05 ก.ย. 2566 | 15:03 น.
- J. Willard Marriott เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน 1900 โดยเกิดในครอบครัวคนเลี้ยงแกะที่ยากจน
- ก่อนจะก่อตั้งเครือ Marriott เขาทำงานเป็นคนขายชุดชั้นในที่ทำจากผ้าคนสัตว์ และเปิดร้านรูตเบียร์ A&W
ครอบครัวคนเลี้ยงแกะ
J. Willard Marriott เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน 1900 ณ รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา โดยเขาเกิดในครอบครัวคนเลี้ยงแกะที่ยากจนและต้องช่วยที่บ้านทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย
เมื่ออายุ 13 ปีเขาเริ่มต้นเข้าสู่ธุรกิจของตัวเองด้วยการปลูกผักกาดหอมแล้วนำขายได้เงินมา 2,000 ดอลลาร์ ทำให้ปีต่อมาพ่อของเขาไว้ใจให้นำฝูงแกะ 3,000 ตัวขึ้นรถไฟไปขายยังซานฟรานซิสโก และด้วยฐานะครอบครัวที่ไม่สู้ดีนัก ต่อมาพ่อขอให้เขาออกจากโรงเรียนเพื่อช่วยครอบครัวทำงานอย่างจริงจัง
ชีวิตของ J. Willard Marriott ยังคงดำเนินอยู่ในฟาร์มปศุสัตว์ไปเรื่อย ๆ กระทั่งอายุ 19 ปี ด้วยการที่นับถือคริสจักรนิกายมอร์มอน เขาจึงต้องไปเป็นมิชชันนารีเผยแพร่ศาสนาที่นิวอิงแลนด์จนถึงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นเวลา 2 ปี
เมื่อเดินทางไปถึงวอชิงตัน ดี.ซี. ช่วงนั้นเป็นฤดูร้อนพอดี J. Willard Marriott คิดว่า หากสามารถหาเครื่องดื่มที่เย็นสดชื่นมาขายคงจะสร้างรายได้ดีไม่น้อย บวกกับเขาได้เห็นความนิยมของร้านขายรูตเบียร์ A&W จึงมีความคิดอยากจะลงทุนเปิดร้านนี้
ทว่าความคิดนั้นต้องหยุดชะงักไป เพราะเมื่อเขาเดินทางกลับบ้านเกิดก็พบว่า ครอบครัวของตัวเองล้มละลายจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ราคาแกะดิ่งลงจนแทบไม่มีราคา
เริ่มเดินตามฝัน
จากสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ J. Willard Marriott ต้องการมีอนาคตที่ดีขึ้นและหลุดพ้นจากความยากจน เขามองว่า หากอยากทำให้สำเร็จการศึกษาถือเป็นสิ่งจำเป็น จึงตัดสินใจกลับไปเรียนระดับมัธยมศึกษาอีกครั้งที่ Weber State College โดยได้รับความช่วยเหลือจากครูที่เคยสอนเขาช่วยให้เขาได้สอนวิชาเกี่ยวกับศาสนา เพื่อนำเงินไปจ่ายค่าเทอม
จากนั้น J. Willard Marriott เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ ซึ่งเขายังทำงานแบบไม่เกี่ยง โดยขายชุดชั้นในที่ทำด้วยผ้าขนสัตว์ให้กับคนตัดไม้ใน Pacific Northwest เพื่อหาเงินมาส่งเสียตัวเองเรียนให้จบ และปีสุดท้ายของการเรียนที่นี้ร้านรูตเบียร์ A&W ก็ได้มาเปิดใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัยของเขา ซึ่งได้รับความนิยมมีคนต่อคิวยาวเหมือนกับที่เขาเคยเห็นที่วอชิงตัน ดี.ซี.ตอนเป็นมิชชันนารี
ในปี 1926 J. Willard Marriott จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและได้แต่งงานกับ Alice Sheets ทั้งคู่ตัดสินใจทำธุรกิจร่วมกัน แน่นอนเขาอยากทำตามความฝันของตัวเอง นั่นคือ การขายเครื่องดื่มดับร้อน โดยใช้เงินเก็บของเขา 1,500 ดอลลาร์บวกกับเงินกู้ 1,500 ดอลลาร์ เพื่อลงทุนเปิดแฟรนไชส์ของ A&W และก็ได้รับผลตอบรับดีตามที่คาดไว้
แต่สิ่งหนึ่งที่เขาลืมนึกถึงไป คือ น้ำอัดลมไม่ได้ขายดีในทุกฤดูกาล เพราะเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวยอดขายรูตเบียร์ได้ลดลงอย่างชัดเจน สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น Alice ภรรยาของเขาได้เสนอให้เพิ่มบริการขายอาหารภายในร้าน เพื่อให้เกิดความหลากหลาย และไม่ต้องพึ่งรายได้จากการขายรูตเบียร์เพียงอย่างเดียว ซึ่งเขาเห็นด้วยกับไอเดียนี้ และรีบไปนำเสนอกับทาง A&W และได้รับอนุญาต
เมื่อได้รับไฟเขียวจากเจ้าของสิทธิ์ ทั้งคู่ได้เปิดร้านอาหารแห่งแรกของตัวเองขึ้นภายใต้ชื่อ Hot Shoppes ขายอาหารเม็กซิกัน แซนวิช บาร์บีคิว และรูตเบียร์ A&W ซึ่ง J. Willard Marriott พยายามหาวิธีทางการตลาดใหม่ ๆ เพื่อให้ร้านเป็นที่รู้จักและมียอดขายดี ไม่ว่าจะแจกคูปองรูตเบียร์ฟรีตามมุมถนนหรือจำหน่ายอาหารคุณภาพในราคาถูก
เพียงปีเดียว Hot Shoppes ก็สามารถเปิดสาขาเพิ่มได้อีก 2 แห่ง และแม้ธุรกิจจะเติบโตได้รวดเร็ว แต่เขายังพยายามมองหาการพัฒนาและปรับปรุงธุรกิจอยู่เสมอ โดยได้ซื้อที่ดินเปล่าใกล้กับสาขาของ Hot Shoppes แห่งหนึ่ง แล้วปรับปรุงให้สาขานั้นกลายเป็นร้านอาหารแบบ Drive-in และได้รับผลตอบรับดีเกินคาด จนปรับร้านที่เหลือให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน
ปี 1932 Hot Shoppe มีสาขาทั้งหมด 7 สาขา และในปี 1937 ได้เปิดสาขาที่ 8 อยู่ใกล้สนามบิน ซึ่งสาขานี้ J. Willard Marriott สังเกตเห็นว่า ผู้โดยสารของสายการบินต่าง ๆ จะแวะมาที่ร้านเพื่อซื้ออาหารกล่องไปรับประทานบนเครื่อง ทำให้เขาเกิดไอเดียเปิดบริการสั่งอาหารกล่องล่วงหน้าให้กับสายการบิน
ต่อมาในปี 1942 Hot Shoppes ได้ขยายเป็น 24 สาขา และขณะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองแม้จะส่งผลให้ Hot Shoppe มีรายได้ลดลง แต่ก็ได้สร้างโอกาสใหม่ให้กับ J. Willard Marriott เช่นเดียวกัน โดยเขาหันไปเปิดให้บริการอาหารในสำนักงานของรัฐบาลและฐานทัพแทน
“ความสำเร็จมักเชื่อมโยงกับการลงมือทำ คนที่ประสบความสำเร็จพวกเขามักก้าวไปข้างหน้า แม้ทำผิดพลาดแต่ไม่เคยล้มเลิก” เป็นสิ่งที่ J. Willard Marriott ยึดถือในการทำงานเสมอ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง กิจการของเขากลับมาเติบโตอีกครั้ง และหลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในธุรกิจอาหารมายาวนาน 30 ปี J. Willard Marriott ได้ตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในอาชีพของเขา นั่นคือ การเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม เพราะเขาเชื่อว่า ในอนาคตผู้คนจะเดินทางมากขึ้น ในปี 1952 เขาจึงได้เปิด Motel แห่งแรกของตัวเองในชื่อว่า The Twin Bridges ตั้งอยู่ใกล้กับ Washington National Airport และความเชื่อของเขาก็ถูกต้อง เพราะผู้คนมีการเดินทางกันเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เขาขยายธุรกิจนี้ไปเรื่อย ๆ
หลังจากทำงานอย่างหนักมากว่า 35 ปี ในปี 1963 Marriott เริ่มให้ลูกชายอย่าง J.W. Bill Marriott, Jr. หรือ Bill เข้ามาช่วยบริหาร และปีถัดมา Marriott ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Marriott Hot Shoppes Inc. พร้อมกับแต่งตั้ง Bill ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท ขณะที่เขายังนั่งในตำแหน่งซีอีโอ
ในปี 1967 บริษัทได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น Marriott Corp. ก่อนจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเมื่อปี 1968
ปี 1972 Bill ได้มารับช่วงต่อจากพ่อของเขาในตำแหน่งซีอีโอ ซึ่งตลอดทศวรรษ 1970-1980 Marriott Corp. ได้ขยายธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ J. Willard Marriott ได้เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 1985
แม้ผู้ก่อตั้งจะจากไป แต่ Bill ก็สานต่อการสร้างอาณาจักรที่พ่อเป็นผู้เริ่มต้นให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก โดยปี 1993 เขาได้แบ่งการบริหารของ Marriott Corp. ออกเป็น Marriott International ดูแลในส่วนของธุรกิจที่รับบริหารโรงแรมกับระบบแฟรนไชส์ และ Host Hotels and Resorts ดูแลบริหารในส่วนของธุรกิจโรงแรมที่ทางเครือ Marriott เป็นเจ้าของเอง
รวมถึงเร่งการเติบโตด้วยการเข้าควบรวมกิจการโรงแรมหลายแห่ง เช่นปี 1995 ได้เข้าไปถือหุ้น 49% ในโรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตันและไม่กี่ปีต่อมาก็เปลี่ยนจากการถือหุ้นเป็นเข้าซื้อกิจการ หรือในปี 2016 ได้เข้าซื้อกิจการ Starwood Hotels and Resorts เจ้าของแบรนด์โรงแรมดังมากมายอาทิ เชอราตัน, เซนส์รีจิส ฯลฯ
ปัจจุบัน Marriott เป็นหนึ่งในเครือโรงแรมยักษ์ใหญ่ของโลกที่มีโรงแรมกว่า 30 แบรนด์ รวมกว่า 7,642 แห่ง โดยมีเด็กเลี้ยงแกะที่ครอบครัวล้มละลายซึ่งเชื่อมั่นในการลงมือทำที่ชื่อว่า J. Willard Marriott เป็นผู้เริ่มต้นและวางรากฐานความแข็งแกร่งไว้
.
ภาพ : Marriott.com
.
อ้างอิง
.