‘เต่าเหยียบโลก’ แบรนด์ระงับกลิ่นกายของไทยที่ฝันใหญ่ช่วยแก้ปัญหา ‘กลิ่นเต่า’ ให้คนทั่วโลก

‘เต่าเหยียบโลก’ แบรนด์ระงับกลิ่นกายของไทยที่ฝันใหญ่ช่วยแก้ปัญหา ‘กลิ่นเต่า’ ให้คนทั่วโลก

เต่าเหยียบโลก แบรนด์ที่ผู้ก่อตั้งมีความฝันอยากให้ไปวางขายทั่วโลก เพราะเล็งเห็นว่า ทุกคนล้วนมีปัญหากลิ่นเต่าเหมือนกัน

Stories of the Month เป็นซีรีส์ใหม่ของ The People ที่จะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวน่าสนใจในแต่ละเดือน และเป็นประเด็นพิเศษให้ติดตามกันแบบไม่ซ้ำกัน สำหรับเดือนตุลาคมนี้ เป็นเรื่องราวของ Local Entrepreneur ผู้ประกอบการไทยมากฝีมือที่สร้างชื่อและสามารถยืนหยัดอยู่บนสังเวียนธุรกิจได้แม้ต้องเจอกับการแข่งขันที่ดุเดือด ที่สำคัญยังมีแนวคิดที่สามารถสร้างไอเดียและแรงบันดาลใจให้กับผู้คน

สัปดาห์นี้เป็นเรื่องราวของ ‘เต่าเหยียบโลก’ แบรนด์สินค้าระงับกลิ่นกายของคนไทยที่ผลิตจากสมุนไพรไทยมีอายุแบรนด์เก่าแก่กว่า 50 ปี โดยมี ‘สมชาย จันทิพย์วงษ์’ ชายที่เรียนจบเพียงป.4 เป็นผู้ก่อตั้ง

แม้ชื่อแบรนด์จะดูเชย แต่หากเต่าเหยียบโลกไม่เจ๋งจริงคงไม่สามารถยืนระยะนานได้ขนาดนี้ เพราะตลาดกลิ่นกายนอกจากจะแข่งขันรุนแรงแล้ว แถมคู่แข่งส่วนใหญ่ในตลาดล้วนแล้วเป็นแบรนด์ระดับโลกเกือบทั้งสิ้น

และนี่คือเรื่องราวที่น่าสนใจของเต่าเหยียบโลก แบรนด์ที่ผู้ก่อตั้งมีความฝันอยากให้ไปวางขายทั่วโลก เพราะเล็งเห็นว่า ทุกคนล้วนมีปัญหากลิ่นเต่าเหมือนกัน

จุดเริ่มต้นเต่าเหยียบโลก

ในวัยเด็กครอบครัวของสมชายค่อนข้างยากจน คุณพ่อคุณแม่อพยพมาจากเมืองจีน และได้มาปักหลักที่ประเทศไทยด้วยการประกอบอาชีพทำสวน ปลูกพริก ปลูกมะเขือ ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องยาติดตัวแม้แต่น้อย แต่โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่ของสมชายคุ้นเคยกับเถ้าแก่ร้านขายยาในตัวจังหวัดนครปฐม จึงพาเขาไปฝากเป็นเด็กฝึกงานตั้งแต่เด็ก ๆ

สมชายเรียนจบเพียง ป.4 เท่านั้น แต่มีโอกาสได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาจีนอยู่ประมาณ 3-4 ปี หลังจากที่จบจากโรงเรียนตอนอายุ 17 ปี คุณพ่อสนิทกับเถ้าแก่เพราะไปซื้อยาที่ร้านอยู่บ่อย ๆ จึงเอ่ยปากขอฝากให้ สมชาย ลองฝึกงานอยู่ที่นั่น ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าสู่วงการยาเต็มตัว

หากจะพูดว่า ครึ่งชีวิตของสมชาย ทำงานอยู่กับเถ้าแก่ที่ร้านขายยาก็ไม่ผิด เพราะตลอด 20 กว่าปี จนเขาอายุ 40 ปี เขาตั้งใจทำงานจนได้เป็นพนักงานมือหนึ่งของที่ร้าน ได้คลุกคลีอยู่กับ ‘สมุนไพร’ ตลอดเวลา นอกจากนี้เขายังสามารถสอบใบหมอใบเภสัชที่กระทรวงสาธารณสุขด้านยาแผนโบราณ แล้วก็มีใบเภสัชกับใบเวชกรรมด้วย

แต่แล้วก็มีเหตุให้สมชายต้องลาออกจากร้านขายยาของเถ้าแก่ในที่สุด เพราะมีเรื่องน้อยใจส่วนตัวกัน จึงออกมาและเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง โดยหยิบสูตรแป้งระงับกลิ่นตัวมาเป็นจุดขาย  และตั้งชื่อแบรนด์ว่า ‘เต่าเหยียบโลก’ เริ่มวางจำหน่ายตามร้านเสริมสวย

ส่วนที่มาของชื่อแบรนด์ ก็มาจากว่า สินค้าเป็นแป้งทารักแร้ก็ควรตั้งชื่อให้เข้าใจง่าย และกลิ่นรักแร้ชาวบ้านจะเรียกว่า ‘กลิ่นเต่า’ จึงนำเต่ามาเป็นโลโก้ แต่ก็ดูเชยไปเหมือนขาด ๆ อะไรไป จึงออกแบบเป็นเต่าไปเหยียบบนลูกโลก ด้วยเขาต้องการให้สินค้าตัวนี้กระจายไปทั่วโลก เพราะคนทั่วโลกก็มีกลิ่นเต่าเหมือนกัน

จากแป้งระงับกลิ่นกาย สมชายได้มีการพัฒนาสินค้าระงับกลิ่นกายอื่น ๆ ออกมา โดยเขาบอกว่า ถ้าหยุดนิ่ง เท่ากับเราถอยหลัง ซึ่งนอกจากสินค้าใหม่แล้ว ยังมีการจับกลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ผ่านการโฆษณา และการเลือกแบรนด์แอมบาสเดอร์

ปัจจุบันเต่าเหยียบโลก อยู่ภายใต้การบริหารของทายาทรุ่น 2 โดย ‘โอ – วิศรุต’ หนึ่งในทายาทรุ่นที่ 2 ของเต่าเหยียบโลกพยายามเข้ามาแก้ pain point ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะความโบราณและการทำการตลาด

“เราอยากจะต่อยอดธุรกิจ ผมมองว่าคู่แข่งของเราส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ระดับโลกทั้งนั้น ซึ่งผมก็เรียนจบในสาขาการตลาดจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา สินค้าก็อาจจะดูเชย ดูโบราณไปบ้าง คนไม่กล้าเรียกชื่อแบรนด์ เพราะยังรู้สึกเขิน ๆ อยู่นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเข้ามาช่วยมาเปลี่ยนแปลง

“เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราเข้ามาช่วยต่อก็คือเรื่องของการทำการตลาด การปรับภาพลักษณ์ เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ มีการส่งเสริมการขาย มีการกระจายสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น บางทีจะมีลูกค้าเข้ามาคอมเมนต์ในโลกออนไลน์ครับว่า สินค้าตัวนี้ใช้ดีนะแต่ว่าหาซื้อไม่ได้เลย ฉะนั้น เราก็เข้ามาช่วยตอบโจทย์เรื่องการกระจายสินค้าผ่านทั้งในส่วนของเซเว่นอีเลฟเว่น แล้วก็โมเดิร์นเทรดต่าง ๆ ให้เข้าถึงลูกค้าครับ”

สำหรับเป้าหมายใหญ่ของเต่าเหยียบโลกในรุ่นของเขา คือ อยากจะเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายอันดับ 3 ของประเทศไทย และอยากเป็นแบรนด์ของคนไทยที่ใช้ส่วนประกอบจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ และเห็นผลลัพธ์ที่ดีต่อคนทั่วโลก

ดังนั้น แผนต่อไป คือ การไปเปิดตลาดในต่างประเทศ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งขาของธุรกิจที่จะก้าวไปในอนาคต

“ถ้าถามว่าวันนี้เต่าเหยียบโลกต้องไปทำธุรกิจอื่น ๆ ที่เป็นธุรกิจใหม่ บางทีเราอาจจะเจ๊ง อาจจะไปไม่รอดก็ได้ ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนเนี่ยมีความชำนาญ มีความถนัดในด้านของตัวเอง จงใช้ความถนัดนี้แล้วลองลงมือทำ ลองศึกษาให้มากขึ้น ผมเชื่อว่าพอเราเรียนรู้พัฒนาอยู่เรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วเราจะเจอจุดที่เป็นจุดแข็งของเรา”

.

ภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม