01 ก.ค. 2567 | 06:29 น.
‘สู้ดิวะ’ หนังสือที่เขียนโดย ‘หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล’ สำหรับเราแล้ว แค่เห็นหน้าปกก็ร้องไห้
แต่ไม่ใช่การร้องไห้เพราะ ‘พลังลบ’ นะ แล้วก็ไม่ใช่ ‘พลังบวก’ ซะทีเดียว เป็นการร้องไห้เพราะสัมผัสได้ถึงความ ‘ทรงพลัง’ ของหนังสือที่เขียนด้วย ‘ชีวิต’ และ ‘หัวใจ’ ของหมอกฤตไทมากกว่า
ในโลกนี้จะมีสักกี่คนกันเชียว ที่เมื่อ ‘ความตาย’ มายืนรออยู่หน้าประตู เขากลับเลือกร้อยเรียงเรื่องราวตลอดชีวิต ถักทอเป็น ‘บทเรียน’ ส่งมอบให้กับคนที่ยังอยู่ เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นได้ออกไปใช้ ‘ชีวิตปกติธรรมดาที่สุดแสนจะล้ำค่า’ ทั้งยังไม่ลืมที่จะใช้แรงกายจากลมหายใจที่แผ่วเบา บอกเล่าอันตรายของ ‘ฝุ่นควันพิษ’ ที่กำลังคร่าชีวิตผู้คนอย่างช้า ๆ โดยไม่เลือกว่าเขาคนนั้นจะเป็นเด็ก เป็นนักกีฬา หรือเป็น ‘หมอ’
บทเรียนสำคัญที่เราได้จากหนังสือเล่มนี้คือ “การได้ใช้ชีวิตปกติธรรมดานั้น เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตแล้ว”
ฟังดูเหมือนจะง่าย แต่ความจริง มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก
ดูอย่างคุณหมอสิ ทั้งพากเพียรจนได้เรียนหมอ เล่นกีฬาจนร่างกายแข็งแรง กำลังมีหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ และค่อย ๆ สร้างชีวิตครอบครัวที่ใฝ่ฝัน จู่ ๆ ‘มะเร็งปอด’ ก็มาเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของเขา จนแทบไม่เหลือความปกติธรรมดาอยู่เลย
หากเรื่องร้าย ๆ แบบนี้เกิดกับใคร แน่นอนสิ่งที่ทุกคนทำคือ ตั้งคำถามในหัวแล้วว่า “ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดกับฉัน?”
คุณหมอเองก็เฝ้าถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดกับเขา แต่เขาไม่เผาเวลาที่เหลือน้อยในชีวิตไปกับการหมกมุ่นอยู่กับคำถามที่ไม่มีคำตอบ
แทนที่จะเลือกมองตัวเองเป็น ‘เหยื่อ’ และปฏิเสธ ‘ความจริง’ ตรงหน้า จนทำให้สภาพจิตใจและความหวังในชีวิตลดลง คุณหมอเลือกจะคิดในมุมมองของ ‘ผู้ชนะ’
ประโยคที่ทำให้คุณหมอพลิกจากเหยื่อผู้มีชะตากรรมอันโหดร้าย กลายมาเป็นผู้ชนะ เป็นประโยคที่แสนเรียบง่ายว่า
“เออ ก็ชีวิตมันเป็นแบบนี้”
พอคิดได้แบบนี้ คุณหมอก็เลิกมองแต่สิ่งที่สูญเสียไปจากการเป็นมะเร็งปอด แต่หันกลับมามองสิ่งที่ยังมีอยู่ในชีวิต ซึ่งความจริงแล้วก็มีอีกตั้งมากมาย
ถึงแม้ในเวลานั้น คุณหมอจะมีก้อนมะเร็งกระจายในหัวและปอด ต้องเผชิญความเจ็บปวดในการรักษา กินยามื้อละเกือบสิบเม็ด ภูมิคุ้มกันต่ำ ตัวบวม นอนได้คืนละไม่ถึงสี่ชั่วโมง ไขมันในเลือดสูง ปวดกระดูก แสบผิว ถ่ายไม่ออก ผมร่วงหมดหัว ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเป็นคนห่วงหล่อ
แต่คุณหมอก็มองว่า ยังดีนะที่ยังเดินได้ กินข้าวอร่อย รับรสชาติได้ปกติ ยังมองเห็น ยังได้ยิน คุยรู้เรื่อง ยังมีคนที่รักรายล้อมรอบตัว ยังเขียนเรื่องราวช่วยชีวิตคนได้อีกมากมาย ยังมีโอกาสได้ทำอะไรอีกตั้งเยอะ
บางคนยังให้คุณหมอเป็นแรงบันดาลใจในการมีชีวิตต่อเลยด้วยซ้ำ
ในเมื่อไม่สามารถหยุดกินยา ในเมื่อเส้นผมที่หลุดร่วงจะไม่กลับคืนมา ที่สำคัญคือไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติ ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ในมุมมองของคุณหมอ “ทุกช่วงเวลาล้วนสำคัญ ทุกวันมีความหมาย ทุกนาทีคือโอกาส”
ดังนั้นแล้ว หากเขาปล่อยให้ทุกลมหายใจของเขาจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ตามสไตล์คนที่มองตัวเองเป็นเหยื่อ เขาจะมองไม่เห็น ‘คุณค่า’ ของการมีชีวิตอยู่เลย แล้วสุดท้ายก็จะไม่ได้สัมผัสความงดงามที่มีอยู่รอบตัวก่อนที่จะจากโลกนี้ไป
“เลือกที่จะมองสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะดีหรือร้ายว่าเป็น ‘ของขวัญ’ แทนที่จะมองสิ่งที่ขาดหาย แต่เราเลือกที่จะมองสิ่งที่มีอยู่ แล้วเอ็นจอยกับมัน” คุณหมอกล่าวไว้ในหนังสืออย่างเรียบง่าย
ไม่ต้องรอให้โรคร้ายมาเยือน ไม่ต้องรอให้มีวันแย่ ๆ เราขอให้คุณเจอ ‘ของขวัญ’ ในชีวิตของตัวเอง ตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ
สวัสดีวันจันทร์ค่ะ
พาฝัน ศรีเริงหล้า