17 เม.ย. 2567 | 18:22 น.
เทศกาลสงกรานต์ที่เพิ่งผ่านไปหมาด ๆ มีไอเทมมากมายกลายเป็นขวัญใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ แม้กระทั่งคนไทย ‘ยาดมสมุนไพร’ กลายเป็นไอเทมฤดูร้อนที่หลายคนติดใจไม่รู้ตัว แต่หากยาดมสามารถเป็นได้ ทั้งสิ่งมหัศจรรย์ที่ช่วยรักษาอาการวิงเวียนได้ แล้วก็เป็น ‘ของที่ระลึก’ ที่ใช้ตกแต่ง หรือซื้อฝากจากเมืองไทยได้มันคงจะดีมาก ๆ
ไอเดียนี้เองที่ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ANONA ‘ยูนิส - สุพิชชา กอเจริญพาณิชย์’ เห็นแล้วรู้สึกว่า souvenir หรือของที่ระลึกของเมืองไทย สามารถทำถึงได้มากกว่านี้ ยังมีอะไรมากมายให้ทำได้อีกเยอะ
ยูนิส – สุพิชชา เปิดใจกับเราแบบไม่เขินอายเกี่ยวกับการตัดสินใจของตัวเอง ช่วงที่ยังลังเลว่าจะออกจากงานประจำหรือไม่ เพื่อมาทำธุรกิจส่วนตัว เธอยอมรับว่า ต้นทุนชีวิตคนเราอาจจะไม่เท่ากันนั่นคือเรื่องจริง ส่วนเธอด้วยความที่ทำงานประจำแค่ปีเดียว อายุยังน้อย และก็พอมีต้นทุนชีวิตอยู่บ้าง สิ่งเหล่านั้นทำให้เธอพุ่งเป้าไปที่ ‘การลาออกจากงาน’ ง่ายขึ้น
และเรื่องราว การเดินทางของ ANONA จึงกำเนิดขึ้น
สำหรับ ยูนิส – สุพิชชา ก่อนที่เธอจะผันตัวเองสู่เจ้าของธุรกิจ เธอเรียนจบด้านการตลาด (ปริญญาตรี) และการเงิน (ปริญญาโท) ที่ประเทศอังกฤษ และก็มีประสบการณ์ทำงานที่ธนาคารแห่งหนึ่งในเมืองไทย ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียง 1 ปี อาจจะมากพอที่ทำให้รู้สึกว่า ที่ตรงนั้นไม่ใช่สำหรับเธอหรือไม่
“เหมือนเป็นจังหวะด้วยที่ตอนนั้นหัวหน้าลาออก แล้วพอหัวหน้าเปลี่ยนคน direction หรือการทำงานต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย ที่เราทำไปก็ไม่ได้ใช้ ต้องมาทำอันใหม่แล้ว เราก็รู้สึกว่ามันเริ่มไม่ใช่ทางเรา เหมือนเราไม่มีประโยชน์ ไม่มี value ตอนนั้นเรารู้สึกว่า ถ้าอยู่ต่อไปอาจจะหมด passion ไปเลย”
“จริง ๆ เริ่มแรก เราก็อยากทำธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่าพ่อแม่เขาก็มีความคิดแบบคนสมัยก่อน เขารู้สึกว่างานประจำมัน secure กว่าอยู่แล้วอะ เราก็โอเค ก็ทำตามที่พ่อแม่เราบอกก่อน หางานแล้วก็ทำ แต่พอถึงจุดนึงแล้วเรารู้สึกว่ามันไม่ค่อยแฮปปี้ก็คุยกับที่บ้านแล้วว่าไม่อยากอยู่แล้ว ซึ่งระหว่างนั้นเราก็เริ่มคิดทันทีว่า จะทำยังไงต่อดีเพราะถ้าเราออกมาแล้วไม่มีอะไรทำ มันก็จะแย่นะ คือพอบอกหัวหน้าว่าจะลาออก เราก็ research เลยว่าเราจะทำอะไรดี”
ด้วยความที่เป็นคนชอบเที่ยวต่างประเทศ พอเห็นอะไรที่เป็นของจุกจิก ของเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างของที่ระลึก หรือ แมกเนต ยูนิส – สุพิชชา จะรู้สึกว่ามันน่าสนใจอยากจะซื้อเก็บ เธอจึงเริ่มคิดตั้งแต่นั้นว่า ไทยก็เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ แต่เธอรู้สึกว่า ของฝากของที่ระลึกจากเมืองไทยยังไม่ค่อยโดนใจ ยังมีอะไรซ้ำ ๆ เดิม ๆ เช่น สบู่แกะสลัก หรือ ช้าง ซึ่งก็เป็นของที่ระลึกที่เราน่าจะคุ้นตาเห็นกันมานาน
“เรารู้สึกว่ามันยังสามารถทำได้อีก แล้วคือตอนนั้น ‘ยักษ์’ ก็ยังไม่มา ยังไม่ได้อยู่ในกระแส คนส่วนใหญ่จะนึกภาพเมืองไทยเป็นช้าง เป็นตุ๊กตุ๊ก เราจึงมานั่งวาด ๆ เขียน ๆ จากพื้นฐานที่มีสกิลศิลปะติดตัวอยู่บ้าง ลองออกแบบเอง ร่างขึ้นมาจนได้เป็นยักษ์ อย่างที่ต้องการ”
“เราทำ research ก่อนเลยว่า สินค้าอะไรที่มันขายดี ซึ่งเราก็ find out ว่าพวกสมุนไพร ยาดม ยังเป็นที่นิยมของชาวต่างชาตินะ เพราะบ้านเขาไม่มีขาย”
“แต่เราจะมาแบบธรรมดาเลยก็ไม่ได้ คงจะไปสู้เจ้าเดิม ๆ ที่มีอยู่แล้วไม่ได้หรอก แล้วเราก็ไม่ได้อยากขายเป็นยา เราอยากขายเป็น souvenir (ของที่ระลึก) ที่เขาเก็บกลับไป แล้วทุกครั้งที่หยิบออกมาแล้วก็ต้องนึกถึงเมืองไทย”
เธอใช้เวลาคิดอยู่นานกว่าจะตกผลึกออกมาเป็น ‘ยักษ์’ นอกจากนั้นยังต้องหาซัพพลายเออร์แล้วลองคุยกับคนที่ช่วยผลิตว่า ดีไซน์แบบนี้เขาสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งถือว่าโชคดีที่ได้เจอพาร์ทเนอร์ธุรกิจไว
เธอบอกด้วยว่า การสร้างแบรนด์ สร้างธุรกิจของตัวเองไม่ง่ายเลย เพราะนอกจากจะต้องคิดว่าจะทำอะไรดี ต้องออกแบบยังไงถึงจะโดนใจคนซื้อ ทั้งยังต้องคิดถึงชื่อแบรนด์ โลโก้ แพ็กเกจ ที่สำคัญก็คือ ‘story’ เรื่องราวที่ต้องหาข้อมูล ต้องคิดกิมมิคเพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อมากขึ้น
“ตอนที่เราทำ เราหาข้อมูลเกี่ยวกับยักษ์ ทำ research เรื่องของรามเกียรติ์จริงจัง แบบว่าเขาเก่งด้านไหน อะไรอย่างนี้ ก็คือเราใช้เวลาในการทำ R&D เยอะเหมือนกัน”
ส่วนเรื่องการปรุง ‘กลิ่น’ ยูนิส ต้องไปเรียนกับคนที่เชี่ยวชาญ แล้วสร้างสูตรเป็นของตัวเอง ให้เป็นเวอร์ชั่นของ ANONA เธอเล่าว่า ส่วนตัวไม่ชอบกลิ่นที่มันโบราณมากนัก และก็คิดว่าฝรั่งหรือคนที่ซื้อคงไม่เก็ตเหมือนกันว่านี่คือกลิ่นอะไร เธอจึงเอา essential oil มาเสริมสมุนไพรไทย เพื่อสร้างกลิ่นที่โมเดิร์นขึ้น แต่ก็ยังคงความเป็นสมุนไพรของไทยอยู่
กลิ่นสมุนไพรยักษ์ของแบรนด์นี้ ที่เด่น ๆ และวางขายตอนนี้ อย่างเช่น กลิ่นมะนาว, กลิ่นน้ำมันระกำ, กลิ่นตะไคร้บ้าน และกลิ่นเปปเปอร์มินท์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เป็น ‘บาล์ม’ เพื่อให้กลิ่นติดทนขึ้นทาถูได้ เธอออกแบบมาเป็น ‘หนุมาน’ ซึ่งก็มีความเป็นคอนเซปต์ของรามเกียรติ์เป็น DNA อยู่
ส่วนชื่อ ‘ANONA’ เธอบอกว่า ถ้าเป็นภาษาไทยก็มีความหมายงดงาม ก็คือ ‘เป็นที่รัก’ และความหมายในภาษาอังกฤษที่ดีเช่นกัน คือ ‘ดีงาม เป็นที่ชื่นชอบ’ และตัวอักษรเป็น A ตัวแรกของภาษาอังกฤษ ซึ่งมันดีมีนัยยะความหมายที่ดี
และโลโก้ที่ดูเป็นเหมือน ‘เลขหนึ่งไทย’ แล้วก็เหมือนเป็น ‘ดวงไฟ’ ด้วย ยูนิส บอกว่า มันมีความหมายที่ดี ดูเป็นไทย แต่ก็ไม่โบราณเกินไป ซึ่งเธอหลงรักโลโก้ตั้งแต่แรกเห็น
เชื่อว่าถ้าหลายคนเห็ฯและรู้จักแบรนด์ ANONA ก็จะเห็นยาดมรูปยักษ์มาก่อน แต่จริง ๆ แล้ว ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นี้มีความน่าสนใจ มีลูกเล่นเกี่ยวกับความเชื่อ มุมมองคนไทยมากขึ้น ‘ถุงหอม’ คือหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เธอปรับตัวช่วงโควิด-19 หลังจากทีสินค้าเคยโดนตีกลับ
“เราอยากมี product ที่เป็นอโรมาในบ้านอยู่แล้ว แต่สินค้าเราต้องมีอะไรที่เป็นกิมมิกไทยเหมือนเดิม เพราะแบรนด์ฉันมันโตมากับสิ่งนี้ ก็ปรึกษากับดีไซเนอร์ สรุปเป็น ‘ถุงหอม’ แต่ว่าไม่ใช่ถุงหอมธรรมดา มันต้องมีความเป็นไทยในนั้นด้วย ก็เกิดไอเดียขึ้นมา คือเอาตัวลวดลายของวัดมาสร้างเป็นลวดลายถุงหอม แล้วก็เสริมคำอวยพรที่มันดี ๆ เข้าไปเป็น 2 ภาษา ไทยและอังกฤษ เช่น โชคดี/lucky ซึ่งพวกเขาก็น่าจะซื้อไปฝากคนอื่นได้ เหมือนเวลาเราไปญี่ปุ่นแล้วมีเครื่องรางเกี่ยวกับความรักเอย เกี่ยวกับเงิน อะไรแบบนี้”
“ช่วงสงกรานต์ก็จะนำมาเป็นเซ็ตของขวัญ ก็คือ มีถุงหอมลายโชคดีมีสุข หรือจะเป็นลายมีสุขคู่กับยาดมยักษ์เพื่อมอบให้ผู้ใหญ่ได้”
สำหรับ ยูนิส ในฐานะคนที่คิดไอเดีย คนเริ่มต้นธุรกิจนี้ สำหรับเธอที่วางกลุ่มทาร์เก็ตเป็นชาวต่างชาติเพราะมองว่า สำหรับพวกเขาจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้มัน amazing ไม่ว่าจะลวดลาย, จินตนาการ, สินค้าที่มีความเป็นวัฒนธรรมอยู่ในนั้น เพราะเมื่อเทียบกับเราเองเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ ก็คงอยากจะเก็บเศษเสี้ยวนึงของความทรงจำของประเทศที่ไปมาเช่นกัน
แต่สิ่งที่ฝังลึกเกี่ยวกับความเป็นไทยสำหรับ ยูนิส เธอมอง ‘ศิลปะไทย’ เป็นสิ่งที่ชดช้อย และมีความละเอียด เป็นเสน่ห์ของเมืองไทยที่เธออยากจะมีส่วนทำให้ต่างชาติเข้าถึงง่ายขึ้น รู้สึกว่ามันมีความโมเดิร์นแต่ก็ไม่ทิ้งความเป็นไทยไป
“ความเป็นไทย ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปี มันก็ยังอยู่ ถ้ามองย้อนกลับไป ยูนิสทำตรงนี้มา 7-8 ปีแล้ว มันก็ยังเป็นเสน่ห์ ยังเป็นเอกลักษณ์ของมันอยู่เสมอ นี่คือเสน่ห์ของไทยที่เราอยากถ่ายทอดค่ะ”
ภาพ : ANONA