21 ธ.ค. 2561 | 17:56 น.
เมื่อ "The King and I" ละครเพลงโดย ริชาร์ด ร็อดเจอร์ส (Richard Rodgers) และ ออสการ์ แฮมเมอร์สตีนที่ 2 (Oscar Hammerstein II) [ดัดแปลงจากนิยาย "Anna and the King of Siam" ของ มากาเร็ต แลนดอน ซึ่งดัดแปลงมาจากบันทึกความทรงจำของ "แหม่มแอนนา" ครูฝรั่งวังหลวง สมัยรัชกาลที่ 4 อีกทอดหนึ่ง] เปิดตัวเป็นครั้งแรกที่โรงละครเซนต์เจมส์ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1951 ชื่อของ เกอทรูด ลอเรนซ์ (Gertrude Lawrence) นักแสดงละครเวทีชื่อดังในสมัยนั้นคือชื่อที่เด่นที่สุด ใหญ่ที่สุดบนโปสเตอร์โฆษณา ในฐานะผู้รับบทแหม่มแอนนาคนต้นเรื่อง และทำให้เธอได้รับรางวัลโทนีจากผลงานครั้งนี้ ส่วนนักแสดงที่รับบทเป็น "คิงมงกุฎ" เป็นเพียงชื่อรองร่วมกับนักแสดงตัวประกอบอื่น ๆ อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นราวปีกว่า ๆ ลอเรนซ์ก็เสียชีวิตลงด้วยวัย 54 ปี จากโรคมะเร็งตับ ทีมโปรดักชันก็เปลี่ยนให้ "คิงมงกุฎ" กลายมาเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง เมื่อความยอดเยี่ยมของ ยูล บรีนเนอร์ (Yul Brynner) ผู้รับบทพระเจ้ากรุงสยาม (ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโทนีในฐานะนักแสดงละครเพลงสมทบยอดเยี่ยมปีเดียวกับลอเรนซ์) กลายเป็นสิ่งดึงดูดความนิยมให้กับการแสดงชุดนี้มากที่สุด เดิมที ยูล บรีนเนอร์ ไม่ใช่ตัวเลือกแรกในบทบาทของคิงมงกุฎ ซึ่งแม้จะเป็นตัวละครสมทบ แต่ร็อดเจอร์สและแฮมเมอร์สตีนอยากจะได้นักแสดงละครเวทีที่มีชื่อเสียงพอสมควรมาช่วยเสริมความโดดเด่นให้กับลอเรนซ์ แต่ตัวเลือกแรกๆ อย่าง เร็ก แฮร์ริสัน ซึ่งรับบทคิงมงกุฎมาก่อนในรูปแบบภาพยนตร์เมื่อปี 1946 ไม่ว่าง และเมื่อพวกเขาได้เห็นการออดิชันที่น่าประทับใจ ก็ทำให้พวกเขาไม่ลังเลที่จะเลือกบรีนเนอร์ให้มารับบทนี้ สมัยที่บรีนเนอร์ยังมีชีวิตอยู่ ประวัติความเป็นมาของเขาเป็นยังไงแน่ไม่ค่อยมีใครรู้ เพราะเขามักจะเล่าประวัติตัวเองเปลี่ยนไปเรื่อย แต่งเติมไปเรื่อย จนไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนไม่จริง? เขาเคยบอกว่าตัวเองเกิดบนเกาะซากาลิน (Sakhalin) นอกชายฝั่งไซบีเรียใกล้กับญี่ปุ่น เป็นลูกของคนงานเหมืองชาวมองโกเลียกับแม่ที่เป็นยิปซีเชื้อสายโรมานี (Romani-ชนเผ่าเร่ร่อนจากตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งส่วนใหญ่อพยพเข้าไปอยู่ในยุโรป) บางทีก็บอกว่าพ่อเขาเป็นญี่ปุ่น หรือสวิส แต่จากหนังสือชีวประวัติที่เผยแพร่เมื่อปี 1989 หลังเขาเสียชีวิตไปแล้ว 4 ปี ลูกชายของเขา ร็อค บรีนเนอร์ (Rock Brynner) เล่าว่า ยูล บรีนเนอร์ เกิดที่วลาดิวอสต็อก เมื่อปี 1920 มีพ่อเป็นวิศวกรเชื้อสายรัสเซียและสวิส กับแม่ชาวรัสเซียที่มีเชื้อสายบูร์ยัต (Buryat-กลุ่มย่อยที่อยู่ตอนเหนือสุดของชนเผ่ามองโกล) พ่อของเขาต้องเดินทางบ่อย ๆ และสุดท้ายก็ไปมีหญิงอื่นทิ้งครอบครัวไป แม่ของเขาจึงพาลูก ๆ ย้ายไปอยู่ฮาร์บินในแมนจูเรีย เมื่อความตึงเครียดระหว่างจีนกับญี่ปุ่นคุกรุ่นขึ้น เธอจึงพาครอบครัวย้ายไปอยู่ปารีสในปี 1932 ที่ฝรั่งเศส บรีนเนอร์เริ่มเล่นกีตาร์ในไนต์คลับ และฝึกเล่นกายกรรม แต่เมื่อได้รับบาดเจ็บที่หลัง เขาจึงหันมาเอาดีกับการแสดงแทน และย้ายตามแม่ไปใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ เมื่อปี 1940 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาทำงานเป็นผู้ประกาศวิทยุภาษาฝรั่งเศสให้กับสำนักงานข่าวสารสงครามของสหรัฐฯ ซึ่งทำโฆษณาชวนเชื่อส่งสัญญาณไปถึงฝรั่งเศสที่ถูกยึดครองโดยฝ่ายอักษะ พร้อมกับเรียนการแสดงและเริ่มมีโอกาสได้แสดงบทบาทเล็ก ๆ ในละครบรอดเวย์ตั้งแต่ปี 1941 แต่หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้มีงานแสดงมากนักนอกจากการร่วมแสดงในละครเรื่อง Lute Song กับ แมรี มาร์ติน นักแสดงบรอดเวย์ชื่อดังในปี 1946 และเคยไปคัดตัวแสดงหนังกับทาง Universal ในปี 1947 แต่ถูกปฏิเสธเพราะเขาดูเหมือน "ชาวตะวันออก" มากเกินไป หลังจากนั้น บรีนเนอร์ได้หันไปเป็นผู้กำกับละครทางโทรทัศน์ซึ่งถือเป็นยุคบุกเบิกของวงการ และมีผลงานกำกับภาพยนตร์ชิ้นแรกออกมาในปี 1949 เมื่อมาร์ตินรู้ว่า ร็อดเจอร์สและแฮมเมอร์สตีนกำลังเตรียมหานักแสดงสำหรับ The King and I เธอจึงแนะนำให้บรีนเนอร์ไปคัดตัวแสดงกับเขาด้วย ตอนแรกบรีนเนอร์ไม่ค่อยอยากจะกลับไปรับงานแสดงอีก หลังเริ่มมีที่ทางในวงการในฐานะผู้กำกับแล้ว แต่เมื่อได้อ่านบทของคิงมงกุฎแล้วเขาก็ตัดสินใจไปคัดตัว ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาดังเป็นพลุแตก การแสดงของบรีนเนอร์จับใจผู้ชมด้วยเสียงที่ก้องกังวาน ความมีเสน่ห์และเซ็กซี่แปลกตาด้วยหัวที่โล้นเตียนจากการโกนผมเพื่อรับบทนี้ และกลายมาเป็นตำนานของบรอดเวย์ โดยในระหว่างปี 1951 ถึง 1954 บรีนเนอร์ขึ้นแสดงในบรอดเวย์ในฐานะคิงมงกุฎไป 1,246 ครั้ง และได้แสดงในเวอร์ชันภาพยนตร์เมื่อปี 1956 พร้อมรับรางวัลออสการ์ในฐานะนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม หลังจากนั้น บรีนเนอร์ยังได้รับบทสำคัญ ๆ ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น The Ten Commandments, Anastasia, The Brothers Karamazov และ The Magnificent Seven เมื่อความนิยมในฝั่งจอเงินเริ่มลดลง บรีนเนอร์กลับไปรับบทคิงมงกุฎอีกครั้งในฉบับละครโทรทัศน์ในปี 1972 และในฉบับละครบรอดเวย์ที่กลับมาสร้างใหม่อีกสองครั้งเมื่อปี 1977 และ 1985 (ซึ่งเขาได้รางวัลโทนีเป็นกรณีพิเศษมาครองอีกตัว) รวมแล้วเขาขึ้นเวทีในฐานะคิงมงกุฎมากถึง 4,625 ครั้ง จนทำให้ "คิงมงกุฎ" กับ ยูล บรีนเนอร์ เป็นตัวตนที่ผู้ชมจำจนติดตา การเล่นบทนี้ซ้ำ ๆ ทำให้บรีนเนอร์มักจะถูกตั้งคำถามว่า เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคิงมงกุฎไปแล้วหรือเปล่า? บรีนเนอร์ตอบคำถามนี้ในปี 1984 ว่า "เป็นคำถามที่โง่มาก มันแสดงให้เห็นถึงความไม่รู้ประสาของคนตั้งคำถาม ถ้าผมกลับบ้านไปเจอภรรยาในฐานะพระเจ้ากรุงสยาม ผมจะใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไง ผมจะทำการแสดงต่อได้ยังไง ผมไม่เคยเห็นว่าตัวเองคือพระองค์ ยกเว้นแต่ตอนที่อยู่บนเวที" (The New York Times) ขณะที่หนังสือของร็อค ลูกชายบรีนเนอร์ ชี้ว่า การที่บรีนเนอร์ผู้พ่อต้องรับบทบาทเพียงบทเดียวแทบทั้งชีวิต (ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ แต่หลายสตูดิโอปฏิเสธที่จะให้เขาเล่นบทบาทอื่นเพราะรูปลักษณ์ของเขา) ก็ทำให้เขาติดความหยิ่งยะโสของตัวละครตัวนี้มาอย่างเลี่ยงไม่ได้ นอกจากงานแสดงแล้ว บรีนเนอร์ยังมีความสามารถในการถ่ายภาพ เคยรับงานถ่ายภาพเป็นรายชิ้นจากนิตยสาร Life และเขายังชอบทำกิจกรรมทางสังคมช่วยเหลือ "ผู้อพยพ" ด้วยกัน ทั้งเคยเป็นที่ปรึกษาพิเศษให้กับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เคยทำสารคดีค่ายผู้ลี้ภัยในยุโรปและตะวันออกกลาง และเคยรับตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ในงานประชุมชาวยิปซีจาก 22 ชาติในปี 1977 ซึ่งเรียกร้องให้สังคมยุติการมีอคติต่อพวกเขา ยูล บรีนเนอร์ เริ่มสูบบุหรี่มาตั้งแต่เด็ก ๆ มาเลิกได้เมื่อปี 1971 ก่อนมารู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดในปี 1983 เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีแสดงเป็นคิงมงกุฎครั้งที่ 4,000 เขาจำเป็นต้องหยุดการทัวร์ทั่วประเทศเพี่อรักษาตัว แต่บรีนเนอร์ก็ไม่ปล่อยให้ความเจ็บป่วยเป็นอุปสรรค เขาเลือกที่จะกลับมารับการแสดงอีกครั้ง จนทำสถิติขึ้นแสดงครั้งที่ 4,625 ในบรอดเวย์เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน 1985 และเสียชีวิตลงในวันที่ 10 ตุลาคม ปีเดียวกัน โดยก่อนที่จะเสียชีวิตเพียงไม่กี่วัน เขาได้บันทึกวิดีโอเตือนให้คนเห็นถึงอันตรายของการสูบบุหรี่เป็นครั้งสุดท้าย "ตอนนี้ผมกำลังจะตาย ผมขอบอกคุณว่า อย่าสูบบุหรี่ ไม่ว่ายังไงก็ตาม อย่าสูบ ถ้าเมื่อก่อนผมไม่ได้สูบ วันนี้เราก็ไม่ต้องมีคุยเรื่องมะเร็ง ผมเชื่ออย่างนั้น"