22 ธ.ค. 2563 | 19:01 น.
“เอ่อ...ท่านจอมมารบู ขอถามอะไรอย่างได้มั้ยครับ? ทะ...ทำไมถึงต้องฆ่ามนุษย์...ต้องทำลายบ้านเรือนด้วยล่ะครับ?” “เพราะมันสนุกน่ะสิ การทำแบบนั้นเขาเรียกว่าการเล่น บาบิดี้กับบิบิดี้เคยบอกไว้” “ยะ...อย่าไปฟังคำพูดของพวกวายร้ายอย่างนั้นนะครับ มะ...มันไม่ดี...เลิกทำลายซะเถอะ” “เจ้าคิดว่าไม่ควรทำงั้นเรอะ? งั้นฉันก็จะเลิก” “จะ...จะไม่ฆ่าใครแล้วหรือครับ?” “ฮื่อ” “ไม่ทำลายที่ไหนแล้วด้วยใช่ไหม?” “ฮื่อ” (จากฉบับแปลไทยของ NED Comics) บทสนทนาด้านบน ระหว่างมิสเตอร์ซาตาน นักสร้างภาพระดับโลก และ จอมมารบู จอมปีศาจผู้น่าสะพรึงกลัวในตำนาน คงเป็นจุดหักเหสำคัญที่ทำให้คนอ่านเริ่มรู้สึก เอ๊ะ เริ่มจะเห็นใจจอมมารบูขึ้นมาทีละนิด จอมมารบูเป็นศัตรูตัวแรกในเรื่อง Dragon Ball ที่มีลักษณะของความแบ๊ว ความน่ารักบางอย่าง เมื่อเทียบกับศัตรูที่ผ่านมาตลอดทั้งเรื่องอย่าง เท็นชินฮัง, พิคโกโล่, เบจิต้า, ฟรีเซอร์, หรือเซล และยังเป็นศัตรูช่วงสุดท้ายของภาคหลักก่อนที่จะอวสานไป ที่น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากหนังดิสนีย์อย่างมาก ในเรื่องซินเดอเรลลา นางฟ้าที่เสกรถฟักทองและเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ซินเดอเรลล่า มีการท่องคาถาซ้ำไปซ้ำมาว่า “บิบิดี้ บาบิดี้ บู” โทะริยะมะผู้แต่งเรื่องเลยเอา บิบิดี้ กับ บาบิดี้ เป็นชื่อพ่อมดตัวร้าย แล้วเอาบูมาเป็นชื่อจอมมารเสียเลย แถมยังดีไซน์จอมมารบูให้มีลักษณะคล้ายจินนี ยักษ์ในตะเกียงจากเรื่องอะลาดิน เพราะจอมมารบูปรากฏตัวเป็นกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาก่อนรวมเป็นร่างคล้ายยักษ์เวลาออกจากตะเกียง แล้วยังมีดีไซน์การแต่งตัวที่มีกลิ่นอายอาหรับหน่อย ๆ อีกด้วย บูเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยพ่อมดบิบิดี้ (พ่อของบาบิดี้) เทพไคโอชินพูดถึงบูไว้อย่างน่ากลัวว่าเกิดมาเพื่อฆ่าและทำลาย สร้างความหวาดกลัวแก่สิ่งมีชีวิตทั่วหน้า แต่ที่จริงแล้วนั่นคือบูร่างต้นฉบับ ไม่ใช่บูร่างอ้วนที่น่ารักร่างนี้แต่อย่างใด หลังจากบูดูดกลืนไคโอชินที่มีรูปร่างอ้วนและใจดีเข้าไป บูก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ คือกลายเป็นบูร่างอ้วนอย่างที่เห็น และกลายเป็นคนที่มีจิตใจเหมือนเด็ก คือไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี แต่ทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองสัญชาตญาณของตัวเองเท่านั้น ถ้าอ้างอิงจาก Sigmund Freud บูจะตอบสนองเฉพาะสัญชาตญาณแห่งชีวิต (Life Instinct) คือหิวก็อยากกิน, เหนื่อยหรือง่วงก็อยากนอน และสัญชาตญาณแห่งความตาย (Death Instinct) คือความก้าวร้าวในการทำอันตรายต่อผู้อื่น แต่ไม่ได้แปลว่าบูร่างอ้วนนี้เป็นคนเลว เพียงแต่ยังไม่มีใครอบรมสั่งสอนให้รู้จักการใช้เหตุผลแยกแยะดีชั่วเท่านั้น ไม่เคยมีใครปรารถนาดีต่อบู หรือ พูดคุยด้วยแบบสุภาพชน มาก่อน บูมีชีวิตนอกลูกแก้วที่สั้นมาก และอยู่กับคำขู่ของบาบิดี้ว่าจะจับขังลูกแล้วมาตลอด ใช้ชีวิตด้วยสัมพันธภาพแบบนาย-บ่าว เปิดตัวบูมาถึงก็โดนดาบูร่าด่าว่าเป็นสวะหน้าโง่ไร้สมองแถมขาดพลัง ไคโอชินก็เอาแต่ด่าว่าบูชั่ว บูเลว ตัวละครทุกตัวในเรื่องเปิดตัวมาก็มุ่งใช้กำลังเข้าทำร้ายบู โดยไม่มีการเจรจากันดี ๆ เท่าไหร่ บูได้เรียนรู้จากบาบิดี้มาก่อนว่าให้ฆ่าให้ทำลายเพราะมันสนุก บูจึงโต้ตอบด้วยการฆ่าและทำลายไปจริง ๆ ทำให้ตัวละครแต่ละฝ่ายที่น่าจะนั่งคุยกันดี ๆ และสงบศึกได้ กลายเป็นต้องห้ำหั่นกันเละเทะไปหมดจนจบเรื่อง ความอ่อนโยนของบูเริ่มมีให้เห็นกับคนตาบอดคนหนึ่งในเรื่อง ซึ่งเป็นคนตาบอดแต่กำเนิด บูจึงฆ่าไม่ได้ เพราะบูถูกบิบิดี้และบาบิดี้สอนหลายครั้งจนเกิดการวางเงื่อนไขในใจ (ตามทฤษฎีการวางเงื่อนไขของ B. F. Skinner) แล้วว่า “ให้ฆ่าคนที่กลัวบูและวิ่งหนี” พอเจอคนตาบอดที่มองไม่เห็น ก็เลยไม่กลัวและไม่วิ่งหนี บูจึงฆ่าไม่ได้ บูตัดสินใจใช้พลังรักษาตาของชายคนนั้นให้กลับมามองเห็นอีกครั้ง แต่ชายคนนั้นก็ยังไม่กลัวบู แถมยังเออออเห็นด้วยว่าบู “เท่” เพราะช่วยรักษาดวงตาให้ตัวเอง บูยังมีแก่ใจบินไปหานมมาให้ชายคนนั้นดื่มด้วย (แม้จะเป็นนมที่แลกมาด้วยชีวิตคนอื่นก็เถอะ) และตัดสินใจไม่ฆ่า เพราะแย้งกับการวางเงื่อนไขที่ตัวเองรับรู้มานั่นเอง เมื่อครั้งที่บูไปเจอลูกหมา ก็สงสัยว่าทำไมหมาถึงไม่กลัว แถมยังไม่วิ่งหนี แล้วยังพูดกันไม่รู้เรื่องด้วย พอมิสเตอร์ซาตานอธิบายให้ฟังว่านี่คือหมาเลยคุยกันไม่รู้เรื่อง และน้องเขาบาดเจ็บอยู่ก็เลยหนีไม่ได้ บูจึงรักษาอาการบาดเจ็บให้ลูกหมา และสั่งให้ลูกหมารีบลนลานหนีไปซะ จะได้ฆ่าได้ กลายเป็นว่าลูกหมากลับมารักบู มาคลอเคลียอยู่ที่ขาของบู ไม่ยอมหนีไปไหน บูจึงฆ่าไม่ลงเช่นกันเพราะต่างจากเงื่อนไขที่ตัวเองรับรู้มา นี่ทำให้บูเข้าใจถึง “ความสุขในการช่วยเหลือผู้อื่น” และ “ความสุขในการได้รับความปรารถนาดีจากผู้อื่น” เป็นครั้งแรกในชีวิตของจอมมารร่างอ้วนผู้นี้ บูจึงเหมาเอาว่า ลูกหมาตัวนี้ชอบตัวเอง เหมือนที่ซาตานชอบตัวเอง บูถึงกับยิ้มแป้นพูดออกมาว่า “ดีใจจัง ^__^” ถ้าหากไม่มีไอ้บ้าโรคจิตที่คอยยิงคนอื่นให้ตายเพื่อความสนุกของตัวเอง แล้วบังเอิญมายิงลูกหมาของบู และยิงมิสเตอร์ซาตาน จนบูโกรธแยกออกไปเป็นบูร่างชั่ว (ร่างผอม) เรื่องนี้ก็คงจะจบลงอย่างเร็ว แต่สัมพันธภาพระหว่างมิสเตอร์ซาตานและจอมมารบูกลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่ยั่งยืน จากที่ซาตานเข้าหาบูด้วยความมุ่งร้ายหมายชีวิต แต่เนื่องจากพลังของซาตานนั้นต่ำมากจนบูเห็นเป็นการละเล่นเพราะไม่ได้รู้สึกถึงความอาฆาตมาดร้าย ซาตานจึงกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในจักรวาลที่ได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของจอมมารบู จนพัฒนาสัมพันธภาพคล้ายครอบครัวขึ้นมาได้ ในตอนจบของภาคหลักรวมทั้งภาค Super ซาตานจึงกลายเป็นผู้อุปการะคล้ายพ่อบุญธรรมของจอมมารบู คอยอบรมสั่งสอนวิธีดำรงชีวิตในสังคมมนุษย์ได้ แม้ว่าอาชีพของทั้งคู่จะเป็นการต้มตุ๋นหลอกลวงสร้างภาพ แต่ก็ยังถือว่าเป็นวิถีชีวิตที่ดีกว่าวิถีชีวิตเดิมที่บิบิดี้และบาบิดี้สอนสั่งมามากนัก มิสเตอร์ซาตานและจอมมารบูจึงมีลักษณะของ “พ่อรวยสอนลูก” ที่ชัดมาก สอนวิธีใช้ชีวิตในสังคม และวิธีสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ตลอดไปนั่นเอง