‘ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ทายาทรุ่น 2 ‘สมูทอี-เดนทิสเต้’ ทำการตลาดแบบใหม่ จนแบรนด์ติดตลาดต่างประเทศ

‘ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ทายาทรุ่น 2 ‘สมูทอี-เดนทิสเต้’ ทำการตลาดแบบใหม่ จนแบรนด์ติดตลาดต่างประเทศ

การเข้ามาช่วยบริหาร ‘สมูทอี-เดนทิสเต้’ ของทายาทรุ่นที่ 2 ‘จูน - ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ นับว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้แบรนด์ของคนไทยเป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากขึ้น ผ่านการทำการตลาดแบบคนรุ่นใหม่ที่ลงสนามธุรกิจโดยคนรุ่นใหม่

หลายครั้งที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของ 2 แบรนด์ของคนไทยอย่าง ‘สมูทอีกับเดนทิสเต้’ อยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะวิธีการทำการตลาดแบบใหม่ รวมไปถึงโปรดักส์ใหม่ที่ถูกใจคนรุ่นใหม่ขึ้น หลังจากที่ ‘ดร.แสงสุข พิทยานุกุล’ ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป ได้ให้ลูกสาวเข้ามาช่วยกิจการในหลายด้าน จนทำให้ธุรกิจสามารถสร้างภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยมากขึ้น

Stories of the Month เป็นซีรีส์ใหม่ของ The People ซึ่งจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจในแต่ละเดือน และเป็นประเด็นพิเศษให้ติดตามกันแบบไม่ซ้ำกัน โดยเดือนสิงหาคม 2023 เป็นเรื่องราวของ ‘ทายาทธุรกิจ’

ธุรกิจในโลกปัจจุบันได้เดินทางมาถึงยุคของการ ‘ส่งต่อ’ และ ‘เปลี่ยนผ่าน’ ซึ่งถือเป็นจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่อาจจะชี้ให้เห็นถึงเส้นทางในอนาคตขององค์กรนั้น ๆ ว่าจะ ‘เดินหน้า’ หรือ ‘ถอยหลัง’ โดยทายาทธุรกิจที่เลือกมานำเสนอในซีรีส์นี้ จะโฟกัสคนรุ่นใหม่ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กร หรือเป็นบุคคลที่สามารถพลิกฟื้นจากธุรกิจขาลงให้กลับมาเติบโตมีอนาคต

ด้วยความที่แบรนด์สมูท-อี ก่อตั้งมาแล้วเกือบ 30 ปี ขณะที่แบรนด์เดนทิสเต้ก็เปิดตัวมากว่า 17 ปี ถือว่าเป็นแบรนด์คนไทยอีกหนึ่งแบรนด์ที่คุ้นเคยและรู้จักกันอย่างดี ซึ่งปัจจุบัน ‘จูน - ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ทายาทรุ่นที่ 2 ถือว่าเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้พูดได้ว่า จูน – ศุภาพิชญ์ มีส่วนสำคัญที่ทำให้แบรนด์ทั้ง 2 เป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศมากขึ้นด้วย

 

เรียนรู้งานจากที่อื่นก่อน

ย้อนหลังไปประมาณ 10 ปี วัยเด็กของจูน - ศุภาพิชญ์ เหมือนเด็กไทยทั่วไป เรียนโรงเรียนไทย จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยในไทย (ส่วนปริญญาโทเธอเลือกเรียน MBA จากอังกฤษ) ซึ่ง ณ วันนั้นที่จูน – ศุภาพิชญ์ เลือกเรียนเภสัชศาสตร์ก็เพราะคิดว่า สายนี้เป็นวิชาชีพที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ แล้วสุดท้ายก็สามารถนำกลับมาช่วยธุรกิจที่บ้านได้เช่นกัน

แต่อย่างที่พูดไปแต่แรกว่า จูน – ศุภาพิชญ์ ไม่ได้จบแล้วมาช่วยงานที่บ้านเลย แต่เธอเลือกที่จะออกไปเรียนรู้ข้างนอกก่อน เธอพูดกับ The People ว่า “จูนออกไปทำงานข้างนอกก่อน เพื่อเก็บประสบการณ์คิดว่าจะกลับมาพัฒนาบริษัทได้ยังไงบ้าง พอจูนเรียนจบ MBA ก็กลับมาช่วยบริหารธุรกิจของที่บ้านเต็มตัว”

จริง ๆ แล้ว จูน – ศุภาพิชญ์ เคยช่วยงานที่บ้านมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว คือช่วงที่ปิดเทอมสมัยที่ยังเรียนอยู่ช่วงประถม พ่อแม่ได้สอนงานเรื่องการแพ็คสินค้า การนับสต็อก ไปดูงานที่โรงงาน เป็นต้น ก็พูดได้ว่าเธอคลุกคลีอยู่กับธุรกิจของที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่การออกไปเรียนต่อและการหาประสบการณ์จากที่อื่นมาก่อน เพราะต้องการพัฒนาและปรับปรุงธุรกิจของที่บ้านให้มีความเป็น global มากขึ้นนั่นเอง

ก้าวแรกเต็มตัวกับธุรกิจที่บ้าน

เป็นธรรมดาที่พ่อแม่มักจะมอบหมายให้ลองทำสิ่งเล็ก ๆ ดูก่อน ก่อนที่จะให้เราทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ จูน – ศุภาพิชญ์ เองก็ไม่ต่างจากคนอื่นที่ต้องมาสานต่อธุรกิจครอบครัว ซึ่งเธอเข้ามาดูแลทั้งธุรกิจเดนทิสเต้และสมูทอีในบางพาร์ท นอกจากนี้ยังนั่งตำแหน่งเป็น CMO ฝ่าย new business development ของแบรนด์ทั้ง 2 ด้วย

“ในวันแรก ๆ จูนดูเป็นโปรดักส์ตัวใหม่ที่เปิดตัวของทางบริษัทเดนทิสเต้ค่ะ ตอนนั้นดูเป็น Dentiste' Mastic Mint ซึ่งเป็นเม็ดอมของเดนทิสเต้ เป็นสินค้าที่ใหม่มากในธุรกิจของเราก็ว่าได้ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนมาดู Product Marketing ของสมูทอีควบคู่กับเดนทิสเต้ค่ะ”

อีกหนึ่งผลงานที่ทำให้เป็นที่พูดถึงเกี่ยวกับเดนทิสเต้ และตัว จูน – ศุภาพิชญ์ ก็คือ การดึง ‘ลิซ่า Blackpink’ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ซึ่งเรียกว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่ม Gen Z ได้มากขึ้น อีกทั้งยังทำให้คนในต่างจังหวัดรู้จักเดนทิสเต้มากขึ้น

และที่เซอร์ไพรส์มาก ๆ ก็คือ เดนทิสเต้ กลายเป็น Global Brand ที่คนในต่างประเทศรู้จักมากขึ้น เช่น ยอดขายในเกาหลีใต้ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ แม้ว่าจะเกิดวิกฤตการระบาดโควิด-19 ก็ตาม

ส่วนแบรนด์สมูทอี ก็ได้รับความนิยมในต่างประเทศมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในประเทศอาเซียน ซึ่งแบรนด์นี้มีการปรับเปลี่ยนการตลาดใหม่ทำแคมเปญและเลือกใช้พรีเซนเตอร์ที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่มากขึ้น รวมถึงการเลือกพรีเซนเตอร์ที่ประเทศเพื่อนบ้าน หรือในเอเชียติดตาม เพื่อทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์นี้เป็นที่จดจำ

“กลุ่มทาเก็ตในวันนั้นสู่วันนี้อาจจะแตกต่างกัน วันนั้นอาจจะเป็น Gen X ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ทำได้ดีอยู่แล้ว พอมาวันนี้เรามาทาเก็ต Gen Z จูนก็พยายามเพิ่มเติมในส่วนใหม่ เช่น หลักการที่ทำให้โปรดักส์ของเราแตกต่าง รวมถึงความน่าเชื่อถือ โจทย์ก็คือจะทำยังไงให้ทั้ง 2 แบรนด์ ครองใจผู้บริโภคเป็นอันดับหนึ่ง”

“ธุรกิจเครื่องสำอางหรือ FMCG เรียกว่าเป็น Red Ocean หรือแดงจะดำแล้วด้วยซ้ำ ตลาดคู่แข่งใหม่ ๆ ค่อนข้างเยอะ อย่างสมัยก่อนเขาจะพูดว่าปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่จูนว่าปัจจุบันก็คงต้องเป็นปลาเล็กที่เป็นปลาเร็ว คือเราต้องมูฟยังไงให้ทันเวลา มูฟยังไงให้ทันคู่แข่ง ต้องสร้างโปรดักส์ให้ว๊าวยังไงเพื่อครองใจผู้บริโภค”

 

แนวคิด “ทำทันที”

การสานต่อธุรกิจครอบครัวให้ประสบความสำเร็จว่ายากแล้ว ต้องทำให้ดีกว่าเดิมเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นั่นยากกว่า แต่อย่างน้อย จูน – ศุภาพิชญ์ ก็มีไอดอลทางธุรกิจจากคุณพ่อที่ทำให้สามารถก้าวและเติบโตต่อไปได้

นั่นก็คือ หลักคิดที่ว่า “ต้องทำทันที” เพราะหากเราเริ่มและทำช้ามากเท่าไหร่ ความสำเร็จก็ช้ามากเท่านั้น ซึ่งเธอมองว่า การที่เราคิดไอเดียได้ 10 อย่างแล้วลงมือทำทั้ง 10 อย่าง อย่างน้อยก็ต้องมี 1 อย่างที่สำเร็จ หากเราไม่ลงมือทำเลย มัวแต่รอเวลา ก็คงไม่มีวันรู้ว่าไอเดียเหล่านั้นจะรอดหรือร่วง

ด้วยหลักคิดที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น ทำให้วันนี้วิธีการคิดและการลงมือทำทั้งรุ่นที่ 1 และทายาทรุ่นที่ 2 อย่าง ‘จูน – ศุภาพิชญ์’ ได้ผลักดันให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักของคนต่างประเทศได้มากขึ้น ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี

บางทีในฐานะที่เป็นคนไทยเหมือนกัน เราได้เห็นแบรนด์ไทยหรือสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในต่างแดนไม่ว่าจะกลุ่มเล็กหรือใหญ่ ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวไทยทั้งนั้น