โดราเอมอน เพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

โดราเอมอน เพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

เพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

ในการ์ตูน โดราเอมอนข้ามเวลามาเปลี่ยนแปลงอนาคตของโนบิตะ แต่ในโลกแห่งความจริง โดราเอมอนข้ามเวลามาเปลี่ยนอนาคตของญี่ปุ่น! 3 กันยายน ปี 2112 ในโลกอนาคตที่ยังมาไม่ถึง โดราเอมอน ถือกำเนิดขึ้นในโรงงานแห่งหนึ่งโดยโครงสร้างร่างกายผลิตจากเหล็ก ห่อหุ้มด้วยวัสดุคล้ายผ้าสีฟ้า ก่อนจะอบด้วยไข่จนเป็นสีเหลือง จมูกสีแดงทำจากเชอร์รี และมีใบหูเหมือนแมวโดยทั่วไป น้ำหนักแรกเกิด 129.3 กิโลกรัม ส่วนสูง 129.3 เซนติเมตร กระโดดได้สูง 129.3 เซนติเมตร มีพละกำลัง 129.3 แรงม้า และวิ่งได้เร็ว 129.3 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทว่าโชคร้าย ระหว่างขบวนการผลิตมีการไล่จับโจรร้ายกลุ่มหนึ่งบริเวณน่านฟ้าเหนือโรงงาน ทำให้เกิดสภาวะแปรปรวนของเครื่องจักรกล เกิดเป็นกระแสไฟฟ้าช็อตโดราเอมอนจนน็อตหลุดหนึ่งตัว และร่วงหล่นไปยังโรงเผาขยะ การกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงทำให้โดราเอมอนกลายเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ สร้างความผิดพลาดตลอดเวลา ทั้งยังแปลกแยกจากหุ่นรุ่นเดียวกัน ครั้นถึงช่วงเวลาจบการศึกษาหรือที่โลกยุคสมัยใหม่เรียกว่า “โรบอทออดิชัน” หุ่นยนต์ทุกตัวต้องโชว์ความสามารถเพื่อให้มนุษย์เลือกกลับบ้านไปใช้บริการ โดราเอมอนเลือกแสดงความสามารถในการเลี้ยงเด็กแต่เกิดความผิดพลาดจนน่าอับอาย โชคดีที่เขาได้รับเลือกจากเด็กทารกคนหนึ่งในวินาทีสุดท้าย เด็กคนนั้นคือ โนบิ เซวาชิ (บางตำนานกล่าวว่าโดราเอมอนถูกขายทอดตลาดเพราะเป็นสินค้าไม่ได้คุณภาพ ก่อนที่พ่อแม่ของเซวาชิจะซื้อไปเลี้ยงที่บ้าน แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร โดราเอมอนก็ได้มาอยู่กับเซวาชิอยู่ดี)   โดราเอมอน เพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ   เวลาผ่านไปหลายปี เซวาชิเติบโตเป็นวัยรุ่นชาญฉลาด วันหนึ่งเขาปั้นดินน้ำมันรูปโดราเอมอนเป็นของขวัญแก่หุ่นแมวสีเหลือง ระหว่างการตกแต่ง เขาสั่งหุ่นยนต์หนูให้ตกแต่งหูดินปั้นให้เหมือนจริง ทว่าเจ้าหุ่นยนต์หนูกลับเข้าใจผิดแล้ววิ่งไปกัดแทะหูโดราเอมอนตัวจริงจนขาดแหว่ง หุ่นยนต์แมวสีเหลืองที่กำลังนอนหลับจึงตกใจตื่นจนตัวซีด และนั่นก็เป็นสาเหตุให้โดราเอมอนเกลียดกลัวหนูมาถึงปัจจุบัน ถึงแม้โดราเอมอนจะเดินทางไปหาหมอเพื่อซ่อมแซมใบหู แต่ความผิดพลาดของเครื่องจักรซ่อมแซมก็ทำให้หูของเขาต้องหายไปตลอดกาล โดราเอมอนเสียใจมากจึงหนีไปนั่งอมทุกข์อยู่คนเดียวริมทะเล แต่ความซวยของเขายังไม่หมด เมื่อเขาต้องการดื่มยาร่าเริงเพื่อปลอบประโลมใจ แต่กลับหยิบยาสร้างความเศร้าแทน ทำให้เขาทุกข์ใจหนักกว่าเดิม โดราเอมอนร้องไห้จนกล่องเสียงแตกกลายเป็นเสียงแหบแห้ง น้ำตาที่ไหลออกมาทั้งคืนละลายสารเคลือบสีเหลืองออกจนหมด  กลายเป็นโดราเอมอนสีฟ้าแบบที่เราคุ้นเคย   โดราเอมอน เพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ   แล้ว โดราเอมอน มาเจอ โนบิตะ ได้อย่างไร? เช้าวันปีใหม่ศตวรรษที่ 20 ขณะที่ โนบิ โนบิตะ กำลังนอนกินขนมโมจิ วาดฝันว่าปีใหม่นี้จะมีแต่เรื่องดีๆ แต่กลับมีเสียงดังมาจากลิ้นชักโต๊ะว่า “มันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอก อีก 30 นาทีนายจะถูกแขวนคอ และอีก 40 นาทีจะถูกไฟลวก” จากนั้นโดราเอมอนก็ปรากฏตัว “ฉันคือผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตให้กับนาย เพราะตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป จนกว่านายจะตาย ชีวิตนายจะพบแต่ความลำบาก” นี่คือประโยคแรกที่โดราเอมอนพูดกับโนบิตะ แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรเพิ่มเติม โดราเอมอนหนีลงลิ้นชัก ก่อนจะกลับมาพร้อมเซวาชิ พวกเขาแนะนำตัวว่ามาจากโลกอนาคต-ศตวรรษที่ 22 โดยเซวาชิมีศักดิ์เป็น ‘หลานของหลาน’ ของโนบิตะ เซวาชิบอกว่า เขาส่งโดราเอมอนมายังศตวรรษที่ 20 เพื่อแก้ไขอดีตและเปลี่ยนชะตากรรมให้กับโนบิตะ เพราะในอนาคตโนบิตะจะทำให้ตระกูลโนบิ ตกต่ำถึงขีดสุด หลังจากตกงาน ล้มละลาย และหนี้ท่วมตัว “ปู่ทำให้ผมได้ค่าขนมปีละ 15 เยนเอง” เซวาชิตัดพ้อกับโนบิตะ พร้อมนำสมุดภาพอนาคตที่โนบิตะแต่งงานกับ ไจโกะ น้องสาวของ ไจแอนท์ เพื่อนร่างยักษ์ที่ชอบแกล้งเขา แทนที่จะเป็น ชิซึกะ เพื่อนสาวที่เขาหลงรัก แม้ตอนแรกโนบิตะจะไม่เชื่อคำพูดของโดราเอมอน ทว่าคำนายต่างๆ กลับเกิดขึ้นจริง ท้ายที่สุดโนบิตะก็ชื่อใจ และซาบซึ้งถึงความห่วงใยจากหลานของหลานคนนี้ ก่อนเซวาชิจะกลับโลกอนาคต เขาบอกโนบิตะว่า “อนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ” และนั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ ‘อันดี’ ระหว่างโนบิตะกับโดราเอมอน ด้วยสถิติการยืมของวิเศษ 1,178 ครั้ง ทำโดราเอมอนพังเสียหาย 578 ครั้ง ใช้ของวิเศษเพื่อตีสนิทชิซึกะ 542 ครั้ง และเกือบทำให้โลกแตก 207 ครั้ง เท่านั้นเอง   โดราเอมอน เพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ   น่าเสียดายที่เรื่องราวความสัมพันธ์ของโดราเอมอนและโนบิตะยังไม่มีจุดจบ (เพราะความเป็นจริงคือผู้เขียนการ์ตูนโดราเอมอนเสียชีวิตก่อน) แต่หลายๆ คนทำนายอนาคตออกมาสองทิศทาง อย่างแรกคือเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงความฝันของโนบิตะ เรื่องราวโดราเอมอนไม่มีจริง เพราะโนบิตะเป็นเด็กหนุ่มป่วยใกล้ตายที่นอนติดในโรงพยาบาลมานานแรมปี การผจญภัยต่างๆ เกิดจากความอยากจะมีเพื่อนขณะนอนป่วย พอโนบิตะตื่นขึ้นมา เขาพบเพียงพ่อแม่และเพื่อนๆ ยืนรายล้อมอยู่รอบเตียง ครั้นถามถึงโดราเอมอน ทุกคนกลับปฏิเสธว่าไม่รู้จัก โนบิตะจึงนึกย้อนเรื่องราวทั้งหมดระหว่างเขากับโดราเอมอน ก่อนจะหลับไปตลอดกาล นับเป็นอนาคตที่น่าเศร้าและสะเทือนใจอย่างยิ่ง ส่วนอนาคตอีกแบบที่ดูสดใสมากกว่า คือถึงวันที่โดราเอมอนแบตเตอรี่หมด โนบิตะปรึกษากับ โดเรมี น้องสาวของโดราเอมอน และค้นพบว่า ถ้าเปลี่ยนแบตเตอรี่ความทรงจำทั้งหมดของโดราเอมอนจะหายไป เนื่องจากแบตเตอรี่สำรองไฟเก็บความจำไว้ที่หู ซึ่งโดราเอมอนไม่มีหู รวมทั้งการใช้เครื่องย้อนเวลานั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย การจะส่งกลับไปซ่อมในโลกอนาคตจึงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ โนบิตะจึงฮึดลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง หันมาตั้งใจเรียนจนเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก และสามารถหาวิธีเปลี่ยนแบตเตอรี่ โดยที่ความทรงจำไม่หายไปได้เป็นผลสำเร็จ ทั้งยังได้แต่งงานกับชิซึกะ มีลูกชายด้วยกันชื่อ โนบิสึเกะ และอยู่ด้วยกันอย่างมีสุข   โดราเอมอน เพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ   กลับมาสู่โลกแห่งความจริง ถึงแม้โดราเอมอนจะเป็นเพียงจินตนาการของ ฟุจิโอะ ฟุจิโกะ นามปากกาของสองนักวาด ฮิโรชิ ฟุจิโมะโตะ และ โมโตะ อาบิโกะ (ต่อมาแยกนามปากกากันเป็น Fujiko F. Fujio และ  Fujiko Fujio A. ตามลำดับ) ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารเด็ก แต่เรื่องราวของเขากลับครองใจนักอ่านมาหลายทศวรรษจนเรียกได้ว่าเป็น 'การ์ตูนอมตะ' เรื่องหนึ่งก็ว่าได้ โดราเอมอนเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1969 รวมเล่มแรกวางจำหน่ายในปี 1974 โดยได้รับการจดบันทึกสถิติว่ามียอดตีพิมพ์สูงถึง 750 ล้านเล่มในปี 1994 ขณะที่เวอร์ชันภาพยนตร์ เริ่มสร้างตอนพิเศษออกฉายครั้งแรกในเดือน เมษายน 1980 ในชื่อ "ตะลุยแดนไดโนเสาร์" และมีการสร้างตอนพิเศษเป็นธรรมเนียมทุกปี เช่น ในปีนี้กับลำดับที่ 38 ตอน "เกาะมหาสมบัติของโนบิตะ" ซึ่งทำรายได้มากถึง 4.44 พันล้านเยนในเวลา 32 วัน และปีหน้าเตรียมวางแผนลำดับที่ 39 แล้ว กับตอน "โนบิตะสำรวจดินแดนจันทรา" โดราเอมอนเป็นที่ประทับใจของคนญี่ปุ่นมากแค่ไหน ดูได้จากญี่ปุ่นเองก็เลือกโดราเอมอนเป็นทูตพิเศษประจำการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ซึ่ง ศศิภา คำก่ำ เขียนบทวิเคราะห์ในประชาไท ไว้ว่า จุดที่คนอาจมองว่าเทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์ หรือเครื่องย้อนเวลาอาจดูไร้สาระเพราะไม่มีอยู่จริง แต่ในความไร้สาระนี้ หากไตร่ตรองดูแล้ว โดเรมอนเป็นตัวการ์ตูนที่เกิดจากเทคโนโลยีทันสมัย เมื่อใครมีปัญหาก็สามารถเรียกใช้โดเรมอนได้ทันที และนั่นคือการแทนภาพลักษณ์ของคนญี่ปุ่นที่ไวต่อการมองอนาคตในเรื่องนวัตกรรม “ญี่ปุ่นสามารถฟื้นฟูประเทศหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สอง อดีต (Past time) หรือประวัติศาสตร์ชาติตรงนี้ต่างหากที่ญี่ปุ่นจดจำและเอามาเตือนสติ การตกอยู่ในสถานะของผู้แพ้สงครามและพบกับความสูญเสียจนทุลักทุเล กลายเป็นภาพที่แสดงว่า การอยู่กับปัจจุบันและการมองอนาคตที่จะเกิดขึ้นนั้นจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์อดีตที่ตัวเองเผชิญ สงครามจึงเป็นบทเรียนสำคัญที่ญี่ปุ่นจะไม่หันกลับไปอีก แต่เน้นการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมซึ่งสร้างมูลค่ามหาศาลแทน ความคิดของคนญี่ปุ่นดูเหนือกว่า และเป็นไปได้ เห็นได้จากการคิดค้นหุ่นยนต์เพื่อมาช่วยเหลือคนภายในประเทศ สังคมญี่ปุ่นจึงเป็นสังคมที่สอนให้รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองคิด” โดราเอมอนจึงเปรียบเสมือนเครื่องสะท้อนความสำเร็จของญี่ปุ่นในการพลิกฟื้นประเทศด้วยเทคโนโลยี เช่นเดียวกับโนบิตะพระเอกไร้ความสามารถ ดูอ่อนแอน่าเวทนา เปรียบเสมือนตัวแทนคนญี่ปุ่น (ยุคหลังสงครามโลก) ที่คาดหวังว่า “วันหนึ่งเราจะมีชีวิตที่ดี” มันก็เหมือนอย่างที่เซวาชิบอกโนบิตะนั่นแหละว่า “อนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ”   ที่มา