21 ธ.ค. 2561 | 14:39 น.
ในบรรดานักแสดงหน้าใหม่ คงไม่มีใครมีกระแสโด่งดังได้เท่ากับ ทิโมธี ชาลาเมต์ อีกแล้ว ด้วยรูปลักษณ์หน้าสวย ตาคม หุ่นเพรียวลม ทำให้เขาถูกใจแม่ยก/พ่อยกทุกเพศทุกวัยทั่วโลก กระทั่งสื่อใหญ่เมืองนอกยังเรียกเขาว่า “เจมส์ ดีน” ประจำยุคสมัยนี้เลยทีเดียว หลายคนอาจรู้จักเขาจากการแสดงนำในภาพยนตร์ Call Me by Your Name (2017) แต่น้องทิมอยู่ในวงการการแสดงมาตั้งแต่เด็ก เขาเติบโตในครอบครัวศิลปินโดยแท้ โดยคุณแม่และคุณยายเป็นนักเต้นละคร, พี่สาวเป็นนักเต้นบัลเล่ต์และนักแสดง, คุณน้าเป็นนักเขียน, คุณลุงเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ และมีคุณตาเป็นคนเขียนบท การอยู่ในครอบครัวศิลปิน เขาจึงเลือกเรียนโรงเรียนการแสดงชื่อดัง LaGuardia High School of Music & Art and Performing Arts ทำให้เขามีโอกาสได้แสดงละครเวที Prodigal Son จนได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมสาขาละครเวทีจาก Lucille Lorten Award มาครอง “ตอนผมเข้าเรียนที่ LaGuardia ผมรู้ทันทีว่าสามารถจริงจังกับการแสดงได้เต็มที่ ยิ่งผมพยายามมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น” จากนั้นนักแสดงวัยละอ่อนก็เริ่มออกแสดงภาพยนตร์โฆษณา และมีบทบาทมากขึ้นในซีรีส์โทรทัศน์ Homeland ตามมาด้วยผลงานภาพยนตร์ เช่น Men, Women & Children (2014), Interstellar (2014), One & Two (2015) และ Miss Stevens (2016) ก่อนจะโด่งดังเป็นพลุแตกในภาพยนตร์ Call Me by Your Name “หลังจาก Call Me by Your Name ออกฉายที่ซันแดนซ์เมื่อต้นปี 2017 ผมก็เดินทางไม่หยุดเลย ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะยังไงต่อ เพียงแต่ผมชอบการแสดง อันที่จริงผมยังไม่ชินกับการแสดงหนังหรอกนะ ผมไม่ใช่คนที่ดูหนังเยอะ ผมโตมากับละครเวทีและถนัดแสดงละครเวทีมากกว่า แต่จากนี้ไปชีวิตผมคงเปลี่ยนไป” ในเรื่องเขารับบท “เอลิโอ” เด็กหนุ่มวัย 17 ที่มีความสัมพันธ์กับ “โอลิเวอร์” อาจารย์มหาวิทยาลัยหนุ่มที่เข้ามาช่วยงานวิจัยของคุณพ่อ เกิดเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ที่เรียบง่ายอ่อนหวาน ก่อนจะจบลงด้วยหัวใจพังทลาย ทิ้งไว้เพียงอารมณ์รักแรกที่เขาไม่อาจก้าวข้าม หนังได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่บวกเป็นอย่างมาก ชนะรางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมมาครอง ทว่าสิ่งที่เป็นที่จดจำมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “ฉากลูกพีช” ในตำนาน อีกหนึ่งผลงานการแสดงที่น้องทิมแสนภาคภูมิใจ “หนังเรื่องนี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างธรรมชาติของชีวิตกับการเฉลิมฉลองความรัก ความรักที่ไร้พรมแดนทางข้อจำกัดใดๆ ได้รับการเฉลิมฉลองผ่านความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย ผู้ชายกับผู้หญิง และผู้ชายกับลูกพีช” เขากล่าว “ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับการปลดปล่อยตัวตน โดยเฉพาะความปรารถนาที่จริงแท้ออกมา มันไม่ใช่เรื่องผิดหรอกครับ ถ้าเราจะเปิดตัวเองและเผยมันออกมาให้คนอื่นได้เห็น จริงๆ แล้วบางทีมันดูเป็นการกระทำที่มีเสน่ห์และงดงามเสียด้วย” การแสดงที่ถ่ายทอดถึงอารมณ์อันอ่อนไหว และความเสียวซ่านชวนฝันในฉากนั้น ทำให้นักแสดงนำร่วม อาร์มี แฮมเมอร์ ผู้รับบท โอลิเวอร์ ยังเอ่ยปากชม “ผมถึงกับต้องถามเขาว่า ‘คุณทำแบบเมื่อกี้นี้ได้ยังไง มันน่าเหลือเชื่อมาก อารมณ์ ความอ่อนไหว และการถ่ายทอดที่ราวกับเผยความในใจออกมา’” เช่นเดียวกับผู้กำกับ ลูกา กัวดาญิโน่ (ที่ทดลองเล่นฉากนี้เองด้วย) กล่าวชื่นชมน้องทิมว่า “ครั้งแรกที่เราได้พบกัน ผมก็รู้สึกได้ทันทีครับว่าเด็กคนนี้ต้องมีดีแน่ๆ เขาเป็นคนที่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ และมีความทะเยอทะยานในการเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังเป็นเด็กหนุ่มที่ใสซื่อและอ่อนโยนด้วย องค์ประกอบทั้งสองด้านนี้ทำให้เขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม” ความสำเร็จของ Call Me by Your Name เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาเพียงข้ามคืน ทิโมธี ชาลาเมต์ เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมด้วยอายุเพียง 22 ปีเท่านั้น รวมทั้งการต้องออกจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย หลังจากเรียนได้แค่ปีเดียว เพื่อย้ายไปเรียนที่ NYU Gallatin School of Individualized Study ด้วยเหตุผลในการจัดตารางเวลาเรียนและการแสดงได้อย่างลงตัว “ผมเสียใจมากที่ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เนื่องจากการได้เข้าเรียนที่นั่นหมายถึงคุณต้องตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง คุณต้องโฟกัสไปที่ตำราและงานวิชาการ แต่เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผมต้องเลือกแล้วว่าตอนนี้ผมอยากโฟกัสกับอะไรกันแน่” และแน่นอน สิ่งที่เขาโฟกัสคือเส้นทางอาชีพนักแสดง “สำหรับผมมันชัดเจนมากว่าไม่อยากเรียนต่อ แต่มันก็เป็นหนึ่งในความไม่มั่นคงทางจิตใจที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตผมเช่นกัน ผมไม่อยากมองกลับไปที่ตัวเองใน 6 ปีข้างหน้าแล้วมานั่งเสียดายว่า ทำไมตอนนั้นโง่ได้อีกหรือไม่ลองท้าทายตัวเองดู” ล่าสุดเรากำลังจะได้เห็นผลงานการแสดงของน้องทิมอีกครั้งในภาพยนตร์ Beautiful Boy ที่สร้างจากบทบันทึกความทรงจำ 2 เล่ม “Beautiful Boy: A Father’s Journey Through His Son’s Addiction” และ “Tweak” บอกเล่าเรื่อวราวของคุณพ่อ เดวิด เชฟฟ์ ที่ต้องรับมือกับ นิค เชฟฟ์ ลูกชายที่กำลังเผชิญหน้ากับการอาการติดยาและไม่สามารถช่วยอะไรลูกชายได้ “มันเป็นหนังที่บอกเล่าถึงผลกระทบของการใช้ยาเสพติด มันจะเผยให้คุณเห็นถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม มันเป็นเรื่องราวที่ไม่มีใครอยากพูดถึง และเราก็ต้องการเผยสิ่งเหล่านี้ให้ทุกคนเห็น ให้รู้สึกถึงความน่ากลัวของการใช้ยา และความรู้สึกอันย่ำแย่ของผู้ที่ต้องการเลิกใช้มัน” เพื่อให้เข้าใจสภาวะผู้ติดยา ทิมมีเลือกหาข้อมูลจาก YouTube เพื่อนำไปใช้อ้างอิงกับการแสดง ประกอบกับการใช้เวลาอยู่ร่วมกับผู้ใช้ยา เพื่อเข้าใจอาการติดยาจริงๆ เพราะบทที่เขาแสดงไม่ใช่ผู้ติดยาทั่วไป แต่คือมนุษย์คนหนึ่งที่ชื่นชอบการใช้ยาเสพติด “มันจะรู้สึกอย่างไร ถ้าหัวใจของคุณอยู่ที่หนึ่ง สมองของคุณอีกเรื่องหนึ่ง และมือของคุณกำลังทำอีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพจิตใจของมนุษย์คนหนึ่งที่แทบจะแตกสลาย และความเป็นไปได้ในการทำให้มันกลับมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้งโดยยังคงรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้” สำหรับเขาแล้ว Beautiful Boy เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ควรสร้างออกมาให้คนดูเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งไม่เพียงเฉพาะคนในอเมริกาเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงคนทั่วโลก ให้ทราบถึงความอันตรายของยาเสพติด รวมไปถึงครอบครัวที่เมินเฉยลูกๆ ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการสื่อสารภายในครอบครัว วันที่ 27 ธันวาคมนี้ ทิมมีจะมีอายุครบ 23 ปีบริบูรณ์ ด้วยความสำเร็จในวัยละอ่อนเพียงเท่านี้ ทำให้เส้นทางอาชีพของเขากรุยทางไว้ล่วงหน้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Little Women ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ เกรตา เกอร์วิก จาก Lady Bird (2017), The King ในบทกษัตริย์เฮนรี่ที่ 5 ที่จะต้องเผชิญหน้ากับ โรเบิร์ต แพททินสัน, รวมทั้ง Dune หนังมหากาพย์ไซไฟอวกาศโดย เดอนีส์ วิลเนิฟ จาก Blade Runner 2049 (2017) สำหรับเขาแล้ว ถ้าไม่ได้แสดงภาพยนตร์ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอาชีพอะไรอีกแล้ว
“ด้วยสถานะที่ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ผมก็แค่ต้องหมั่นร่วมงานกับผู้กำกับเก่งๆ เข้าไว้ ถ่ายทอดเรื่องราวเจ๋งๆ ออกมาให้ดี รับบทบาทหลากหลายที่ทั้งท้าทายและซับซ้อนเพื่อขยายขอบเขตของความสามารถออกไปเรื่อยๆ ผมแค่อยากทำให้ตัวเองยังรู้สึกสดใหม่และตื่นเต้นกับมันอยู่เสมอ”
ที่มา