15 ม.ค. 2568 | 18:30 น.
“ผมไม่เชื่อเรื่องโชค แต่เชื่อมั่นในทุกสิ่งที่ทำ ถ้าคุณไม่มีความเชื่อมั่นมากพอ ไม่ว่าของดีแค่ไหนมันก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ”
ความเชื่อมั่นในทุกการกระทำคือสิ่งที่ ‘มานิต อุดมคุณธรรม’ ประธานกรรมการ บริษัท แร่เบฟเวอเรจ จำกัด ยกให้เป็นคติสูงสุดในการดำเนินธุรกิจ เขาไม่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะได้มาเพราะ ‘โชค’ แต่เชื่อผลของการกระทำมากกว่าสิ่งอื่นใด
วันนี้เขาทำให้โลกเห็นแล้วว่า ชายที่ชื่อ มานิต ไม่ได้เป็นนักธุรกิจระดับประเทศเพราะโชค แต่เป็นความเพียรพยายามที่ผลักให้เขามายืนอยู่ ณ จุดนี้ จากชีวิตเริ่มจากศูนย์ปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ต้องปั่นจักรยานจากสวนดุสิตมาเยาวราช เพื่อช่วยแม่ขายลอตเตอรีจนหมดแผง วัยเด็กหมดไปกับการทำงาน แต่ไม่เคยรู้สึกเสียดาย เพราะถือว่าเป็นความโชคดีมากกว่าที่ได้สัมผัสความลำบาก โชคดีที่ได้รู้รสชาติของชีวิต และโชคดีที่มีแม่คอยมอบความรักและส่งต่อวิชาความขยันให้เขาเติบใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้
“มันเป็นความโชคดีที่เกิดมาลำบาก เราเลยได้เห็นคุณค่าของชีวิต”
“ดังนั้น สิ่งที่ผมได้รับจากแม่คือความขยันและรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ แม่เป็นคนจีนที่ขยันและใส่ใจครอบครัวมาโดยตลอด ซึ่งผมได้รับสิ่งนี้มาจากแม่ร้อยเปอร์เซ็นต์”
มานิตเป็นเจ้าของธุรกิจครั้งแรกในวัย 15 ปี โดยการสร้าง ‘พีเจยีนส์’ กางเกงยีนส์จากฝีมือคนไทยที่ครองใจคนมาไม่ต่ำกว่าสิบปี เป็นผู้ก่อตั้ง ‘โรบินสัน’ ห้างสรรพสินค้าที่เปลี่ยนไลฟ์สไตล์การช้อปปิ้งของคนไทย และสวมบทผู้บริหาร ‘โฮมโปร’ ธุรกิจค้าปลีกระดับประเทศ มาจนถึง ‘Swan Lake’ คอนโดมิเนียมที่เนรมิตพื้นที่ว่างเปล่าให้มีทั้งที่อยู่อาศัยและต้นไม้กว่า 40,000 ต้นไว้ในที่เดียว ธุรกิจล่าสุดคือ น้ำแร่ ‘6ty Degrees’ (ซิกตี้ ดีกรี) แบรนด์น้ำแร่ที่เริ่มจากความเชื่อว่าอยากให้คนไทยได้ดื่มน้ำคุณภาพในราคาจับต้องได้
“ตอนนั้นมีเจ้าของที่ดินมาเสนอขายที่ดินแปลงหนึ่งที่เชียงดาว ประมาณ 200 กว่าไร่ ซึ่งในความคิดของผมเชียงดาวอาจไม่ใช่สถานที่ที่ได้รับความนิยมเหมือนเชียงราย นักท่องเที่ยวไม่เยอะเท่า ก็เลยลองไปดูที่ดินว่ามีสภาพเป็นอย่างไร”
“สิ่งที่ชอบที่สุดคือ ที่ดินอยู่ติดกับแม่น้ำปิงความยาว 2 กิโลเมตรเห็นจะได้ โอ้โห เหมือนฟ้าประทานให้เรามาเลย พอเดินดูไปเรื่อย ๆ เขาก็บอกว่ามีน้ำพุร้อนด้วย เพราะมีควันลอยขึ้นมาจากแม่น้ำปิง ผมก็เห็นควันลอยจากแม่น้ำอยู่ 3-4 จุด แต่ไม่ได้หวังว่าจะเป็นบ่อน้ำพุร้อนนะ เพราะคิดแค่ว่าเขาคงเอาจุดนี้มาขายเพิ่มมูลค่าให้ที่ดิน”
“ถ้าคิดว่าเป็นน้ำแร่แต่แรก ผมว่าคุณน่าจะบ้ามากกว่า (หัวเราะ)”
จากความคิดทีเล่นทีจริงอยากลองดูว่าควันที่ลอยขึ้นมาจากแม่น้ำ จะเป็นเหมือนอย่างคำโฆษณาหรือเปล่า เขาจึงสำรวจเพิ่มอีกหน่อย กลายเป็นว่ามานิตเจอขุมทรัพย์เข้าให้แล้ว
หลังจากใช้เครื่องมือขุดเจาะอยู่ราว 20-30 หลุม ปรากฏว่าแต่ละพื้นที่มีความร้อนตั้งแต่ 30 ไปจนมากกว่า60 องศาเซลเซียส แต่อุณหภูมิที่ 60 องศาเซลเซียสเป็นอุณหภูมิที่มีแร่ธาตุเยอะและดีที่สุด นี่คือสิ่งที่เขาค้นพบจากการขุดไปยังชั้นใต้ดินที่มีความลึกกว่า 200 เมตร ซึ่งต้องผ่านชั้นหินอายุมากกว่า 350 ล้านปี จนเจอเข้ากับน้ำแร่ธรรมชาติปริมาณมหาศาล
“เราคิดว่าพื้นที่ตรงนี้น่าจะมีประโยชน์ก็เลยเอาน้ำมาทดสอบดู พบว่าน้ำที่มาจากชั้นใต้ดินอุณหภูมิ 60 องศา มีแร่ธาตุถึง 16 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 6 ชนิดที่ปริมาณมาก คือ ซิลิกา โพแทสเซียม อัลคาไลน์ แมกนีเซียม แคลเซียม ไบคาบอร์เน็ต เราเป็นที่แรกเลยที่มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้”
“น้ำแร่ที่ได้จึงมีรสชาติดี ไม่ฝืดคอ เราอยากให้คนไทยได้ดื่มน้ำแร่คุณภาพนี้กับตัวเอง เพราะกว่าจะขนส่งจากเชียงดาวมาถึงกรุงเทพฯ มีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่เราอยากให้คนไทยได้ดื่มของดีราคาประหยัด ถ้าบอกเขาว่านี่คือน้ำแร่จากเชียงดาว แต่เราขอขาย 18 หรือ 20 บาทนะ เขาก็คงมองกันว่าทำไมขายแพงจัง”
“ผมก็คิดเองเออเองนะว่า ทำไมต้องขายแพงด้วย ในเมื่อเราสามารถตั้งราคาที่เหมาะสมได้ แต่ราคาที่เหมาะสมคือเท่าไหร่ ก็ต้องย้อนกลับไปยังจุดแรกเริ่มว่าผมไม่ได้ทำน้ำแร่เพื่อหวังผลกำไร แต่อยากให้คนไทยสามารถดื่มน้ำแร่คุณภาพได้ เพราะฉะนั้นราคาควรอยู่ที่ 12 บาท คิดว่าเป็นราคาที่คนไทยจับต้องได้ นั่นคือสาเหตุที่เราวางขายแค่ 12 บาท”
น้ำแร่จาก 6ty Degrees ได้รับรางวัล Crystal Awards 3 ดาว 3 ปีซ้อน จากสถาบันรับรองด้านรสชาติและคุณภาพอาหารนานาชาติ ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำของโลกเรื่องการทดสอบเครื่องดื่มและอาหารจากประเทศเบลเยี่ยม เพียงเท่านี้ก็มั่นใจได้แล้วว่าน้ำแร่ที่มาจากการค้นพบโดยความบังเอิญ มีรสชาติดีอย่างน่าเหลือเชื่อ แถมยังมีราคาสุดคุ้มค่าอีกด้วย
ร่างกายเมื่ออายุมากขึ้นความแข็งแรงจะลดลง คือสิ่งที่มานิตในวัย 80 เรียนรู้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาหยุดอยู่บ้านเฉย ๆ มานิตยังคงชื่นชอบการออกกำลังกาย เขามักออกไปปั่นจักรยานไม่ต่ำกว่า 40 กิโล ทั่วกรุงเทพฯ เริ่มตั้งแต่สะพานพุทธ ออกไปบางลำพู ไล่ไปถึงเฉลิมไทย เสาชิงช้า ข้ามไปไอคอนสยาม แล้วก็ออกไปตรงสะพานกรุงเทพ พระราม 3 เข้าสาธร กลับมาสวนลุมพินี นี่คือเส้นทางที่ชายในวัยเลยเกษียณใช้เป็นประจำ จึงไม่แปลกที่ร่างกายและใบหน้าของเขายังดูอ่อนเยาว์ราวกับไม่ใช่คนอายุเข้าเลขแปด
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยผ่านมรสุมชีวิตมาก่อน มานิตเคยเป็นสโตรกในวัยสามสิบปลาย ๆ และนั่นทำให้เขาหันมาลงทุนกับสุขภาพมากขึ้นอีกเท่าตัว
“ตอนเป็นสโตรกหมอกำหนดเวลาให้ว่าภายใน 3 เดือนแรกต้องดีขึ้นให้ได้ 75 เปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณทำไม่ได้ก็มีโอกาสที่จะไม่เป็นเหมือนเดิม เวลาต้องทำกายภาพ ผมก็คิดถึงตอนที่ฝึกมาราธอน เพราะแขนขาไม่มีแรง ผมเลยใช้วิธีถ่วงถุงทรายที่ขา ข้างละ 2 ถุง พอจะนอนค่อยถอดออก อันนี้คิดเองนะ หมอไม่ได้สั่ง ผ่านไปหนึ่งเดือน อาการดีขึ้นไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังพยายามเดินให้มากที่สุด อย่างเวลาพยาบาลเอารถเข็นมารับ ผมไม่ยอมนั่ง ฝืนเดิน แล้วคนเป็นอัมพฤกษ์ขาจะเป๋ เพราะไม่มีแรงบิด เราต้องฝืนบิดมันกลับมาให้เดินตรง ฝึกทุกวันจนทำได้ มือขวาที่ไม่มีแรง ก็คิดวิธีเอามือซ้ายประคองมือขวาไว้ข้างใต้ แล้วเอามือจุ่มกระบะทราย ค่อย ๆ ฝึกกำทราย ยกทรายขึ้น ฝึกเป็นเดือน จนมือขวาแข็งแรงขึ้น”
“แต่สิ่งที่ทำให้ผมกลับมาแข็งแรงได้เร็ว คือ การปั่นจักรยาน จากบ้านตรงหลังสวนไปสวนลุมพินี เพราะเป็นเส้นทางที่รถไม่เยอะและใช้ระยะทาง 1 กิโลเมตร ขี่ทุกวัน เห็นผลไวมาก เพราะจักรยานช่วยให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ดี ทำให้นิ้วสามารถขยับได้เหมือนเดิม และจักรยานก็ทำให้ผมหายขาดจากสโตรก ร่างกายคืนกลับมา 99 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน”
“มันเป็นความรู้สึกต้องชนะ นั่นคือความรู้สึกเลย ตราบใดที่เราคิดว่า เราพิการเราจะไม่สู้แล้ว พอใจมันไม่สู้ โอกาสที่เราจะเอาชนะ เอาร่างกายกลับคืนมาก็เป็นไปไม่ได้”
เมื่อถามว่ามานิตมีความกลัวขึ้นมาในใจบ้างไหม กลัวไหมว่าการป่วยเป็นสโตรกจะเปลี่ยนชีวิตเขาไปเป็นอีกแบบ ชายตรงหน้าตอบทันทีว่า กลัวแล้วได้ประโยชน์อะไร ความกลัวไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเดินต่อไปได้ มีแต่จะรั้งให้เราไม่กล้าก้าวออกไปทำอะไรเสียที
“คุณจะกลัวเพื่ออะไร ถ้าคุณจะทำต้องทำเลย อย่าไปกลัว”
นับจากวันนั้นชายคนนี้ก็ไม่เคยมีเรื่องไหนให้กลัวอีกเลย ความกลัวไม่ใช่อุปสรรคในการใช้ชีวิต ในทางกลับกัน สิ่งที่เขาอาจจะกลัวมากกว่าคือการไม่เริ่มลงมือทำ ทั้ง ๆ ที่ยังมีโอกาสและลมหายใจเช่นเดียวกับการเริ่มทำธุรกิจน้ำแร่ 6ty Degrees ในวัย 80 ที่ใครต่อใครต่างบอกว่าเป็นธุรกิจที่เดาทิศทางแทบไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร
“เราคิดเพียงอย่างเดียวว่าจะเป็นเบอร์หนึ่งของไทย”
“เพราะเราผ่านการทดสอบกับตัวเองมาก่อน เมื่อก่อนเวลาลูบผมเนี่ยมันจะมีเส้นผมติดมา 2-3 เส้นอยู่ตลอด แต่พอดื่มน้ำแร่ 6ty Degrees ปรากฏว่าผมมันมีความแข็งแรงขึ้น เราก็ไม่ได้คิดว่าการดื่มน้ำจะช่วยเรื่องผมด้วย”
ขณะเล่าก็เอามือลูบผมให้ดูว่า ไม่มีผมติดมือสักเส้นเดียว แถมยังมีความหนาขึ้นเทียบจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด มานิตยังบอกอีกว่าคงเป็นเพราะได้รับแร่ธาตุจากธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์เลยทำให้ร่างกายตอบสนองเช่นนี้
พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่า เขาเคยทดลองเอาไข่ต้ม 4 ฟอง ให้พนักงาน 4 คนลองทานดู โดยจะมีอยู่หนึ่งฟองที่ต้มจากน้ำแร่ 6ty Degrees ส่วนฟองอื่น ๆ ต้มจากน้ำธรรมดา พบว่าพนักงานที่ได้ทานไข่ต้มจากน้ำแร่สามารถทานได้ทันที ขณะที่คนอื่นต้องขอพริกไทยมาเหยาะกลบกลิ่นเหม็นของไข่ ต่างจากไข่ต้มจากน้ำแร่ที่ไม่มีกลิ่นแถมยังรสชาติอร่อยกลมกล่อมอีกต่างหาก
กว่าจะออกมาเป็นน้ำแร่หนึ่งขวด มานิตได้เปลี่ยนออฟฟิศให้กลายเป็นห้องทดลองขนาดย่อม เขาไม่เคยมีวันไหนที่รู้สึกเหนื่อย มีแต่ความมุมานะในการพัฒนาสินค้า เพื่อให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกับรสสัมผัสของน้ำแร่ 6ty Degrees ให้ได้มากที่สุด นี่คือวิธีคิดในการนำพาธุรกิจให้ก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะน้ำแร่ทุกขวดที่จะส่งออกไปสู่มือผู้บริโภคได้นั้น ต้องผ่านการทดสอบความอร่อยและคุณภาพมาอย่างดีที่สุด
“เรามีน้ำแร่ที่มาจากชั้นใต้ดินอุณหภูมิ 60 องศา ซึ่งมันสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ความร้อนมีส่วนช่วยให้แร่ธาตุออกมาเยอะ เพราะฉะนั้นน้ำแร่ของเราจึงมีองค์ประกอบครบถ้วน มีความบริสุทธิ์ที่สุด”
“คุณต้องอยู่กับธรรมชาติ ถ้าพลิกแพลงธรรมชาติมันก็เท่ากับว่ารับสารพิษเข้ามาสู่ร่างกาย หน้าที่ของเราคือจะต้องกลมกลืนกับธรรมชาติที่สุด รักษาสิ่งแวดล้อมเอาไว้ให้ได้ ซึ่งน้ำแร่ก็มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติล้วน ๆ นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ 100 เปอร์เซ็นต์”
“เราทำธุรกิจด้วยความจริงใจ ไม่หลอกลวง ดีก็บอกว่าดี พยายามพัฒนาให้ดีขึ้นไปอีก ผ่านการทดลองทดสอบหลายอย่าง เช่น การต้มไข่ในน้ำแร่ การลองดื่มเองว่าส่งผลต่อร่างกายอย่างไร ลองเอาไปทำเป็นน้ำแข็งดูว่าช่วยให้รสชาติเครื่องดื่มดีขึ้นมั้ย แล้วมันก็ออกมาดีทั้งหมด ได้รับรางวัลรับรองเรื่องรสชาติอีกด้วย ผมเลยอยากส่งเสริมค่านิยมให้คนไทยหันมารักและสนับสนุนแบรนด์ไทยกันเยอะ ๆ เพราะนี่คือแบรนด์น้ำแร่จากไทย หากช่วยกันส่งเสริมเราจะได้เข้าสู่ตลาดโลกได้อย่างน่าภาคภูมิใจ”
เพื่อให้คงความบริสุทธิ์เอาไว้ตั้งแต่ต้นโรงงาน 6ty Degrees ซึ่งตั้งอยู่ในเชียงดาวจึงทำเป็นระบบปิดทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำ ผ่านกระบวนการกลั่นกรองจนถึงการบรรจุในห้องสุญญากาศ ปลอดเชื้อ ทำให้น้ำแร่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ของแร่ธาตุได้อย่างครบถ้วน ภายในโรงงานสามารถบรรจุน้ำได้ 850,000 ขวดต่อวัน แต่มีเจ้าหน้าที่ควบคุมเพียง 5 คนเท่านั้น
ภายในโรงงานจัดการผ่านระบบ Fully Automation ใช้หุ่นยนต์ในการจัดเก็บเข้าโกดังสินค้า ส่วนบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น ฝา ขวด ฉลาก ถูกดีไซน์ในรูปแบบพิเศษให้มีความพรีเมียมโดยเฉพาะฝาขวด ซึ่งมานิตมองว่าการจะอยู่ร่วมกันกันธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ทำร้ายโลกใบนี้ให้น้อยที่สุด จึงได้ออกมาเป็นฝาและขวดยึดติดกันเป็นชิ้นเดียว ถือเป็นแบรนด์แรกในประเทศไทยที่เป็น single waste ง่ายต่อการคัดแยกขยะ และลดปัญหาขยะพลาสติกไหลลงสู่มหาสมุทรได้อีกหลายร้อยตัน
“ทุกวันนี้มีขยะพลาสติกเยอะมาก เราพยายามทำให้เกิดขยะน้อยที่สุด จากเมื่อก่อนเราจะเห็นว่าขยะจากขวดพลาสติก 1 ขวดเนี่ย สามารถแยกย่อยออกมาได้ถึง 3 ชิ้น ฝา ตัวขวด และฉลาก แต่เราพยายามทำให้มันเหลือน้อยที่สุดโดยการทำฝาให้ยึดติดอยู่กับขวดเลย”
มานิตยังบอกอีกว่า อนาคตเขาคงปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่อีกครั้ง เพื่อให้เป็นมิตรต่อกระบวนการรีไซเคิลในประเทศไทยให้ได้มากที่สุด ก่อนจะทิ้งท้ายว่า อยากให้ทุกคนลองลงทุนกับสุขภาพเหมือนกับที่เขาลงทุนกับตัวเองดูสักครั้ง แล้วจะเห็นว่าชีวิตที่มีร่างกายแข็งแรงจะต่อยอดให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับสังคมได้อีกเยอะมาก
ทุกวันนี้ มานิตไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรอีกแล้ว เขาแค่ทำเพราะอยากให้คนไทยทุกคนได้ดื่มด่ำของดีจากแผ่นดินไทย เงินทองที่ได้จากการทำธุรกิจเป็นเพียงสิ่งตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเท่านั้น
“ผมอายุ 80 ปีแล้ว จะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ แต่ถ้าร่างกายคุณไม่ดีก็แย่ไปหมดทุกอย่าง”
“ดังนั้น คุณต้องหาสิ่งที่ดีให้กับร่างกายให้กับชีวิตคุณนะ แค่ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร มันเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ลำบาก แต่บางคนกลับมองข้ามตรงนี้ไป เอาความง่ายเป็นที่ตั้ง ซึ่งมันเป็นบ่อเกิดของความเสื่อมของร่างกาย อวัยวะภายใน แล้วทำไมคุณไม่ดูแลของง่าย ๆ อย่างนี้ น้ำแร่ 6ty Degrees ขวดนึงไม่ได้แพงเลยนะ เราต้องคิดถึงตัวเอง หาสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเองจะได้ไม่เป็นภาระให้กับลูกหลาน”
สิ่งเดียวที่มานิตหวังคือการเห็นคนไทยมีสุขภาพดี ผ่านการดื่มน้ำแร่คุณภาพซึ่งเกิดจากการปลุกปั้นของคนไทยที่มองเห็นความสำคัญ ในการส่งมอบของดีให้กับคนไทยด้วยกันเอง ขอเพียงแค่เปิดใจแล้วจะรู้ว่าน้ำแร่เมดอินเชียงดาวขวดนี้อร่อยเสียจนไม่อยากจะเชื่อว่า มาจากแหล่งน้ำใต้ผืนดินจังหวัดเชียงใหม่ของเราเอง
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : พิชญุตม์ คชารักษ์