06 มี.ค. 2568 | 17:16 น.
เคยสงสัยหรือไม่ว่า เวลาที่เจอข้อความตามร้านค้า ว่า “ผู้ใดขโมยสินค้า หากจับได้ปรับ 10 เท่า”
หรือ ถ้าทำบัตรจอดรถหายจะปรับ 1,000 บาท ถ้าไม่ยอมจ่ายค่าปรับ ก็จะไม่ให้นำรถออก
เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นเรื่องของ “การที่เอกชนจะบังคับ เอากับเอกชน”
(เอกชนก็คือคนทั่วไป ที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐผู้มีอำนาจหน้าที่ หรือหน่วยงานรัฐ)
คำถามคือ เอกชนมีอำนาจปรับหรือไม่ ?
อีกประเด็นหนึ่ง การที่เอกชนร่างสัญญาว่าหากผิดสัญญา จะปรับเท่านั้นเท่านี้ 10 ล้าน 20 ล้าน
คำถามคือ จะสามารถปรับได้ตามนั้นจริง ๆ หรือ?
เรามาเริ่มทำความเข้าใจก่อนว่า ‘ปรับ’ เป็นหนึ่งในโทษทางอาญา อันประกอบด้วย
1.ประหารชีวิต
2.จำคุก
3.กักขัง
4.ปรับ
5.ริบทรัพย์สิน
การจะปรับได้นั้น ต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ปรับได้ เป็นระวางโทษปรับ
เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 บัญญัติว่า “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่น ให้ยอมให้หรือยอมจะให้ ตนหรือผู้อื่น ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยขู่เข็ญว่า จะเปิดเผยความลับซึ่งการเปิดเผยนั้น จะทำให้ผู้ถูกผูกเห็นหรือบุคคลที่สาม เสียหาย จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท”
หรือ อย่างมาตรา 270 บัญญัติว่า “ผู้ใดใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ ซึ่งเครื่องชั่ง เครื่องตวง หรือเครื่องวัด ที่ผิดอัตรา เพื่อเอาเปรียบในการค้า หรือมีเครื่องเช่นว่านั้นไว้เพื่อขาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
นอกจากในประมวลกฎหมายอาญาแล้วในพระราชบัญญัติที่มีโทษทางอาญาอื่น ๆ จะมีโทษปรับอยู่ เช่น
- พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535
- พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456
- พระราชบัญญัติ การพนัน พ.ศ. 2478
ฯลฯ
ค่าปรับนั้น ต้องชำระต่อศาล หรืออาจมีกฎหมายบางฉบับ กำหนดให้ชำระต่อพนักงานเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ซึ่งตามกฎหมายนั้น ๆ บัญญัติไว้ว่า เมื่อได้ชำระแล้ว คดีอาญาเป็นอันเลิกกัน
การที่มีเอกชน บริษัท หรือห้างร้านเขียนป้ายประกาศห้ามทำเช่นนั้นเช่นนี้ ถ้ากระทำจะปรับ เท่านั้นเท่านี้บาท ประกาศเหล่านั้น ใช้บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ค่าปรับ ตรงนี้ต้องขีดเส้นใต้ ใช้บังคับไม่ได้!!
เช่น กรณีว่าทำบัตรจอดรถหาย ประกาศไว้ว่า ปรับ 1,000 บาท ถ้าผู้ทำบัตรหาย จะไม่ชำระ ก็ใช้บังคับไม่ได้
หากเจ้าของสถานที่ หรือพนักงานรักษาความปลอดภัยจะไม่ยอมให้นำรถออก อาจกลายเป็นการกระทำความผิดฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว หรือความผิดต่อเสรีภาพ
หรือที่มีประกาศว่า “หากลักทรัพย์ ถ้าจับได้ จะปรับจำนวนเท่านั้นเท่านี้” หากผู้กระทำผิดไม่ยินยอมจ่ายค่าปรับ แล้วมีการกักขังหน่วงเหนี่ยว หรือมีการควบคุมตัวผู้กระทำผิดไว้ หรือทำร้ายร่างกาย ผู้ที่กระทำต่อผู้ลักทรัพย์ ก็อาจกลายเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญาได้
หากมีกรณีนั้น เช่น มีการลักทรัพย์เกิดขึ้น ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ที่ถูกต้องคือจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดไปดำเนินการตามกระบวนยุติธรรมทางอาญา ซึ่งแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับตัวไปก็ไม่สามารถลงโทษปรับเองได้ จะต้องทำการสอบสวน สรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการ ส่งศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษ เนื่องจากความผิดฐานลักทรัพย์ กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้
มีความผิดบางประเภทเท่านั้น ที่กฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานตำรวจเปรียบเทียบปรับได้ เช่น ความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก
สรุปก็คือ ความผิดใด ตามพระราชบัญญัติใด ที่ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ ก็จะมีระบุไว้ ถ้าไม่มีระบุไว้ ความผิดนั้น ๆ จะต้องไปสู่ศาล ให้ศาลพิจารณาพิพากษาตามกระบวนการ
ทีนี้มาถึงการปรับในคดีแพ่ง
ค่าปรับในทางแพ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นกรณีการผิดสัญญา หรือมีการชำระหนี้ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเสียหายแก่คู่สัญญาหรือแก่กิจการงานของคู่สัญญา และมีสัญญากำหนดไว้ ให้คู่สัญญาฝ่ายที่ปฏิบัติผิดไปจากสัญญาหรือข้อตกลง ต้องชำระค่าปรับแก่อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นเรื่องระหว่างคู่สัญญา ค่าปรับนี้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้เรียกว่า ‘เบี้ยปรับ’
‘เบี้ยปรับ’ มีบัญญัติไว้ในมาตรา 379 ถึงมาตรา 385 เช่น
มาตรา 379 “ถ้าลูกหนี้สัญญาแก่เจ้าหนี้ว่า จะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ก็ดี หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรก็ดี เมื่อลูกหนี้ผิดนัดก็ให้ริบเบี้ยปรับ ถ้าการชำระหนี้อันจะพึงทำนั้นได้แก่ งดเว้นการอันใดอันหนึ่ง หากทำการอันนั้นฝ่าฝืนมูลหนี้เมื่อใด ก็ให้ริบเบี้ยปรับเมื่อนั้น”
มาตรา 380 วรรคแรก “ถ้าลูกหนี้ได้สัญญาไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาเบี้ยปรับอันจะพึงริบนั้นแทนการชำระหนี้ก็ได้ แต่ถ้าเจ้าหนี้แสดงต่อลูกหนี้ว่าจะเรียกเอาเบี้ยปรับฉนั้นแล้ว ก็เป็นอันขาดสิทธิเรียกร้องชำระหนี้อีกต่อไป”
ในสัญญาบางสัญญาอาจเขียนจำนวนเบี้ยปรับไว้สูงมาก หากกรณีเมื่อมีการผิดสัญญา หรือลูกหนี้ชำระหนี้ไม่ถูกต้องครบถ้วน เบี้ยปรับอาจไม่จำต้องเป็นไปตามกำหนดในสัญญาเสมอไป การจะปรับก็ต้องคำนึงถึงความเสียหายแท้จริง นั่นคือ ต้องดูว่าจริง ๆ แล้ว มีความเสียหายเท่าไรด้วย
ในเรื่องนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 383 บัญญัติว่า “ถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ในการที่จะวินิจฉัยว่าสมควรเพียงใดนั้น ท่านให้พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สิน”
นั่นหมายความว่า แม้จะตั้งค่าปรับจากการผิดสัญญาไว้สูงขนาดไหน ศาลก็จะเป็นผู้พิจารณาว่า ค่าปรับนั้นควรเป็นเท่าไหร่ โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย...
ประเด็นสุดท้าย การฟ้องเรียกค่าเสียหายกัน จะเรียกเท่าไหร่ก็ได้ จะเรียก 100 ล้าน 1000 ล้านก็ได้
แต่ก็ใช่ว่า จะได้ตามที่เรียก
เพราะหากเรื่องไปถึงศาล ศาลก็จะพิพากษาให้ “ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด” (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ม.438*)
ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้ฟ้องต้องจ่ายก่อนเลยคือค่าธรรมเนียมศาล ที่ต้องจ่ายให้ศาลร้อยละ 2 ของทุนทรัพย์ที่เรียกไป แต่ไม่เกิน 2 แสน ถ้าเรียกเกิน 50 ล้านบาท ก็ต้องจ่ายอีกร้อยละ 0.1 ของส่วนที่เกิน และยังต้องมีค่าทนายความอีก ซึ่งอาจขึ้นกับทุนทรัพย์ที่เรียก
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับ หรือ การฟ้องเรียกค่าเสียหาย สิ่งที่จะได้จริง ๆ ไม่ใช่ตัวเลขโต ๆ ดังที่ตะโกนกันออกมาปาว ๆ หรอก
หมายเหตุ *ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้นให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
อนึ่งค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย
เรื่อง: เสาวลักษณ์ สวัสดิ์กว้าน