02 พ.ค. 2566 | 15:07 น.
ทำความรู้จัก ‘ชาร์ลส ซิโมนี’ ผู้ให้กำเนิด Microsoft Word และ Microsoft Excel สองโปรแกรมที่ช่วยให้การทำงานของผู้คนง่ายขึ้น ซึ่งแม้เทคโนโลยีจะพัฒนาไปแค่ไหน ก็ยังเป็นมีความสำคัญสำหรับคนทั่วโลก
- ‘ชาร์ลส ซิโมนี’ เป็นผู้คิดค้นโปรแกรม Microsoft Word และ Microsoft Excel
- เขาเกิดที่เมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ก่อนจะย้ายถิ่นฐานมาสหรัฐอเมริกาในปี 1966
- ในปี 1981 ชาร์ลสได้มาทำงานที่ Microsoft และสร้างโปรแกรมที่ปฏิวัติทำงานของผู้คนทั่วโลก
แม้ตอนนี้เราจะมีโปรแกรม AI เกิดใหม่ (เช่น ChatGPT และ Midjourney) ที่ทุ่นแรงการทำงานไปได้มาก แต่เชื่อเลยว่า Microsoft Word และ Microsoft Excel ยังคงเป็นเครื่องมือที่คนทำงานแทบทุกคนใช้งานอยู่อย่างแพร่หลาย
เราแทบจินตนาการไม่ออกว่าถ้าไม่มีสองตัวนี้แล้ว…พวกเราจะทำงานกันอย่างไร? และเราอาจรู้สึกขอบคุณถึงการมีอยู่ของสองโปรแกรมนี้ แต่คนที่เราต้องขอบคุณยิ่งกว่าคือผู้ให้กำเนิดมัน และคนคนดีนั้นคือ ‘ชาร์ลส ซิโมนี’ (Charles Simonyi)
เรียนรู้แต่เด็ก
ชาร์ลส ซิโมนี เกิดที่เมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เมื่อปี 1948 ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่บ้านเมืองเพิ่งเริ่มฟื้นฟูประเทศ ซึ่งสำนวน ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ เอามาใช้กับเขาได้โดยตรง เพราะพ่อของเขาเป็นศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า (Electrical engineering) ที่ได้รับรางวัลมากมายและสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยบูดาเปสต์ อีกทั้งยังเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องเร่งอนุภาคนิวเคลียร์ (Nuclear particle accelerator) แห่งแรกให้กับฮังการี
แต่ชาร์ลสไม่ได้ใช้ชีวิตแบบอภิสิทธิ์ชน โดยขณะเป็นวัยรุ่นเรียนอยู่ชั้นมัธยม เขาต้องทำงานพาร์ตไทม์กะดึกเป็นคนเฝ้าห้องแล็บคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เขาคุ้นเคยกับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ และรู้สึกเริ่มหลงใหลนับแต่นั้นมา
เขาใช้ความเป็นเด็กสงสัยใคร่รู้ตระเวนสอบถามเรื่องโน้นเรื่องนี้กับพี่ ๆ วิศวกรในห้องแล็บ นับว่านี่เป็น ‘โอกาสการเรียนรู้’ อันยิ่งใหญ่ เพราะเขาได้เรียนรู้ซึมซับจากวิศวกรชั้นนำโดยตรง ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเขาเรียนจบชั้นมัธยม ชาร์ลสจะสามารถพัฒนาคอมพิวเตอร์เป็นด้วยตัวเองแล้ว
สู่ดินแดนเสรีภาพและเริ่มงานแรกในชีวิต
แต่ฮังการีในตอนนั้นกลับมีโอกาสที่จำกัดในด้านเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์อยู่มากเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาที่เริ่มส่งสัญญาณเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ดังนั้นในปี 1966 เมื่ออายุได้ 18 ปี ชาร์ลสตัดสินใจย้ายประเทศไปยังดินแดนเสรีภาพที่เปิดโอกาสมากกว่า เขาทิ้งชีวิตภูมิหลังไว้บ้านเกิด แต่ความเป็นเด็กหัวดีตามติดชีวิตเขามาด้วย
เขาเข้าเรียนและจบจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สาขาวิชาคณิตศาสตร์วิศวกรรม (Engineering mathematics) ก่อนไปเรียนต่อและจบปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer science) ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
เมื่อเรียนจบสวมสถานะเป็นดอกเตอร์ เขาเริ่มทำงานแรกในปี 1972 โดยเป็นงานด้านการวิจัยที่ Xerox Palo Alto Research Center (ส่วนหนึ่งของบริษัทซีร็อกซ์) ศูนย์วิจัยนี้ทำหน้าที่คอยคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่นำมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้
และชาร์ลสได้ ‘ฉายแวว’ โดยเขาสามารถคิดค้นโปรแกรมแก้ไขข้อความ (Text editor) ที่ชื่อว่า ‘WYSIWYG’ ย่อมาจาก what you see is what you get (สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือสิ่งที่คุณได้รับ) หมายความว่า ตัวหนังสือที่ผู้ใช้งานเห็นบนหน้าจอ จะเป็นเวอร์ชันสุดท้ายที่ปรินต์ออกมาโดยไม่ต้องลงมือกดหรือทำอะไรอีกแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้วในยุคที่น้อยคนจะครอบครองคอมพิวเตอร์สักเครื่องได้ สิ่งที่ชาร์ลสออกแบบเป็น ‘นวัตกรรมทางเทคโนโลยี’ เลยทีเดียว ซึ่ง WYSIWYG ยังเชื่อมโยงถึงธุรกิจหลักของบริษัทซีร็อกซ์อย่างเครื่องถ่ายเอกสาร สามารถนำมาใช้ร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ และเพิ่มยอดขายให้บริษัทได้
ดูเหมือนว่าอนาคตของเขาที่ Xerox จะไปได้ไกล? แต่แล้ว…นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชาร์ลสมองเห็นสำหรับการสร้างนวัตกรรมที่จะปฏิวัติการทำงานของผู้คนได้ในระดับโลก เพราะด้วยสภาพแวดล้อมการทำงาน เพื่อนร่วมทีมที่มีความฝันเดียวกัน รวมถึงวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กร
จากประสบการณ์ที่ทำงานมา…ชาร์ลสพบว่า Xerox ยังไม่ใช่
แต่เมื่อได้มาพบกับบิล เกตส์ (Bill Gates) ที่อยู่ในแวดวงเทคโนโลยีเดียวกัน จากการเห็นผลงานและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทำให้ชาร์ลสคิดว่า สิ่งที่เขาคิดจะเกิดขึ้นได้ที่ Microsoft Corporation จึงตัดสินใจย้ายงานไปร่วมทีมด้วยในปี 1981 (ชาร์ลสได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองอเมริกันในปี 1982)
และนี่เองเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ เพราะในเวลาต่อมา ชาร์ลสจะคิดค้นโปรแกรมที่เราเรียกกันว่า Microsoft Word และ Microsoft Excel
กำเนิด Microsoft Word
ด้วยทรัพยากรและวิสัยทัศน์ที่ตรงกันมากกว่าเดิม ชาร์ลสสามารถสร้างคุณูปการได้มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ‘โฟกัส’ ของเขายังคงเป็นด้านแก้ไขข้อความอยู่ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เขาตั้งชื่อให้มันว่า ‘Microsoft Word’ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ครอบคลุมจักรวาลด้านงานพิมพ์งานเขียนไว้แทบจะครบทุกอย่างแล้วก็ว่าได้
อาจกล่าวได้ว่า เขานำผลงานเดิมอย่างโปรแกรมแก้ไขข้อความ WYSIWYG มาอัปเกรดให้แอดวานซ์กว่าเดิม และจะว่าไปแล้วตอนนั้นยังมีโปรแกรมใกล้เคียงในตลาดอย่าง Lotus123 และ CU Word ชาร์ลสอาจจะนำมาต่อยอด ลบจุดอ่อน เสริมจุดแข็ง ปรับแต่งให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นจนสามารถมา ‘แทนที่’ โปรแกรมเดิม ๆ ให้ล้มหายตายจากไปเลยทีเดียว
โปรแกรมนี้อำนวยความสะดวกในการทำงานด้านตัวอักษรได้มหาศาล ตัวอย่างเช่น หนังสือเล่มที่วางขายตามร้านหนังสือ เรียกได้ว่าในเวลาต่อมา Microsoft Word อยู่เบื้องหลังของหนังสือเล่มแทบทุกเล่มบนโลกใบนี้ก็ว่าได้ สามารถทดแทนการ ‘เขียน’ ของนักเขียนได้ด้วยการ ‘พิมพ์’ (แม้นักเขียนจะยังใช้คำว่า ‘เขียน’ อยู่ก็ตาม)
ไม่ต่างจากการถ่ายรูปที่ยุคสมัยก่อน เรายังไม่สามารถเห็นรูปที่ถ่าย ณ ตอนนั้นแบบเรียลไทม์แต่ต้องนำไปล้างรูปเสียก่อน บริบทพิมพ์งานเอกสารในคอมพิวเตอร์ยุคแรกก็เช่นกัน ยังไม่สามารถเห็นสิ่งที่พิมพ์ตรงหน้าได้ทันที ดังนั้นผลงานของชาร์ลสจึงเป็นอะไรที่มหัศจรรย์ไม่น้อย
Microsoft Excel อีกผลงานโบแดง
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายลักษณะการทำงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานเขียนหรือการพิมพ์ Microsoft Word จึงอาจไม่ได้สร้างผลกระทบหรือน่าดึงดูดมากพอ
ชาร์ลสรู้ข้อนี้ดี และได้คิดค้นโปรแกรมที่กลายมาเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่ถึงขั้น ‘ปฏิวัติการทำงาน’ ในระดับโลกได้อย่างแท้จริง จนน้อยบริษัทนักที่จะหลีกเลี่ยงไม่ใช้มัน โปรแกรมนั้นคือ ‘Microsoft Excel’
เป็นตารางที่ผู้ใช้งานสามารถใส่ตัวเลข ใส่สูตรคำนวณ จัดระเบียบข้อมูล แบ่งประเภทข้อมูล แปลงข้อมูลเป็นรูปภาพให้เข้าใจง่าย ครอบคลุมบริษัทในแทบทุกอุตสาหกรรมเลยก็ว่าได้ ซึ่งบริษัทสามารถประยุกต์ไปใช้ทำรายงาน ทำบัญชี วิเคราะห์เชิงสถิติ วางแผนการตลาด บริหารโปรเจกต์ และอีกมากมายนับไม่ถ้วน
Microsoft Excel ถูกเปรียบเปรยเหมือนสมองมนุษย์ที่คนทั่วไปใช้งานมันได้ไม่ถึง 10% เลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับ Microsoft Excel เช่นกัน เพราะอันที่จริงมันยังมีกลไกการใช้งานที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่น เราสามารถเขียนชุดโปรแกรม VBA ให้นำไฟล์เอกสารธรรมดามากรอกตัวเลขลง Excel แล้วดึงตัวเลขไปเก็บลงฐานข้อมูล (Database) ก่อนดึงข้อมูลที่ได้จากการประมวลผลในฐานข้อมูลนี้ กลับมาทำเป็นรายงานในรูปแบบตารางหรือกราฟต่อได้
ถ้า ‘ยาสามัญประจำบ้าน’ เป็นยาที่ทุกบ้านทุกครัวเรือนต้องมี Word & Excel ก็น่าจะเป็น ‘โปรแกรมสามัญประจำออฟฟิศ’ ที่ทุกออฟฟิศทุกบริษัทจำเป็นต้องมีไว้ (ส่วนจะใช้มากใช้น้อยค่อยว่ากันอีกที)
‘ปฏิวัติการทำงาน’ ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง เพราะมีการประเมินว่าในปัจจุบัน ผู้คนกว่า 1,400 ล้านคนทั่วโลกใช้งาน Mirosoft Word และ Excel เป็นประจำไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ในเวลาต่อมา Word & Excel รวมอยู่ในชุดซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า Microsoft 365 ซึ่งกลายมาเป็นรายได้หลักคิดเป็นกว่า 30% ของทั้งบริษัทในปัจจุบันเลยทีเดียว ในเวลาภายหลัง โปรแกรมประสบความสำเร็จถึงขั้นคู่แข่งต้องพัฒนาออกมา ‘ชน’ กันตรง ๆ เช่น
ความสำเร็จจาก Word & Excel ยกระดับให้ชาร์ลสเสมือนกลายเป็นปูชนียบุคคล เป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับปรมาจารย์ขององค์กรโดยปริยาย และได้รับความเคารพยกย่องจากคนในวงการ
กว่าสองทศวรรษที่อยู่ใน Microsoft ก็มาถึงจุดที่เขาอยากตามฝันตัวเอง ชาร์ลสตัดสินใจลาออกไปตั้งบริษัทสตาร์ทอัพของตัวเองในปี 2002 ชื่อว่า ‘Intentional Software’ แต่ก็ถูกบิล เกตส์ตามตื๊อโน้มน้าวให้กลับมา จนในที่สุดบิล เกตส์เข้าซื้อกิจการทั้งหมดของชาร์ลสในปี 2017 ทำให้ชาร์ลสต้องกลับมาอยู่ภายใต้บริษัทแม่ร่มเงาเดิมที่เคยจากไป
ทุกวันนี้ เขายังผันตัวเป็นนักการกุศลที่บริจาคและทำการช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และการศึกษา รวมถึงความหลงใหลในห้วงอวกาศ โดยถูกจัดรายชื่อเป็นนักท่องเที่ยวอวกาศคนแรก ๆ ในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ และปัจจุบัน ชาร์ลสมีความมั่งคั่งกว่า 200,000 ล้านบาท
.
ภาพ : Getty Images
.
อ้างอิง
.