตท (S) ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการเข้าซื้อหุ้นสามัญ 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม (Co-generation power plant) ขนาดใหญ่ จำนวน 3 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกัน 400 เมกะวัตต์ โดยเป็นสิทธิ์ซื้อที่ราคาพาร์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท สำหรับแห่งแรกนั้น เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วม ของบริษัท อ่างทอง เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง โดยดำเนินการผลิตอยู่แล้ว ด้วยกำลังการผลิตอยู่ที่ 123 เมกะวัตต์ ส่วนแห่งที่สองและสาม เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง มีบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด เป็นเจ้าของใบอนุญาต ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2566 โดยจะมีกำลังการผลิตอยู่ที่โรงงานละ 140 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ การเข้าซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งสามแห่งจะเริ่มขึ้นเมื่อได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ บมจ. สิงห์ เอสเตท ซึ่งมีกำหนดจัดการประชุมสามัญประจำปีในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2564 ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท ยังย้ำอีกว่า “การได้สิทธิ์ซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเงื่อนไขที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง จะทำให้สิงห์ เอสเตท มีโอกาสก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผลิตกระแสไฟฟ้า และให้บริการด้านวิศวกรรมอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าขยายธุรกิจของเราให้ใหญ่ขึ้นสามเท่า เป็นบริษัทที่มีรายได้ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลาสามปี” การเดินหน้าในธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้านี้ เป็นหนึ่งในก้าวที่สำคัญของ สิงห์ เอสเตท ที่ได้ประกาศว่า ปี พ.ศ. 2564 จะเป็นปีที่สำคัญในการก้าวเข้าสู่เฟสต่อไปของการพัฒนาธุรกิจ จากการรุกสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ที่จะมาส่งเสริมซึ่งกันและกันกับ 3 กลุ่มธุรกิจที่เป็นแกนหลักแต่เดิม ที่ใช้ประโยชน์จากการผนึกกำลังกันของ 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท มาเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน