พา ‘อ้วยอันโอสถ’ สู่แบรนด์อายุร้อยปี โจทย์ที่ท้าทายของทายาทรุ่น 3 ‘ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ’

พา ‘อ้วยอันโอสถ’ สู่แบรนด์อายุร้อยปี โจทย์ที่ท้าทายของทายาทรุ่น 3 ‘ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ’

ทำไมยาสมุนไพรต้องโบราณ? การพลิกกระบวนยุทธ์ของทายาทรุ่น 3 ‘อ้วยอันโอสถ’ ให้แบรนด์อายุ 77 ปี อยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน และก้าวสู่องค์กรร้อยปี

  • อ้วยอันโอสถ ก่อตั้งในปี 2490 โดย  ‘เสถียร สมบูรณ์เวชชการ’ 
  • จากร้านขายยาเล็ก ๆ เชิงสะพานพุทธ ตอนนี้อ้วยอันโอสถพัฒนาเป็นโรงงานผลิตยาสมุนไพรที่ส่งขายตามที่ต่าง ๆ กว่าหมื่นแห่งทั่วประเทศ
  • ปัจจุบัน  ‘ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ’ เป็นทายาทรุ่น 3 ที่เข้ามาสานต่อธุรกิจ โดยโจทย์สำคัญ คือ ทำอย่างไรให้แบรนด์เดินหน้าต่อถึงร้อยปี

การสร้างตำนานว่ายากแล้ว แต่การรักษาตำนานให้ยั่งยืนเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า ซึ่งเป็นโจทย์สุดท้าทาย ‘ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ’ ทายาทรุ่น 3 ‘อ้วยอันโอสถ’ กำลังเผชิญอยู่ว่า จะทำอย่างไรให้ยาสมุนไพรที่มีอายุ 77 ปี แบรนด์นี้อยู่ได้ถึงร้อยปี โดยต้องรักษาสมดุลระหว่างความเก่าแก่กับโลกยุคใหม่ไว้ให้ได้ 

“ทำไมยาสมุนไพรต้องโบราณ เราเองอยากเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่สร้างสิ่งใหม่ ๆ ไม่ใช่แค่กินบุญเก่าอย่างเดียว  เพราะเรามองความยั่งยืนเป็นหลัก ไม่ใช่แต่ดูยอดขายปีต่อปี”

การทำเช่นนั้นได้ ชนรรค์ บอกว่า สิ่งสำคัญ ต้องรู้จักปรับตัวให้ทันยุคสมัยและไม่ว่าจะเกิดวิกฤตใด เช่นการเมือง เศรษฐกิจ หรืออะไรก็ตาม อ้วยอันโอสถต้องอยู่รอดให้ได้ ดังจะเห็นจากการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสหลายต่อหลายครั้งของอ้วยอันโอสถ ตั้งแต่ยุคผู้ก่อตั้งอย่างคุณปู่ของชนรรค์ ‘เสถียร สมบูรณ์เวชชการ’ ที่เปลี่ยนจากร้านขายยามาทำเป็นโรงงานผลิตยาและจำหน่ายไปทั่วประเทศ 

มาถึงรุ่นคุณพ่อของชนรรค์ ‘สิทธิชัย สมบูรณ์เวชชการ’ ซึ่งได้เปลี่ยนจากผลิตยาจีนอย่างเดียวมาผลิตสมุนไพรไทย และปรับแพ็กเกจของยาให้ทันสมัย มีมาตรฐาน ต่อเนื่องมาในยุคการบริหารของชนรรค์เองที่มีการทั้งปรับและเปลี่ยนหลาย ๆ อย่างเพื่อให้อ้วยอันโอสถอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน 

“โจทย์ของเรา คือ ต้องมองให้เห็นถึงปัญหาของคน  โอกาสของเรา และสุดท้ายต้องนำเอาสิ่งที่ดีอ้วยอันโอสถมีมานำเสนอให้ถูกที่ ถูกเวลา”

ก่อนจะเป็นตำนานยาสมุนไพรอายุ 77 ปี 

ย้อนกลับไปเมื่อ 82 ปีที่แล้ว เสถียร สมบูรณ์เวชชการซึ่งเป็นคนจีนเชื้อสายแคะได้อพยพจากเมืองเหมยเซี่ยน ประเทศจีนแบบเสื้อผืนหมอนใบมาตั้งรกรากที่ประเทศไทย โดยทำงานเป็นลูกจ้างในร้านขายยาจีน และด้วยตัวเขาเองมีความรู้ในศาสตร์แพทย์แผนโบราณ ทั้งการเป็นหมอแมะและตำรับยาจีน ในปี 2490 หลังจากเก็บหอมรอมริบ เขาได้เปิดร้านขายยาเล็ก ๆ ที่เชิงสะพานพุทธ ใช้ชื่อว่า ‘อ้วยอัน’ มีความหมายว่า ‘สะอาดและปลอดภัย’ 

พา ‘อ้วยอันโอสถ’ สู่แบรนด์อายุร้อยปี โจทย์ที่ท้าทายของทายาทรุ่น 3 ‘ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ’

ร้านขายยาแห่งนี้นอกจากขายยาแผนโบราณแล้ว ยังมีตำรับยาที่เสถียรคิดสูตรขึ้นมาเองมากมาย และปัจจุบันยังมีขายอยู่ อาทิ ยาลูกกลอนเซียวทีตันแก้ริดสีดวง และยาเม็ดลูกกลอนแก้น้ำเหลืองเสีย ฯลฯ ซึ่งกิจการเติบโตมาเรื่อย ๆ กระทั่งประมาณปี 2524 วิกฤตแรกของอ้วยอันโอสถก็ได้มาเยือน เมื่อมีการก่อสร้างสะพานพระปกเกล้าขนานกับสะพานพุทธ ทำให้ยอดขายของร้านลดลงจากวันละหลักหมื่นบาทเหลือหลักพันบาท

ณ เวลานั้นสิทธิชัย สมบูรณ์เวชชการ คุณพ่อของชนรรค์ ได้เข้ามาสานต่อกิจการแล้ว และได้พูดคุยกับคุณปู่ว่า เมื่อเรามีสูตรยาเยอะและส่งยาไปขายในร้านยาอื่นอยู่ด้วย ทำไมเราไม่เปลี่ยนจากร้านขายยามาทำเป็นโรงงานผลิตยาและจำหน่ายไปทั่วประเทศ? เป็นที่มาของการก่อตั้งโรงงานในเพชรเกษมซอย 76/1 สำนักงานและโรงงานของอ้วยอันโอสถในปัจจุบัน

พา ‘อ้วยอันโอสถ’ สู่แบรนด์อายุร้อยปี โจทย์ที่ท้าทายของทายาทรุ่น 3 ‘ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ’

มองวิกฤตเป็นโอกาส และทำอย่างไรถึงอยู่กับยุคสมัยได้

“ถามว่า ทำไมเราอยู่มาถึง 77 ปี นั่นเพราะทุกครั้งเมื่อเจอวิกฤต เรามักจะมองหาหนทางเพื่อเปลี่ยนเป็นโอกาส ถ้าไม่เจอวิกฤตตอนนั้นผมไม่แน่ใจเราจะมีทุกวันนี้หรือเปล่า เพราะบางคนเจอเหตุการณ์แบบนี้ สิ่งแรกที่คิดก็แค่ย้ายร้านไปทำเลอื่น แต่ทั้งคุณพ่อกับคุณปู่มองการณ์ไกล เราแก้ปัญหาได้และขยายฐานลูกค้ามากขึ้น”

เมื่อวิกฤตแรกผ่านไป ประมาณปี 2539-2540 วิกฤตสองก็มาเยือน นั่นคือ วิกฤตต้มยำกุ้ง และเป็นอีกครั้งที่อ้วยอันโอสถรอดมาได้จากการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส

“ยุคนั้นการนำเข้ายาจากต่างประเทศค่อนข้างมีราคาแพง รัฐบาลไทยจึงสนับสนุนให้ใช้สมุนไพรไทย และนำสมุนไพรไทยประมาณ 7 หรือ 8 ชนิดเข้าไปอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ หากจำไม่ผิดจะมีฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน มะขามแขก โสม เห็ดหลินจือ คุณพ่อเห็นโอกาสเลยไม่ทำเฉพาะยาจีน นำสมุนไพรเดี่ยวมาผลิตเป็นยาและจำหน่าย ซี่งเราเป็นเจ้าแรก ๆ เลยที่ทำ

“ตอนนั้นคุณพ่อส่งผมไปเรียนที่สิงคโปร์ ท่านไปเยี่ยมผมทุกปีและทุกครั้งที่ไปจะต้องตระเวนดูร้านขายยา เพื่อนำไอเดียมาปรับปรุงธุรกิจ และท่านสอนผมเสมอว่า ไปประเทศไหน เที่ยวหรือไปทำอะไรก็ตาม อย่างแรกที่ต้องเข้าก็คือร้านขายยา นั่นเพราะเป็นธุรกิจของเรา”

ไอเดียที่ว่า คือ การเปลี่ยนรูปแบบยาจากเป็นลูกกลอนนำมาบรรจุในแคปซูล และนำโรงงานจัดทำระบบ GMP (Good Manufacturing Practice) จุดประสงค์ของคุณพ่อชนรรค์ไม่เพียงทำให้ยาสมุนไพรของอ้วยอันโอสถดูทันสมัย ผู้ใช้ไม่ต้องสัมผัสรสยาโดยตรง และยกระดับมาตรฐานตามระบบสากล ยังต้องการแก้ปัญหาที่ยุคนั้นมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับลูกกลอนว่ามีสเตียรอยด์ ทำให้ผู้บริโภคขาดความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย 

“การนำสินค้าเข้าโมเดิร์นเทรด อย่าง 7-11 ก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนทำให้เราเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งตอนนั้น 7-11 มีอยู่แค่ 30 สาขา แต่ตอนนี้มีกว่าหมื่นสาขาแล้ว ส่วนสินค้าตัวแรกที่นำไปวางก็คือยาอมสมุนไพรรสบ๊วยและรสส้ม”

ต้องสร้างสิ่งใหม่ อย่ากินแต่บุญเก่าอย่างเดียว

สำหรับชนรรค์เองเข้ามารับไม้ต่อทางธุรกิจเมื่อประมาณ 13 ปีที่ผ่านมา เขาเห็นทั้ง Pain Point และโอกาสของธุรกิจนี้

พา ‘อ้วยอันโอสถ’ สู่แบรนด์อายุร้อยปี โจทย์ที่ท้าทายของทายาทรุ่น 3 ‘ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ’

“ตอนผมเข้ามาใหม่ ๆ มองอ้วยอันโอสถเป็นคน ๆ หนึ่ง ผมมองเขาเป็นคนสูงวัยที่แข็งแรง แต่ด้วยร่างกายที่ใช้มานาน ย่อมมีจุดเสื่อมชำรุดจากความชราภาพ เครื่องจักรไม่พอใช้ยังเป็นกำลังคนส่วนมากอยู่ แล้วไม่มีสินค้าใหม่ออกมาเลยเกิน 10 ปี 

“บวกกับการมีมุมมองค่อนข้างจะเก่า คือ รุ่นคุณพ่อจะไม่เชื่อในการโฆษณา เลยไม่มีโฆษณามาเกิน 10 ปี ไม่มีออนไลน์แพลตฟอร์มขณะที่คนอื่น สิ่งเหล่านี้เป็น Pain Point ที่รุ่นคุณพ่ออาจมองไม่เป็นปัญหา เพราะคู่แข่งก็ไม่มีเหมือนกัน และถ้าดูยอดขายย้อนหลัง 5 ปี ตอนที่ผมมาทำงานที่นี้ใหม่ ๆ เราโต 2 หลักมาตลอด แต่ผมคิดว่าต้องแก้ไข”

นั่นเพราะชนรรค์เองมองว่า ยาสมุนไพรเป็นตลาดที่คนกำลังให้ความสนใจ และการที่ผลิตสินค้าไม่ทันแต่ยอดขายของอ้วยอันโอสถยังเติบโต ดังนั้นหากเพิ่มกำลังผลิตให้เพียงพอได้ นั่นหมายถึงโอกาสทางธุรกิจจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย 

“ผมนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ส่วนคนก็ย้ายให้ไปทำงานด้านอื่นทดแทน เราไม่มีนโยบายปลดพนักงานและเอาเครื่องจักรมาแทน เพราะการทำยาสมุนไพรยังไงต้องมีคนร่วมอยู่แล้ว และเราเป็นธุรกิจครอบครัว ซึ่งคำว่าครอบครัวไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้บริหาร แต่หมายถึงทุกคนในองค์กรด้วย”

ด้วยความคิดนี้ในยุคของชนรรค์ จึงมีการขยับและขยายในสิ่งที่อ้วยอันโอสถไม่เคยทำมาก่อน  เริ่มจาก 1. ลุกขึ้นมาสร้างแบรนด์เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่ 2. ขยายไลน์พร้อมออกโปรดักท์ใหม่หลังจากไม่มีมานานมากกว่า 10 ปี และ 3.เดินหน้าสู่ถนนออนไลน์ 

“มีเรื่องตลกจะเล่าให้ฟัง ตอนผมกลับมาหลังเรียนจบจากต่างประเทศ มีใครถามว่าทำงานอยู่ที่ไหน ผมบอกอ้วยอันโอสถนี่ไม่มีใครรู้จักเลย แต่พอเอายาอมสมุนไพรฝาเหลือง ๆ ฝาส้ม ๆ ให้เขาดู เขาก็ร้องอ๋อ 

“เราเริ่มทำโฆษณา เริ่มทำ Music Marketing มีการใช้พรีเซ็นเตอร์ ให้เมื่อพูดถึงอ้วยอันโอสถคนจะนึกถึงและคิดออกว่าเราคือใคร เพราะหากเราไม่ทำ มันจะทำให้แบรนด์เราอาจจะอยู่แค่ยุคอดีต คนปัจจุบันอาจจะไม่อิน และไม่ใช่ Brand Love ที่เขารู้จัก แล้วมันจะยากที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อเรา”

ขณะที่ตัวโปรดักท์ใหม่ตัวแรกหลังจากไม่เคยมีออกมาเลยมากกว่าสิบปี นั่นคือ ‘ยาอมสมุนไพรรสมะขามป้อม’ ซึ่งชนรรค์ต้องใช้เวลาถึง 5 ปีกว่าจะวางจำหน่ายได้ เพราะเขาต้องศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ อาทิ กำลังผลิต เช็คความต้องการของตลาด ไปจนถึงศึกษาเพิ่มขึ้นในเรื่องการขึ้นทะเบียนกับ อย. และกฎหมาย

พา ‘อ้วยอันโอสถ’ สู่แบรนด์อายุร้อยปี โจทย์ที่ท้าทายของทายาทรุ่น 3 ‘ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ’

สำหรับหลักของการพัฒนาโปรดักท์ใหม่นั้น 1. ต้องไม่ทับซ้อนกับสรรพคุณที่สินค้าเดิมมีอยู่ 2. หากสรรพคุณทับซ้อนกันต้องอยู่ในอีกรูปแบบ หรือทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้ได้ง่ายขึ้น และ 3. สินค้าที่ออกมามีกลุ่มลูกค้าใหม่ที่สามารถต่อยอดขยายฐานได้หรือไม่ โดยจะนำมาพัฒนาภายใต้แนวคิดที่ว่า ‘ใช้ง่าย ได้ผล คนเข้าถึงได้’

“ใช้ง่าย หมายถึง หากสินค้าต้องเกี่ยวข้องกับรสชาติจะทำให้มันดีที่สุด เพราะยาไม่ว่าจะดีแค่ไหน แต่ถ้าคนไม่ยอมกลืนลงไป ก็ไม่ใช่ยาที่ดี และรูปแบบของยาต้องใช้ง่ายด้วย เช่น ขมิ้นชันสินค้าขายดีของเราแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ จะเป็นขมิ้นชันบดผงบรรจุในแคปซูลกินครั้งละ 2-4 แคปซูล ตอนนี้เราออกขมิ้นชันพลัส เป็นสารสกัดขมิ้นชันเข้มข้นผสมกับพริกไทยดำ กินแค่เม็ดเดียว 

“ได้ผล คือ ใช้แล้วเห็นผล ส่วนคนเข้าถึงได้ ประเด็นแรก ต้องตั้งราคาเหมาะสม โดยคุณปู่ผมพูดเสมอว่า ‘สมุนไพรไม่ใช่ยาวิเศษ’ ฉะนั้นอย่าตั้งราคาแพงเกินไป เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ ส่วนคำว่าคุณภาพ ปลอดภัย และมาตรฐานต่าง ๆ เป็นพื้นฐานที่ทุกกิจการต้องมีอยู่แล้ว โดยเฉพาะธุรกิจยา ดังนั้นไม่ต้องพูดถึง” 

สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอด 77 ปี และในอนาคตก็ไม่ขอเปลี่ยน

แม้การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย จะเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับทายาทรุ่น 3 อย่างชนรรค์ แต่สิ่งที่อ้วยอันโอสถไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตลอด 77 ปี  นั่นคือ คุณภาพ ความจริงใจต่อผู้บริโภค ไม่โฆษณาเกินความจริง และไม่ขายสินค้าในราคาเกินจริง

“นโยบายของเราตั้งแต่รุ่นคุณปู่ เราไม่คิดถึงจะทำอย่างไรให้ได้ยอดขายมากที่สุด คนที่คิดแบบนั้นเป็นคนที่มองสั้น ๆ แต่เรามองความยั่งยืนอยากให้แบรนด์อยู่ถึงร้อยปี นั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องคิดว่า จะทำอย่างไรต่อไป”

ส่วนเมื่อพูดถึงอ้วยอันโอสถอยากให้คนจดจำอะไร นอกจากเป็นสมุนไพรที่ใช้ง่าย ได้ผล และคนเข้าถึงได้ ชนรรค์ยังอยากให้คนมองการเป็นแบรนด์ที่มีความสมดุลระหว่างแบรนด์เก่าแก่กับโลกสมัยใหม่ หากให้ขยายความเพิ่มก็คือ อ้วยอันโอสถเป็นแบรนด์สมุนไพรที่คง DNA ของความเก่า 77 ปีอยู่ แต่มีรูปแบบที่คนรุ่นใหม่ไม่อายที่จะซื้อ ไม่อายที่จะหยิบมาใช้

“ถามว่า ตอนนี้คนรุ่นใหม่เป็นลูกค้าเราแค่ไหน อันนี้ตอบยาก เพราะก่อนหน้าเราเป็น Distributor ส่งให้ร้านขายยาและโมเดิร์นเทรดทั่วประเทศรวมกว่าหมื่นสาขา ฉะนั้นการเก็บข้อมูลโดยตรงทำยาก แต่ยุคนี้มีออนไลน์ช็อปของตัวเองทั้งทาง Facebook Shopee Lazada Line ทำให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่อายุ 20 ปีต้น ๆ ก็ซื้อของเรามากขึ้น ส่วนกลุ่มเดิมคนมีอายุก็ยังเหนียวแน่น”

สุดท้ายเราทิ้งท้ายคำถามว่า ช่วงเริ่มต้นที่เข้ามารับช่วงต่อธุรกิจ อ้วยอันโอสถเป็นคนแก่ที่ดูแข็งแรงคนหนึ่ง และหลังจากทายาทรุ่น 3 อย่างชนรรค์เข้ามาวุ่นวายเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างในชีวิต ตอนนี้เขาเป็นอย่างไร  ๆ 

ชนรรค์ตอบพร้อมรอยยิ้มว่าปัจจุบันอ้วยอันโอสถได้ลดอายุของตัวเองกลายเป็นคนวัยกลางคนที่แข็งแรงเปิดรับโลก และพร้อมส่งต่อมรดกทางวัฒนธรรมจากคนรุ่นก่อนสู่คนรุ่นใหม่ด้วยการปรับเปลี่ยนข้อมูลหรือรูปแบบให้เหมาะกับยุคเหมาะกับสมัยได้อย่างน่าสนใจ

.

ภาพ : จุลดิศ อ่อนละมุน,อ้วยอันโอสถ