03 ม.ค. 2564 | 16:38 น.
มาถึงจุดนี้ คงไม่ต้องสาธยายถึงความโด่งดังกันแล้ว สำหรับ ‘ดาบพิฆาตอสูร’ (鬼滅の刃) ซึ่งตีพิมพ์รายสัปดาห์ในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ Weekly Jump (週刊少年ジャンプ) ของญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016-2020 และมีการพิมพ์รวมเล่มเป็นเรื่องของตัวเองทั้งหมด 23 เล่มด้วยกัน และมีซีรีส์อนิเมะจบภาคแรกไปแล้ว รวมทั้งอนิเมะในโรงภาพยนตร์ที่กวาดรายได้ไปอย่างมหาศาล หากมองเรื่องนี้ในองค์รวมแล้ว จะว่าเป็นการปะทะกันของความเป็นตะวันออกและความเป็นตะวันตก รวมทั้งเป็นการปะทะกันของนิยามความเป็นครอบครัวของตัวเอกทั้ง 2 ตัวคือ คะมะโดะ ทันจิโร่ และ คิบุทสึจิ มุซัน ก็ว่าได้ มาเจาะลึกถึงชื่อของตัวเอกกันก่อน คะมะโดะ ทันจิโร่ (竈門炭治郎) อักษร คะมะโดะ (竈門) หมายถึง เตาหินที่ใช้ทำอาหาร / ทัน (炭) หมายถึง ถ่าน / จิ (治) หมายถึง จัดการหรือควบคุม / โร่ (郎) หมายถึง ผู้ชาย ดังนั้น ชื่อตัวเอกเรื่องนี้จึงบอกไว้ชัดเจนว่า คือชายซึ่งจัดการกับถ่าน และเกิดในตระกูลที่เกี่ยวกับเตาหินทำอาหาร ซึ่งบ่งบอกพื้นเพของทันจิโร่ พระเอกของเรื่องอย่างมาก อีกฝ่ายหนึ่งคือ คิบุทสึจิ มุซัน (鬼舞辻?無惨) อักษร คิ (鬼) หมายถึง อสูร / บุ (舞) หมายถึง ร่ายรำ / ทสึจิ (辻) หมายถึงทางสี่แพร่งหรือสี่แยก / มุซัน (無惨) หมายถึง โหดเหี้ยม ไร้ปรานี ดังนั้น ชื่อตัวละครตัวนี้จึงหมายถึง ผู้ที่คอยชักใยจากทั้งสี่ทิศให้อสูรร่ายรำไปตามที่ตัวเองคิด และเป็นไปอย่างโหดเหี้ยมไร้ปรานี ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้นถ้าดูจากเนื้อเรื่อง คำว่าอสูรในเรื่องนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก ในโลกแห่งความเป็นจริง ญี่ปุ่นสมัยโบราณจะเรียกสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็นว่า โอะนุ (隠) ต่อมามีการเพี้ยนเสียงเป็น โอะนิ ประกอบกับรับอักษรจีนและแนวคิดทางศาสนาจากจีนเข้ามาในช่วงใกล้กันในสมัยเฮอัน (平安: คือระหว่าง ค.ศ. 794-1185) ในจีนมีอักษรคำว่า วิญญาณ (魂) ซึ่งชาวจีนยุคนั้นเชื่อว่าวิญญาณผู้ตายบางคนจะกลายเป็นอสูรร้าย จึงดึงเสี้ยวหนึ่งของอักษรคำว่าวิญญาณ (魂) มาใช้เรียก อสูร (鬼) แนวคิดนี้ของจีนเข้ากันได้กับแนวคิด โอะนิ ของญี่ปุ่นในสมัยเฮอันพอดี ชาวญี่ปุ่นจึงเรียกอสูรร้ายหรือสิ่งลึกลับในความมืดว่า โอะนิ และยืมอักษร 鬼 มาใช้เรียก โอะนิ ตั้งแต่สมัยเฮอันเป็นต้นมา ดังนั้นพื้นเพของ คิบุทสึจิ มุซัน ในเรื่องดาบพิฆาตอสูรจึงต้องเกิดเป็นมนุษย์ในสมัยเฮอัน เพราะอิงตามประวัติศาสตร์จริงการเกิดตำนานโอะนิ (鬼) ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นนั่นเอง แต่ถ้าเพียงแค่นั้นก็ไม่สนุกพอ ผู้แต่งจึงดึงแนวคิดของ แวมไพร์ ตามแบบตะวันตกเข้ามาผสมด้วยเสียเลย คิบุทสึจิ มุซัน จึงต้องมีการขยายพันธุ์โดยการมอบเลือดให้มนุษย์ เพื่อแพร่พันธุ์อสูรของตนเอง ซึ่งตรงกับพล็อตของเรื่อง Dracula ในเวอร์ชันต้นฉบับของ Bram Stoker มาก ๆ โดยต้นฉบับ Dracula นี้จะแย้งกับความเข้าใจที่เรา ๆ ท่าน ๆ เคยรับรู้ผ่านหนังแวมไพร์ของฮอลลีวูด ที่เวลาโดนแวมไพร์กัดแล้วจะกลายเป็นแวมไพร์ แต่จริง ๆ ต้นฉบับแวมไพร์เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่จะต้องเป็นการที่ Dracula ซึ่งเป็นแวมไพร์ตนแรกในโลก มอบเลือดให้มนุษย์คนอื่นกิน มนุษย์จึงจะกลายเป็นแวมไพร์ได้ พล็อตของการขยายพันธุ์อสูรในเรื่องดาบพิฆาตอสูรจึงมีความเคารพต่อต้นฉบับแวมไพร์อย่างเรื่อง Dracula มาก ๆ เหตุการณ์ในเรื่องจึงต้องเกิดในยุคไทโช (大正: คือระหว่าง ค.ศ. 1912-1926) เพราะนวนิยายเรื่อง Dracula ตีพิมพ์ในอังกฤษเมื่อ ค.ศ. 1897 และเผยแพร่เข้าสู่ญี่ปุ่นหลังจากนั้นไม่กี่ปี ในสมัยไทโชจึงเป็นสมัยเดียวกับที่เกิดนวนิยายเรื่อง Dracula เลย เรียกว่าผู้แต่งดาบพิฆาตอสูรสร้าง Dracula เวอร์ชันญี่ปุ่นขึ้นมาในยุคเดียวกันนั้นเลยก็ว่าได้ สำหรับทันจิโร่นั้น ‘ครอบครัว’ คือสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาไว้ ตั้งแต่แรกที่พบกับความ ‘แหลกสลายทางจิตใจ’ ที่พบว่าครอบครัวตัวเองถูกฆ่าตายทั้งหมด เหลือน้องสาวเพียงคนเดียวก็ยังกลายเป็นอสูรไปเสียอีก สิ่งเดียวที่ทำให้เขาฟันฝ่าความเจ็บปวดและความยากลำบากตลอดเรื่องมาได้ก็เพราะความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัว และความต้องการปกป้องน้องสาวซึ่งเป็นสมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ แต่ครอบครัวสำหรับทันจิโร่นั้นไม่ได้หยุดอยู่เพียงความหมายของครอบครัวที่สืบสายเลือด (Immediate Family) กันมาเท่านั้น ทันจิโร่ยังขยายขอบเขตครอบครัวไปกว้างกว่านั้นด้วย ในภาษาญี่ปุ่นมีอักษรคำว่า อุจิ (内) ซึ่งแต่เดิมมีความหมายว่า บ้าน แต่ภายหลังคำว่า อุจิ นี้ขยายความหมายไปเป็นขอบเขตที่สบายใจ, อาณาบริเวณของคนในครอบครัว, พื้นที่ทางจิตใจแห่งความสนิทสนม คำว่าครอบครัวสำหรับทันจิโร่จึงมีความหมายคือการขยายขอบเขตของคำว่า อุจิ ไปสู่มิตรสหายนักล่าอสูรด้วยกัน และรุ่นพี่เสาหลักนักล่าอสูรทุกคน ที่กลายเป็นเสมือนดั่งครอบครัวของทันจิโร่ไปแล้ว