อองรี เนสท์เล่ ผู้ก่อตั้ง Nestlé เพราะอยากช่วยชีวิตเด็กทารก และเป็นที่มาของโลโก้แบรนด์

อองรี เนสท์เล่ ผู้ก่อตั้ง Nestlé เพราะอยากช่วยชีวิตเด็กทารก และเป็นที่มาของโลโก้แบรนด์

‘เนสท์เล่’ (Nestlé) เป็นยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคของโลกที่มีสินค้าครอบคลุมการใช้ชีวิตประจำวันของคนเรา ซึ่งบริษัทนี้มี ‘อองรี เนสท์เล่’ (Henri Nestlé) เป็นผู้ก่อตั้ง

  • ‘เนสท์เล่’ (Nestlé) เป็นยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคของโลก 
  • บริษัทนี้มี ‘อองรี เนสท์เล่’ เป็นผู้ก่อตั้ง โดยเขาต้องการช่วยชีวิตเด็กทารก

ทุกคนรู้หรือไม่ว่า KitKat ญี่ปุ่นหลากรสชาติของฝากขวัญใจนักท่องเที่ยวไทย หรือ Nespresso เครื่องชงกาแฟตัวทำให้ตื่นยามเช้าของใครหลายคน หรือซอสแม็กกี้ที่เราเหยาะใส่ไข่ดาวบนข้าวกะเพราหมูสับในมื้อกลางวัน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ภายใต้ ‘เนสท์เล่’ (Nestlé) ทั้งสิ้น!

มาถึงตรงนี้เราพอตระหนักได้แล้วว่า นี่คือบริษัทที่ทำของกินซึ่งสอดแทรกอยู่ทุกอณูในชีวิตประจำวันของพวกเรา โดยผู้ก่อตั้งนั้นก็คือ ‘อองรี เนสท์เล่’ (Henri Nestlé) 

ตระกูลร่ำรวย

อองรี เนสท์เล่ เกิดเมื่อปี 1814 ที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เขาคือลูกคนที่ 11 จากพี่น้องทั้งหมด 14 คน พ่อแม่ของเขาได้รับมรดกตกทอดและเป็นผู้สานต่อธุรกิจครอบครัวที่ทำด้านกระจกซึ่งส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น 

ใช่แล้ว ตระกูลเขาร่ำรวยมีฐานะ ทำให้ชีวิตวัยเด็กของเขามีความเป็นอยู่ที่ดี และนั่นเองที่อาจทำให้เขาสัมผัสถึงความ ‘เหลื่อมล้ำ’ ระหว่างเด็กที่โชคดีมีโอกาสแบบเขากับเด็กคนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่า และน่าจะบ่มเพาะสปิริตการเอาใจเขามาใส่ใจเราที่ต่อยอดไปสู่การช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเขาจะได้ทำแน่ในสเกลที่ใหญ่เกินกว่าที่คิดในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า

ในยุคสมัยนั้น เคมีศาสตร์ (Chemistry) ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย หลายแห่งยังไม่ให้การยอมรับว่าคือวิทยาศาสตร์เลยด้วยซ้ำ ไม่มีการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยอย่างเป็นระบบ อองรี เนสท์เล่ ต้องขวนขวายร่ำเรียนเองทั้งจากหาความรู้เอง สอบถามคนอื่น และลงมือปฏิบัติเอง

เขาสำเร็จการฝึกงาน (Apprenticeship) ด้านเภสัชศาสตร์เมื่อปี 1833 และเป็นผู้ช่วยเภสัชกร (Pharmacist’s Assistant) ได้สำเร็จในปี 1839 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาย้ายถิ่นฐานมาที่เมืองเวอแว (Vevey) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

การย้ายมาสวิตเซอร์แลนด์น่าจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดี? น่าเสียดาย มันเป็นการเริ่มใหม่ที่ไร้เงาผู้เป็นพ่อและแม่ เพราะทั้งสองได้จากไปในช่วงเวลานี้ ปล่อยให้อองรี เนสท์เล่ในวัย 25 ปีต้องใช้ชีวิตต่อไป

สู่เส้นทางนวัตกรรม

อองรี เนสท์เล่ จึงใช้เวลาที่สวิตเซอร์แลนด์นี้ในการฝึกฝนศาสตร์ด้านเคมีภัณฑ์ต่อไป และหาวิธีนำองค์ความรู้เหล่านี้เพื่อเปลี่ยนมาเป็นผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันให้ได้

อีกจุดเปลี่ยนชีวิตก็เกิดขึ้นที่นี่เช่นกัน เพราะหลังจากนั้นเขาได้รับสิทธิ์การทดลองทางเคมีและการวางจำหน่ายยา ผลลัพธ์จากการฝึกฝนอยู่นาน หลังจากนั้น เขาเริ่มทดลองขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อยู่มากมาย เช่น ปุ๋ยแบบกระดูกป่น, น้ำส้มสายชู, ตะกั่วขาว, มัสตาร์ด, น้ำมะนาว, น้ำแร่, ไปจนถึงปูนซีเมนต์ 

แม้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จถึงขนาดทำให้เขาร่ำรวยหรือเปลี่ยนชีวิตผู้คน แต่มันช่วยขัดเกลาองค์ความรู้เขาให้ลับคมยิ่งขึ้น

ผู้ประกอบการรุ่นเดอะ

เรามักได้ยินว่า การสร้างธุรกิจและเป็นผู้ประกอบการนั้น เราควรทำแต่เนิ่น ๆ ตอนอายุยังน้อย แต่อองรี เนสท์เล่พิสูจน์แล้วว่าไม่จำเป็นเสมอไป เพราะในวันที่ตั้งบริษัทเขาคือผู้ใหญ่ในวัยเข้าเลข 5 ไปแล้ว โดยบริษัท Nestlé ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1866

นอกจากการใช้นามสกุลมาตั้งชื่อแบรนด์จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติปกติแล้ว นามสกุลของเขายังมีความหมายว่า ‘รังนกเล็ก ๆ’ ซึ่งให้ความหมายและความรู้สึกที่อบอุ่น ความรัก ความเมตตา โลโก้แบรนด์ของ Nestlé จึงเลือกเป็นภาพของแม่นกที่กำลังป้อนอาหารให้ลูกน้อยในรังนั่นเอง (สื่อถึงสายใยระหว่างแม่กับลูกด้วย)

แม้เขาเข้าวัยผู้ใหญ่ไปแล้ว และสิ่งต่าง ๆ ที่คิดค้นมาไม่ได้ทำให้เขาร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จโด่งดัง แต่เขาก็ยังไม่ย่อท้อต่อการคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนชีวิตผู้คนให้ได้

ช่วยชีวิตเด็ก ๆ

อองรี เนสท์เล่ ไม่มีลูก เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพของภรรยาที่ให้กำเนิดลูกไม่ได้ จริงอยู่ พวกเขาอาจไม่เคยสัมผัสการสูญเสียเด็ก แต่พวกเขาก็ทราบดีว่า ยังมีเด็กทารกที่เกิดมาแล้วต้องจากไปเพราะขาดสารอาหารที่ดีครบถ้วนตามหลักโภชนาการ การสูญเสียเด็กทารกลูกรักเป็นสิ่งที่โศกเศร้าเกินจินตนาการสำหรับพ่อแม่คนหนึ่ง 

อองรี เนสท์เล่ จึงอยากช่วยยุติโศกนาฏกรรมนี้

เราต้องเข้าใจก่อนว่าร้อยกว่าปีที่แล้วนั้น การให้นมลูกเป็นสิ่งที่แม่ยุคนั้นไม่ค่อยให้ความสำคัญ ยังไม่มีความรู้ และถึงขั้นมองว่าผิดกาลเทศะในสังคมภายนอก แถมอาหารดี ๆ สำหรับเด็กทารกก็แทบไม่มีในท้องตลาด ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตของเด็กทารกเพิ่มขึ้นไปอีก

‘ช่วยชีวิต’ ใครบางคน ไม่ใช่แค่ชีวิตของเด็กน้อยเท่านั้น แต่หมายถึงชีวิตของผู้เป็นพ่อแม่ด้วยที่ไม่ต้องตายทั้งเป็น(ถ้าสูญเสียลูก)

กำเนิดนมผงเด็ก

ในที่สุดหลังรอคอยมาหลายสิบปี อองรี เนสท์เล่ก็คิดค้น ‘นมผงเด็ก’ ขึ้นมาได้สำเร็จในปี 1867! และนิยามมันว่า ‘Infant Cereal’ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวผสมกับน้ำตาลและธัญพืช 

แน่นอนว่ามันกลายเป็นของที่ต้องมีสำหรับคุณแม่มือใหม่และได้ช่วยชีวิตเด็กน้อยนับไม่ถ้วนให้เติบโตมามีโภชนาการที่ครบถ้วนและคุณภาพชีวิตที่ดีได้

ในเชิงการตลาดเขาได้สร้าง ‘สินค้าทดแทน’ (Substitute product) ขึ้นมา แทนที่การให้นมลูกจากเต้านมแม่ธรรมชาติ และเปิดตลาดใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน แน่นอนว่าสินค้านวัตกรรมขนาดนี้ไม่เพียงสร้างความสำเร็จให้เขาในสวิตเซอร์แลนด์ แต่ยังดังไกลไปทั่วทวีปยุโรป

ในเวลาต่อมา เขาได้พัฒนาต่อยอดสินค้าไปอีกขั้น ด้วยการจับมือพาร์ตเนอร์กับนักทำช็อกโกแลต (Chocolatier) อย่าง ‘แดเนียล ปีเตอร์’ (Daniel Peter) เพื่อร่วมคิดค้นนมผงเด็ก 'สูตรช็อกโกแลต' ได้สำเร็จในปี 1875 ที่กินง่ายและอร่อยถูกปากเด็กกว่าเดิม

เท่านั้นยังไม่พอ ความร่วมมือกันนี้นำมาสู่ไลน์สินค้าใหม่แทบทุกประเภทที่มีส่วนผสมของ นมช็อกโกแลต (Milk chocolate) ทั้งแบบช็อกโกแลตแท่ง นม ขนมกินเล่น ของหวานที่พวกเรากินกันอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งในเวลาต่อมาได้สยายปีกให้ Nestlé เป็นหนึ่งในบริษัทขนมขบเคี้ยว (Confectionery) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในศตวรรษหน้า

จริงอยู่ แม้ว่ายุคสมัยของอองรี เนสท์เล่ เขาไม่มีโอกาสได้เห็นบริษัท Nestlé เติบใหญ่เป็นบริษัทอาณาจักรโภชนาการที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกที่มียอดขายนับล้านล้านบาท พร้อมแบรนด์ย่อยในเครือกว่า 2,000 แบรนด์ (ไมโล เนสกาแฟ ซอสแม็กกี้ เนสเพรสโซ่ คิทแคท มีแม้กระทั่งอาหารสัตว์) 

การเติบโตเหล่านี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 หลังเขาได้จากไปแล้ว แต่เขาทำหน้าที่วางรากฐานสินค้าชูโรงที่ประสบความสำเร็จที่สุดให้กับ Nestlé เป็นเสมือน ‘จุดเริ่มต้นของจุดเริ่มต้น’ ที่ต่อยอดให้บริษัทเติบใหญ่ได้ต่อไปในอีกศตวรรษหน้า ซึ่งทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นอันแสนบริสุทธิ์อย่างการอยากช่วยชีวิตเด็กทารก

.

ภาพ : เนสท์เล่

.

อ้างอิง 

.

Nestlé

houseofswitzerland

snackhistory