29 เม.ย. 2565 | 14:33 น.
กลายเป็นที่ฮือฮาในหมู่ ‘Beliebers’ ชาวไทย เมื่อได้รับข่าวคราวของศิลปินหนุ่มในดวงใจ อย่าง ‘จัสติน บีเบอร์’ (Justin Bieber) ผ่านเพจ AEG Presents Asia ผู้จัดคอนเสิร์ต Justice World Tour ในเอเชีย ที่ประกาศวันจัดคอนเสิร์ตในไทยครั้งล่าสุดของจัสติน บีเบอร์ จะจัดขึ้นวันที่ 6 พฤศจิกายน 2022 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน (เริ่มจำหน่ายบัตรวันที่ 29 เม.ย. 2022) เนื่องด้วยว่าหลังจาก ‘JUSTIN BIEBER – BELIEVE TOUR LIVE IN BANGKOK’ เมื่อปี 2013 เขาก็ไม่ได้มีตารางทัวร์คอนเสิร์ตใหญ่ในไทยมาราว 9 ปีเลยทีเดียว สำหรับบางคน 9 ปีอาจฟังดูน้อย หรือกับบางคนอาจฟังดูนาน แต่สำหรับแฟนคลับที่เฝ้าติดตามจัสติน - ระยะเวลา 9 ปี ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวในความรู้สึก ก็เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาได้เห็นการเติบโตและความเปลี่ยนแปลงของศิลปินคนนี้มากมาย ทั้งในแง่ร้ายและแง่ดี จัสติน บีเบอร์ ผ่านเรื่องราวในชีวิตมาทั้งร้ายและดี ขณะที่ประสบการณ์ชีวิตอย่างที่เขามี ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนเมื่ออยากรู้ อยากเป็น อยากสัมผัสแล้วจะทำได้โดยง่าย - การถูกค้นพบจากคลิปวิดีโอในยูทูบ กลายเป็นสุดยอดซูเปอร์สตาร์ตั้งแต่ยังไม่แตกหนุ่มไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับใครง่าย ๆ การใช้ชีวิตใต้สปอตไลต์ ถูกเคลือบฉาบด้วยฉากหน้าแห่งวงการบันเทิงตลอดเวลานับจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน มีตัวอย่างมากมายของเด็กหญิงชายที่ใช้ชีวิตใต้ไฟแฟลชตั้งแต่ยังเยาว์ และพวกเขาพบว่าแสงสีที่สวยงามเมื่อมองจากที่ไกล ๆ นั้น หากอยู่ใกล้เกินไปก็แผดเผา ทำลาย จัสติน บีเบอร์เป็นอีกคนที่เคยถูกไฟแห่งชื่อเสียงแผดเผา เขาเคยผ่านคืนวันแห่งความสับสน หลงทาง รู้สึกไร้ค่า พึ่งพายาเสพติดเพื่อให้แต่ละวันผ่านไป เขาที่เคยเป็นเจ้าของตำแหน่ง ‘ป็อปสตาร์’ ในดวงใจใครหลายคนพลิกผัน กลายเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเอง ‘ถูกคนทั้งโลกเกลียด’ กระทั่งเคยคิดอยากฆ่าตัวตาย และจัสติน บีเบอร์ก็ให้เครดิตคนรอบตัว พระเจ้า รวมถึง ‘เฮลีย์ บีเบอร์’ ภรรยาสาวในการก้าวผ่านคืนวันเหล่านั้นมาได้ โลกของจัสติน ‘จัสติน ดรูว์ บีเบอร์’ (Justin Drew Bieber) เพิ่งอายุ 13 ปีเท่านั้นวันที่ความสามารถในตัวเขาถูกโลกใบนี้ค้นพบ เริ่มจากการประกวดร้องเพลงบนเวทีแถวบ้าน และได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ในปี 2007 แม่ของเขาได้โพสต์วิดีโอนั้นลงบนยูทูบเพื่อให้เหล่าญาติ ๆ และเพื่อนที่ไม่ว่างมาดูวันจริงได้เห็นการแสดงของลูกชาย ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงจัสตินด้วยตัวคนเดียว และส่งเสียให้เขาเรียนกลอง กีตาร์ เปียโน และทรัมเป็ตตั้งแต่เด็ก เธอเริ่มโพสต์คลิปการร้องเพลงเล่นดนตรีของลูกชายมากขึ้นหลังจากนั้น เวลาผ่านไปไม่เร็วไม่ช้า คลิปหนึ่งที่เป็นไวรัลของจัสตินเตะตาแมวมอง ‘สกูตเตอร์ บราวน์’ (Scooter Braun) คือผู้บริหารและนักลงทุนในแวดวงดนตรี ที่คว้าตัวหนุ่มน้อยวัย 13 ปีมาอัดเดโมเพลง ความสามารถที่ไม่เป็นสองรองใคร และความสดใหม่แห่งวัยเยาว์ของจัสตินถูกใจ ‘อัชเชอร์’ (Usher) นักร้องอาร์แอนด์บีตัวพ่อ หลังจากการออดิชันอย่างไม่เป็นทางการนัก เจ้าหนูน้อยเสียงใสก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงในปี 2008 ด้วยซิงเกิลอย่าง ‘One Time’ จัสตินกลายเป็นซูเปอร์สตาร์เด็กที่มีเพลงฮิตติดท็อปชาร์ตตั้งแต่ยังไม่มีอัลบั้มเดบิวต์ และหลังค่ายเพลงวางขายอีพี ‘My World’ ชื่อเสียงของเขาก็พุ่งขึ้นราวพลุไฟ ส่องประกายแบบฉุดไม่อยู่ ชนิดที่คนเกือบทั้งโลกต้องเคยฮัมเพลง ‘Baby’ ของเขาวนในหัว เส้นทางสายดนตรีที่มีเวทีเป็นทั้งสนามเด็กเล่นและที่ทำงานของเด็กวัยแรกรุ่นอย่างจัสตินสว่างไสว เขาตกหลุมรักการแสดงบนเวทีนับจากนั้น แม้ว่าในขวบปีแรก ๆ - อัลบั้มแรก ๆ ของการทำงาน เด็กชายจะยังไม่ได้มีส่วนร่วมกับผลงานเพลงที่ปล่อยออกมาเท่าไรนัก เดือนปีพ้นผ่าน จัสติน บีเบอร์ที่กลายเป็นดาวจรัสฟ้าอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ได้ว่าถนนที่เคยโรยด้วยเงินดอลลาร์และพาความสำเร็จมาให้เขาตั้งแต่ยังเยาว์ จะหอบเอาอย่างอื่นมาด้วย ‘อย่างอื่น’ ที่ว่า คือสิ่งที่จัสตินมารู้ตอนที่เขาพ้นผ่านวัยหนุ่มและย่างเข้าวัยผู้ใหญ่ว่านั่นคือยาพิษ - แต่ในวันนั้น จัสติน บีเบอร์ เด็กชายซึ่งเคยยากจนและครอบครัวไม่อบอุ่นนักมาก่อน เมื่อเขาได้รับความรักจากทั้งโลก โดยความรักนั้นมาพร้อมความคาดหวังอันหนักอึ้ง ตารางงานยาวเหยียด บวกกับความไม่เข้าใจว่า ทำไมทุกการกระทำของเขาถึงถูกผู้คนมากมายจับจ้อง และทำไมคนรอบตัวที่เป็นผู้ใหญ่กว่าถึงดูคล้ายจะบงการทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขาไปหมด ช่วงเวลาเหล่านั้นอาจจะเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า จัสตินกำลังเข้าสู่ ‘วัยต่อต้าน’ อย่างที่เด็กวัยรุ่นโดยมากล้วนเคยผ่าน เพียงแต่วัยต่อต้านของเขา ถูกจับภาพและฉายให้โลกเห็นอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากความโด่งดังที่เขามี สารคดี Justin Bieber: Seasons คือครั้งแรกที่จัสตินเปิดเผยความรู้สึกของตนต่อเรื่องราวเหล่านั้น ในสารคดีเดียวกัน จัสตินเล่าว่าเขาเริ่มสูบกัญชาตั้งแต่อายุราว 13 และเมื่ออายุ 19 เขาก็ติดยาเสพติดชนิดถอนตัวไม่ขึ้น ฤดูกาลที่มืดมน เมื่อกลายเป็นคนที่ทั้งโลกเกลียด “คุณอาจจะเห็นว่าผมมีเงิน มีเสื้อผ้า มีรถ ประสบความสำเร็จ มีถ้วยรางวัลการันตี ทว่าผมกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกเติมเต็ม” คือเนื้อความส่วนหนึ่งจากโพสต์อินสตาแกรมของจัสติน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2019 โดยเนื้อความในโพสต์เล่าถึงช่วงเวลาที่เป็นดั่งฤดูที่มืดมนสำหรับเขา “ผมเคยเป็นเด็กธรรมดาที่เติบโตในเมืองเล็ก ๆ ก่อนกลายมาเป็นคนที่ทั้งโลกยกย่อง คนนับล้านเฝ้าบอกผมว่าพวกเขารักผมแค่ไหน และผมยิ่งใหญ่มากเพียงใด เมื่อคุณได้ยินแต่สิ่งเหล่านี้ ในวันที่ยังเด็กขนาดนั้น คุณจะเริ่มเชื่อว่าคุณเป็นแบบนั้นจริง ๆ “ทุกคนทำทุกอย่างเพื่อผม จนผมไม่เคยได้เรียนรู้ความรับผิดชอบขั้นพื้นฐาน ดังนั้น ผมจึงเติบโตมาจนอายุ 18 พร้อมเงินเป็นล้าน ๆ ดอลลาร์ แต่ไร้ความสามารถในการใช้ชีวิตจริง “เมื่ออายุ 20 ผมก็ตัดสินใจทำเรื่องแย่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงผมจากคนที่เคยถูกรัก กลายเป็นคนที่ถูกเย้ยหยัน ตัดสิน และถูกเกลียดชังมากที่สุดในโลก” จริงอย่างข้อความที่เขาเขียน หากเราย้อนไทม์ไลน์ชีวิตจัสติน บีเบอร์ในช่วงเวลาดังกล่าวบนหน้าข่าว ก็มักเปิดเจอข่าวร้ายมากกว่าดี เริ่มด้วยการรายงานพฤติกรรมของเขาโดยเหล่าปาปารัสซีในปี 2013 การถูกจับกุมหลายครั้งด้วยหลายข้อหาในปี 2014 ข่าวโดยมากเกี่ยวข้องกับความประพฤติที่ค่อนข้างเกกมะเหรก การขับรถเร็วเกินกำหนด เมาแล้วขับ เสพกัญชา และยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดชนิดอื่น ๆ “มีอะไรที่ผมกังวล (เกี่ยวกับจัสติน) ไหมน่ะเหรอ อาจจะเป็น ‘ลีน’ (ยาเสพติดชนิดหนึ่ง) ตอนที่เขาดื่มมัน ผมพูดแบบนั้นได้ไหม” คือคำพูดของ ‘ไรอัน กู๊ด’ (Ryan Good) เพื่อนของจัสตินที่ร่วมก่อตั้งดรูว์เฮาส์ (Drew House: แบรนด์เสื้อผ้าของจัสติน) มาด้วยกัน ขณะที่จัสตินก็ยอมรับว่า “ผมมีช่วงเวลาที่เคยจิบลีน กินยา เล่นยาอี เห็ดเมา และทุกอย่าง “มันเป็นวิธีหลบหนีของผม ตอนนั้นผมยังเด็ก เหมือนใคร ๆ หลายคนในวงการนี้ และคนในโลกที่ทดลองทำมันเพราะคิดว่านั่นคือสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำ” จัสติน บีเบอร์ใช้ชีวิตช่วงรอยต่อระหว่างวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่อย่างสุดเหวี่ยงเกินกู่ และเมื่อเดินทางมาถึงจุดที่ต้องเลือกว่าจะเลิกยาหรือต้องตาย ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเลือกอย่างแรก ไม่ใช่ทุกคนที่ตั้งใจจะเลิกเสพยาแล้วสามารถทำมันได้สำเร็จ จัสตินก็เป็นเช่นนั้น แต่ก็นับเป็นโชคดีของเขา คนรอบตัวของเขา และแฟนเพลงที่รักเขาด้วยใจจริง เพราะหลังจากการกลับไปสู่วังวนของความมึนเมาครั้งแล้วครั้งเล่า เท่าที่เรารู้ เขาก็เลิกขาดจากมันได้ในที่สุด แม้ว่าเขาจะยังต้องฟื้นฟูร่างกายที่ถูกการเสพยาอย่างหนักในช่วงเวลาหนึ่งทำร้าย และฟื้นฟูจิตใจให้ดีขึ้นจากหลากอาการทางอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นซึมเศร้า อาการเครียด วิตกกังวล และแน่นอน รวมไปถึงการรักษาโรคไลม์ และโครนิกโมโน ที่เขาเปิดเผยว่าเป็นอาการป่วยประจำตัวด้วย หลังจากความตั้งใจแรกว่าอยากเลิกยา และการขอพรจากพระเจ้าว่า ‘ถ้าพระองค์มีจริง ขอให้ผมเลิกมันได้ แล้วผมจะสานต่อที่เหลือเอง’ จัสตินก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น อย่างที่ผู้เขียนเกริ่นไปในตอนต้นของบทความ จัสติน บีเบอร์ให้เครดิตคนรอบตัว พระเจ้า และ‘เฮลีย์ บีเบอร์’ ในการก้าวผ่านคืนวันเหล่านั้นมาได้ โลกทั้งใบให้เธอคนเดียว ‘เฮลีย์ โรด บอลด์วิน’ (Hailey Rhode Baldwin) คือนางแบบสาวชาวอเมริกันที่ชนะใจจัสตินจนได้นามสกุลบีเบอร์ และตำแหน่งภรรยาของเขาไปครอบครอง โดยนักร้องหนุ่มมักจะพูดถึงภรรยาสาวออกสื่ออยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเนื้อความก็ไม่พ้นการบอกว่าเขารักเธอมาก และเธอมีความหมายต่อเขามากเพียงใด “ผมคิดว่าเธอเป็นคนเดียวที่ทนผมได้” คือถ้อยคำที่จัสตินพูดถึงเฮลีย์ ในสารคดี Justin Bieber: Seasons สารคดีชิ้นนั้นฉายภาพให้ผู้ชมเห็นอย่างชัดเจนว่าทำไมจัสตินถึงรักเฮลีย์ - เด็กสาวหน้าง่วงที่เจอกันครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว คำตอบอาจมากกว่าเพราะเฮลีย์คือคนที่ทนเขาได้ แต่อาจจะเป็นเพราะว่า “เฮลีย์รักตัวตนที่แท้จริงของจัสติน” คือคำพูดที่ ‘อัลลิสัน เคย์’ (Allison Kaye) ใช้อธิบายคู่รักของศิลปินที่เธอทำงานด้วย เมื่อพูดถึง ‘ตัวตนที่แท้จริง’ นั้น หมายความว่าเฮลีย์รักทั้งข้อดีและข้อเสียของจัสติน เธอรักที่เขารักเสียงเพลง รักที่เขารักอาชีพนักร้อง รักที่เขาพยายามทำให้หลาย ๆ อย่างดีขึ้น ขณะเดียวกัน เธอก็รักเขาในตอนที่เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาที่กำลังต่อสู้กับอาการป่วยทั้งกายและใจด้วย เมื่อเฮลีย์รักจัสติน และจัสตินก็รักเธอ ทั้งคู่จึงตกลงปลงใจจัดพิธีวิวาห์เรียบง่าย และกลายเป็นสามีภรรยากัน แม้ความรักของทั้งคู่จะผลิบาน แต่ชีวิตจริงของการแต่งงานนั้นไม่ได้แสนหวานเหมือนนิทานหรือความฝัน ระหว่างร่วมรายการ ‘In Good Faith With Chelsea & Judah” เฮลีย์ได้เปิดเผยว่าระยะเวลาหนึ่งปีแรกของการแต่งงานนั้นไม่ได้ผ่านไปโดยง่าย สำหรับเฮลีย์ การอยู่เคียงข้างจัสติน สามีที่กำลังอยู่ระหว่างการรักษาสุขภาพกายและใจนั้นเป็นเรื่องยากแต่ว่าคุ้มค่า เธอเล่าในพอดแคสต์ว่าเธอมักจะโทรฯ หาแม่ทั้งน้ำตาพร้อมระบายว่า “หนูทำไม่ได้ มันไม่มีทางที่หนูจะทำได้ถ้าทุกอย่างยังเป็นแบบนี้ต่อไป” อย่างไรก็ตาม เฮลีย์ก็รักและเชื่อใจจัสตินมากพอ จึงยังไม่หมดหวังในตัวเขา เช่นเดียวกัน จัสตินยอมรับในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ ว่าชีวิตแต่งงานช่วงแรก ๆ เป็นช่วงเวลาที่ยากไม่น้อย เธอและเขาไม่สามารถเชื่อใจกันได้เต็มร้อย เพราะความเจ็บปวดที่จัสตินเคยผ่าน ประสบการณ์ร้าย ๆ เหล่านั้นทำให้จัสตินหวาดกลัวที่จะเปิดใจเมื่ออยู่ต่อหน้าภรรยา ทว่าความอดทนที่เธอมีต่อเขาก็ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น จัสตินให้เครดิตเฮลีย์สำหรับความสุขที่เขามีในวันนี้ การมีเธอทำให้เขาเจอ ‘บ้าน’ อย่างที่เธอเคยพูดเอาไว้ว่า “หน้าที่ของฉันคือการทำให้ทุกที่กลายเป็นบ้านของจัสติน แม้ว่าตอนนั้นเราจะอยู่ห่างบ้านก็ตาม” และนี่ก็คือเรื่องราวของซูเปอร์สตาร์เด็กคนหนึ่ง ที่ตอนนี้คงจะกล่าวได้อย่างเต็มปากแล้วว่าเขาได้โตขึ้นแล้วจริง ๆ ทั้งร่างกายและความคิด ชีวิตของเขาอาจเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า แม้ความเป็นมนุษย์จะมาพร้อมความผิดพลาด แต่การเป็นมนุษย์ และยังมีชีวิต ก็หมายความว่าเรายังมีโอกาสแก้ไขอะไรที่เคยพลาดผิดให้ดีขึ้น ผู้เขียนขอจบบทความนี้ด้วยโควตคำพูดของจัสติน จากโพสต์อินสตาแกรมตัวเดิมแต่เป็นช่วงท้าย ใจความว่า “นี่แหละคือฤดูกาลที่เยี่ยมที่สุดของผม ‘การแต่งงาน’ ยังไงล่ะ! มันหมายถึงความรับผิดชอบครั้งใหญ่โคตร ๆ และบทเรียนครั้งใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน มันคือบทเรียนว่าด้วยความอดทน ความไว้วางใจ ความมุ่งมั่น ความอารีย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และทุกสิ่งที่สอนคนให้เป็นคนที่ดี” ที่มา: สารคดี Justin Bieber: Seasons สารคดี Justin Bieber: Next Chapter | A Special Documentary Event (Official) https://www.theguardian.com/music/2019/sep/03/justin-bieber-drug-use-depression-delinquency-instagram https://www.bbc.com/news/entertainment-arts-49562637 https://www.instagram.com/p/B17JfkkHEKt/ https://www.nbcnews.com/pop-culture/pop-culture-news/justin-bieber-describes-past-drug-use-was-so-bad-his-n1264050 https://www.gq.com/story/justin-bieber-cover-profile-may-2021 https://www.nbcnews.com/pop-culture/celebrity/justin-bieber-reveals-lyme-disease-diagnosis-n1112721 https://www.usmagazine.com/celebrity-news/pictures/justin-bieber-shares-candid-post-about-past-drug-use-struggles/khloe-kardashian-31/