26 ม.ค. 2562 | 22:05 น.
ผลออกมาแล้ว กับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของ “เฌอปราง อารีย์กุล” กัปตัน BNK48 หรือ “แคปเฌอ” ของใครหลายๆ คน กับการเป็นผู้ชนะเลือกตั้ง BNK48 6th Single senbatsu general election ที่แฟนๆร่วมเป็นผู้กำหนดชะตาของเหล่าไอดอลจาก BNK48 โดยเป็นการเลือกตั้งที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ณ. อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี ความฝันของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่นชอบ 48Group และมีรุ่นพี่อย่าง “ซายาเน่” ยามาโมโตะ ซายากะ อดีตสมาชิกคนสำคัญของ NMB48 เป็นไอดอลเป็นจริงแล้ว สองปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่าชีวิตของเธอนั้นหมุนไวยิ่งกว่าโรลเลอร์โคสเตอร์ มันคือก้าวที่เหลือเชื่อและแบ่งกั้นระหว่างความฝันและความจริงเพียงแค่การลงมือทำเท่านั้น เฌอปรางเคยให้สัมภาษณ์ว่าตัดสินใจมาออดิชัน BNK48 ในโครงการ BNK48 We Need You! แบบไม่ลังเลเพราะถือว่าเป็นโอกาสได้เข้าถึงความฝัน ถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องการร้องเพลงที่จะต้องฝึกให้หนักกว่าคนอื่น จากแผนการเปิดตัวในช่วงปลายปี 2016 ต้องถูกเลื่อนออกไปจากเหตุการณ์ใหญ่ในประเทศไทยจนกว่าจะได้เปิดตัวสู่สายตาประชาชนก็คือในงาน Japan Expo2017 ในขณะนั้นเกิดคำถามว่า BNK48 จะไปได้รอดในประเทศไทยไหม? เพราะโมเดลการตลาดแบบไอดอลนั้นเป็นรูปแบบใหม่มากในสังคมไทย ช่วงต่อมาเฌอปรางเองก็ได้รับตำแหน่งเป็นกัปตันของวง BNK48 ทุกอย่างดูไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เดบิวท์ซิงเกิ้ลกลางปี 2017 อย่าง Aitakatta อยากจะได้พบเธอ นั้นเป็นที่รู้จักในวงจำกัดกับโมเดลที่ยังไม่มีใครรู้จัก ไม่มี MV และการเลื่อนเปิดตัวของเธียเตอร์ไปครั้งแล้วครั้งเล่า ดูเหมือน BNK48 จะเจอปัญหาใหญ่เฌอปรางในฐานะภาพลักษณ์ของวงต้องคอยตอบคำถามและสร้างโอกาสให้วงเป็นที่รู้จักอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งเธอเคยพูดออกมาว่า “อยู่ตรงนี้เฌอเหนื่อยมาก” สะท้อนอารมณ์และความรู้สึกได้ดี และเมื่อเกิดกระแส “คุกกี้เสี่ยงทายฟีเวอร์” ในซิงเกิ้ลที่ 2 เหล่าสาวๆ BNK48 ชีวิตก็พลิกไปอีกด้านทันที จากที่จะเจียนอยู่เจียนไปในสถานะทางการเงิน กลับกลายเป็นกลุ่มบุคคลที่มีชื่อเสียง เรียกได้ว่า 2018 คือปีทองของพวกเธอ เฌอปรางเองมีทั้งงานภาพยนตร์ งานถ่ายแบบ และงานพรีเซนเตอร์โฆษณาเข้ามาอย่างที่ไม่สามารถตั้งตัวได้ ชื่อเสียงต่างๆ ไหลบ่าเข้าสู่ชีวิต ในวันนั้น เธอจัดการกับชีวิตอย่างไร? จากเด็กสาวสายวิทย์ที่ใช้ชีวิตในห้องแล็บ กลายเป็นว่าเธอต้องใช้ชีวิตควบคู่ระหว่างห้องแล็บกับห้องซ้อมเต้น เธอยอมรับว่าอาจจะไม่ได้เรียนจบ 4 ปีเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ด้วยภาระหน้าที่ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ครั้งหนึ่งเฌอปรางเล่าให้ Timeout ฟังว่า “งานเยอะมากค่ะ หนูเรียนเช้า ทำงานบ่ายค่ะ ตั้งแต่เข้า BNK48 มาก็ทำแบบนี้มาโดยตลอดค่ะ การทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยนี่มันเหนื่อยมากกว่าที่ทุกคนคิด” แน่นอนว่าเมื่อ BNK48 มีชื่อเสียงก็ย่อมมาพร้อมกับความคาดหวัง โดยเฉพาะเฌอปราง สื่อนั้นพยายามยกยอปอปั้นให้เฌอปรางเป็นเหมือน “ไอดอลของสังคมไทย” ภาพที่ถูกประโคมทั้ง เด็กวิทย์สาวหัวดี นักเรียนดีเด่น ความเป็นผู้นำ ฯลฯ นั้นเป็นเหมือนดาบสองคนด้านหนึ่งก็หมือนเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับเฌอปราง แต่ในทางตรงข้ามก็เป็นการสร้างความกดดันให้กับเธอโดยเช่นกัน ในการนิยามคำว่าไอดอลที่ต้องเป็นต้นแบบทางสังคม แทนที่ความหมายเดิมที่ “ไอดอล” นั้นเป็นรูปแบบการตลาดของธุรกิจบันเทิงเพียงแขนงหนึ่งเท่านั้น เรื่องนี้เฌอปรางมองอย่างไรกับคำว่า “ไอดอล”? “ถ้าดูตามนิยามความเป็นไอดอลสำหรับเฌอแล้ว การเป็นอินสไปร์ให้คนอื่นตรงนี้เฌอว่าเราทำได้แล้ว“ ครั้งหนึ่งเฌอปรางเคยกล่าวแบบนี้ แต่เมื่อคุณเป็นกัปตันความคาดหวังคุณต้องสูงมากขึ้น ในภาพยนตร์สารคด Girls Don’t Cry เฌอปรางได้สะท้อนว่าสิ่งที่เธอต้องแบกรับนั้น มันยากจนหลายคนรวมไปถึงสมาชิกบางคนเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน และเมื่อมีคนรักก็ต้องมีคนชัง นี่คือสิ่งที่คู่กันเฌอปรางต้องรับมือกระแสดรามามากมาย ที่บางเรื่องก็ไม่ได้เริ่มจากตัวเธอโดยตรง เธอยอมรับว่าช่วงแรกเธอเลือกที่จะไม่อ่านดรามาต่างๆ แต่สักระยะก็ต้องอ่านเพื่อให้รู้ว่าเขาพูดถึงเราอย่างไร และที่เขาพูดนั้นจริงไหมเพราะเรารู้เจตนาของตัวเอง สิ่งที่ทำให้เธอผ่านเรื่องร้ายๆ ก็คือแฟนคลับที่เข้าใจความตั้งใจของเธอ นอกจากวันนี้แล้วที่เธอถูกแฟนๆ เลือกให้เป็นผู้ชนะในการเลือกตั้ง เฌอปรางเคยเล่าถึงทางเลือกต่างๆที่เข้ามาในชีวิตในบทสัมภาษณ์เมื่อครั้งเธอได้รับเลือกให้เป็น GQ Woman of The Year 2018 ว่า “มีช่วงหนึ่งที่อะไรก็ไม่รู้เข้ามาเยอะแยะไปหมด ต้นปีเป็นช่วงที่ต้องถ่ายหนัง Homestay แล้วก็มีสอบไฟนอลด้วย ถือเป็นช่วงที่หนักสำหรับเราเลย ตอนนั้นกังวลไปหมด แล้วต้องรับบทเป็น พาย ซึ่งตัวละครนี้จะเป็นคนที่คิดมากเรื่องการเรียนอยู่แล้ว คิดมากกว่าตัวเราอีก ความรู้สึกเราก็ยิ่งจมดิ่ง ทุกคนก็บอกเหมือนกันว่าเราเจอสถานการณ์ที่หนักมาก แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ ตอนนั้นมันหนักก็จริง แต่ถ้ามีอะไรที่เข้ามาตอนนี้แล้วหนักกว่าก็คงมองว่าตอนนี้เราเจออะไรที่หนักกว่าตอนนั้นเท่านั้นเอง” ชีวิตคนที่ประสบความสำเร็จและเป็นจุดสูงสุดในห่วงโซ่ของวงการไอดอลไทย ที่มีวงไอดอลผุดขึ้นราวดอกเห็ดในปีที่ผ่านมาต้องแลกกับอะไรมาบ้าง เฌอปรางยอมรับในบทสัมภาษณ์ชิ้นเดียวกันว่าเธอเป็นคนมีกำแพงในใจที่สูงมาก “เราเป็นคนที่มีกำแพงในใจมาก่อนในเรื่องของความรู้สึก ซึ่งไม่เคยปลดล็อกออกมา เพราะตัวเองไม่เคยคิดว่ามีสิ่งนี้อยู่ในตัว เราคงเก็บมันไว้ลึกมากๆ จนคิดว่าตัวเองไม่มีแล้ว ซึ่งการมีกำแพงนั้นไม่ผิด แต่ต้องยอมรับในสิ่งที่มีให้ได้ แล้วหาทางอยู่กับมัน เราผ่านจุดที่ตัวเองร้องไห้ มีประสบการณ์ฝังใจที่สามารถรื้อฟื้นได้ตลอดเวลา จนได้มาเรียนรู้เรื่องวิถีของศาสนาพุทธ แต่เราอาจจะหลงไปคิดว่า การตัดจบสิ่งที่อยู่ในใจได้จะทำให้สิ่งนี้ค่อยๆ ละลายไปจากความรู้สึกเอง แต่กลายเป็นว่าเราไปกดความรู้สึกนี้ไว้โดยไม่รู้ตัว มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นหุ่นยนต์ แทบจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว” เวลามองว่าใครคนใดจะประสบความสำเร็จนั้น เราอาจจะไม่ควรมองแค่มุมมองที่สวยงามยามสปอร์ตไลต์ส่องสาดบนเวที แต่ต้องดูว่ากว่าจะมาจุดนี้ เพื่อสิ่งที่รักเขาได้แลกอะไรไปบ้าง เพราะว่า “ความฝันต้องเกิดหยาดเหงื่อจึงได้มาใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไป ดอกไม้จึงบาน คำว่าพยายาม…..ไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ” 80,000 กว่าคะแนนที่แฟนๆ ได้มอบให้เฌอปรางคือความรักและความหวังในการที่เธอจะก้าวต่อไปยังอนาคต เรื่อง: RicchanSama