19 มี.ค. 2566 | 10:42 น.
- แม้จะเป็นลูกคนดัง แต่ ‘เจมี ลี เคอร์ติส’ มีวัยเด็กที่ยากลำบาก ครอบครัวของเธอเจอข่าวฉาว เมื่อพ่อทิ้งแม่ไปคบกับนักแสดงสาวอายุ 17 ปี
- เธอยอมรับว่าคอนเนกชั่นจากพ่อแม่ เป็นใบเบิกทางให้เธอก้าวเข้าสู่เส้นทางนักแสดง แต่ท้ายที่สุดเธอก็ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าการอยู่ในวงการมายาวนาน และคว้ารางวัลมากมายนั้น มาจากความสามารถของเธอเอง
- นอกจากการเป็นนักแสดงมากฝีมือ เธอยังเป็นคุณแม่ที่เข้าใจลูก นักเขียนหนังสือเด็ก นักจัดรายการพอดแคสต์ และนักประดิษฐ์ด้วย
‘เจมี ลี เคอร์ติส’ เป็นคนดังมาตั้งแต่เด็ก เธอเป็นลูกสาวคนที่สองของคู่รักฮอลลีวูด พ่อของเธอคือ 'โทนี เคอร์ติส' ส่วนแม่ของเธอคือ 'เจเน็ท ลีห์' ทั้งคู่เป็นนักแสดงที่รายล้อมไปด้วยเหล่าคนดัง ชื่อเสียงและเงินทอง แต่ชีวิตครอบครัวของพวกเขากลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ตอนเจมีอายุ 3 ขวบ ครอบครัวของเธอก็ตกเป็นข่าวฉาว เมื่อพ่อกับแม่แยกทางกัน เพราะพ่อทิ้งครอบครัวไปคบกับนักแสดงสาวชาวเยอรมัน ‘คริสติน คอฟฟ์แมนน์’ ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 17 ปี
เจมีเคยให้สัมภาษณ์เรื่องการหย่าของพ่อแม่ว่า “แม่อับอายมากที่พ่อทิ้งตัวเองไปหาสาวอายุ 17 ปี ซึ่งเป็นนักแสดงชาวเยอรมันที่เขาร่วมงานด้วย แม่ต้องเจ็บปวดกับข่าวซุบซิบและการถูกนินทา”
หลังผ่านพ้นการหย่าร้าง โทนี่ก็ได้แต่งงานกับคริสตินสมใจตอนที่เธออายุ 18 ปี และเขาอยู่ในวัย 30 ปลายๆ ทั้งคู่มีลูกด้วยกันสองคน แต่สุดท้ายก็แยกทางกัน ส่วนเจเน็ทแต่งงานกับนายหน้าซื้อขายหุ้น ‘โรเบิร์ต แบรนด์ท’ ในลาสเวกัส ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกระทั่งเจเน็ทจากไปเมื่อปี 2004
เจมียอมรับว่าการหย่าร้างของพ่อแม่ทำให้เธอมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก เธอเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของแม่และพ่อเลี้ยง ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอพ่อตัวจริงเท่าไหร่นัก และพ่อของเธอก็มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับลูกๆ จนมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอกลายเป็นลูกเพียงคนเดียวที่ยังคุยกับพ่อ
หลังเรียนจบมัธยมปลาย เจมีเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่ไม่นานเธอก็ตัดสินใจดร็อปเรียนเพราะได้รับการชักชวนให้มาเป็นนักแสดงที่ลอสแองเจลิส โดยในปี 1977 เจมีเริ่มต้นอาชีพด้านการแสดงครั้งแรกทางทีวี ก่อนที่ปีต่อมาเธอจะได้เข้าสู่วงการภาพยนตร์เต็มตัว
แม้จะได้แสดงภาพยนตร์หลายเรื่อง แต่ภาพยนตร์ที่ดังเป็นพลุแตกของเธอคือเรื่อง ‘Halloween’ ซึ่งเธอรับบทเป็นพี่เลี้ยงเด็กชื่อ ‘ลอรี่ สโตรด’ ในขณะที่มีอายุ 19 ปี
หลังจากแจ้งเกิดอย่างสวยงามจากภาพยนตร์ Halloween เจมีก็มีผลงานแนวสยองขวัญอีกหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ ‘The Fog’ ที่เธอร่วมแสดงกับแม่ของตัวเอง
เจมียอมรับว่า คอนเนกชั่นจากพ่อแม่เป็นใบเบิกทางให้เธอก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง
“มันสำคัญสำหรับฉัน มันทำให้ฉันกลายเป็นเจ้าหญิง แม้แต่ตอนที่ฉันบอกว่าฉันทำงานหนักแล้ว แต่อันที่จริงฉันก็ไม่เคยทำงานหนักสักวันเลยในชีวิต”
“เมื่อคุณเป็นคนดัง คุณจะได้เข้าถึงสิ่งต่างๆ อย่างง่ายดาย คุณจะมีโอกาสได้เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่ได้เห็น คุณจะได้ไปในทุกที่ ทั้งหมดนี้มันยอดเยี่ยมมาก เพียงแต่คุณอาจจะต้องเสียความเป็นส่วนตัวไป”
ในปี 1983 เธอได้เล่นหนังที่ประสบความสำเร็จอีกเรื่องอย่าง ‘Trading Places’ ซึ่งเธอแสดงร่วมกับ ‘เอ็ดดี เมอร์ฟีย์’ และได้คว้ารางวัล ‘BAFTA Awards’ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมไปครอง
ปี 1985 เธอมีผลงานภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าเรื่อง ‘Perfect’ คู่กับ ‘จอห์น ทราโวลต้า’ ซึ่งในวันเปิดตัวภาพยนตร์ เจมีซึ่งเป็นนางเอกของเรื่อง ได้ควงสามี ‘คริสโตเฟอร์ เกสท์’ มาร่วมงานด้วย
เธอตกหลุมรักเขาหลังจากที่เห็นรูปถ่ายเขาในนิตยสาร ‘Rolling Stone’ ต่อมาทั้งคู่พบกันโดยบังเอิญที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเวสต์ฮอลลีวูด และเขาเป็นฝ่ายโทรหาเธอในอีกหนึ่งวันต่อมา ผ่านไปเพียงสองเดือนทั้งคู่ก็หมั้นกัน และแต่งงานกันในปี 1984 พวกเขายังคงใช้ชีวิตร่วมกันจนถึงปัจจุบัน
คริสโตเฟอร์มีบรรดาศักดิ์เป็นบารอน ซึ่งทำให้เจมีได้รับบรรดาศักดิ์บารอนเนส แต่ด้วยความเรียบง่ายไม่พิธีรีตอง ทั้งคู่จึงไม่เคยใช้ยศนี้เลย
เธอเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับชีวิตคู่ว่า “ความจริงของชีวิตคู่ที่ดำเนินมายาวนาน คือความรู้สึกสบายใจที่รู้ว่ารถของสามีเข้ามาจอดในโรงจอดรถแล้ว ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว และมีเขาอยู่ที่นี่ด้วย”
lucky in love แล้ว เจมียัง lucky in game เพราะในยุค 1990s เธอประสบความสำเร็จจากการแสดงจนได้รับรางวัลมากมาย หนึ่งในนั้นคือรางวัล ‘Golden Globe’ จากภาพยนตร์แอคชั่นคอมเมดี้เรื่อง ‘True Lies’ ที่แสดงคู่กับ ‘อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์’
ในช่วงที่กำลังเนื้อหอม เจมีให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก เธอทำหัตถการความงาม เช่น ดูดไขมันใต้ตา และโบท็อกซ์ แต่ปรากฏว่าผลลัพธ์ออกมาไม่ดีนัก จนทำให้เธอถูกช่างภาพวิจารณ์ แถมยังติดกินยาแก้ปวดไวโคดินกับเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์นานหลายปี
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1999 เจมีตัดสินใจเข้ารับการบำบัด เธอเริ่มควบคุมตัวเองจากการกินยาและดื่มแอลกอฮอลล์นับตั้งแต่นั้น ในช่วงแรกของการบำบัดเธอคิดว่าตัวเองจะไม่รอดชีวิตแล้ว
หลังจากที่เธอเข้ารับการบำบัด เธอเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เพราะหวังจะเป็นอุทาหรณ์ให้ทุกคน
“การมีสติเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก ฉันสามารถยุติปัญหาที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นในครอบครัวของฉันเอาไว้ได้ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดที่ฉันเคยทำ” เธออ้างอิงถึงปัญหาโรคพิษสุราเรื้อรังและยาเสพติดที่พบในสมาชิกครอบครัวของเธอ เช่น ‘นิโคลัส เคอร์ติส’ น้องชายคนละแม่ ซึ่งเสียชีวิตจากการเสพเฮโรอีน ขณะอายุเพียง 23 ปี
โทนี่ เคยให้สัมภาษณ์ถึงการสูญเสียลูกชายสุดที่รักคนนี้ว่า “มันเป็นเรื่องร้ายแรงมากที่พ่อต้องสูญเสียลูกชาย”
เจมีให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่า การสูญเสียน้องชายได้ทำให้คนในครอบครัวกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อกลับมาดีขึ้น
“เขาเหมือนไม่ใช่พ่อ และไม่ได้สนใจที่จะเป็นพ่อคน ฉันไม่ได้ดูถูกเขา แต่เขาชัดเจนมาก เขาจะทำเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเงินเท่านั้น มันเป็นสิ่งที่น่ายกย่องสำหรับเขา”
เจมีกับสามีเป็นพ่อแม่ที่แตกต่างจากโทนี ทั้งคู่รับเลี้ยงเด็กสองคนเป็นลูก ทั้ง ‘แอนนี่’ และ ‘รูบี้’ ด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม
ไม่เฉพาะการเลี้ยงดูอย่างดี เจมีและคริสโตเฟอร์ยังสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้รูบี้ จนเธอกล้าประกาศว่าตัวเองเป็นคนข้ามเพศ เจมียังบอกด้วยว่าเธอกับสามีภูมิใจในตัวลูกชายที่วันนี้กลายมาเป็นลูกสาว
เจมียังเคยเปรียบการรับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมเหมือนกับ “การเดินทาง” แต่เธอก็พร้อมที่จะรับฟังและเรียนรู้
"ฉันกำลังเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ฉันยังใหม่สำหรับเรื่องนี้ และไม่ใช่คนที่แสร้งทำเป็นรู้เรื่องนี้"
สายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาวนั้นแน่นแฟ้น และเจมีก็ชนะใจรูบี้และครอบครัวได้ในที่สุด
"นี่คือครอบครัวของเรา ฉันต้องสนับสนุนรูบี้ มันเป็นหน้าที่ของฉัน เช่นเดียวกับที่ต้องดูแล รัก และสนับสนุนแอนนี่ (พี่สาวของรูบี้) ในเส้นทางที่เธอเลือก ฉันเป็นนักเรียนที่ดีเยี่ยม ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากรูบี้"
ประสบการณ์ในชีวิตของเธอ ยังทำให้เธอกลายเป็นนักเขียนหนังสือที่ประสบความสำเร็จ เธอมีผลงานหนังสือเด็กหลายเรื่อง เช่น When I Was Little: A Four-Year-Old’s Memoir of Her Youth ในปี 1993 ตามด้วย Today I Feel Silly & Other Moods That Make My Day (1998), I’m Gonna Like Me: Letting Off a Little Self-Esteem (2002), It’s Hard to Be Five: Learning How to Work My Control Panel (2004), and Me, Myselfie & I: A Cautionary Tale (2018)
นอกจากนี้เธอยังทำรายการพอดแคสต์ชื่อ 'Letters from Camp' ที่มุ่งแก้ไขปัญหาให้วัยรุ่น และ 'Good Friend with Jamie Lee Curtis' ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์ของเธอกับบุคคลต่างๆ แถมยังเป็นนักประดิษฐ์ที่จดสิทธิบัตรผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีช่องสำหรับใส่ทิชชู่เปียกอีกด้วย
กลับมาที่ผลงานการแสดง เจมียังได้กลับมาเล่นภาพยนตร์ Halloween ต่อเนื่อง ทั้งภาคต่อที่กำกับโดย 'เดวิด กอร์ดอน กรีน' ซึ่งสามารถทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศได้หลายรายการ และทำให้นักแสดงหญิงผู้นี้ฟื้นคืนชีพในวงการบันเทิงอีกครั้ง
ปี 2019 เธอยังมีผลงานเรื่อง 'Knives Out' ภาพยนตร์แนวตลกลึกลับที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ที่แสดงร่วมกับ 'อนา เดอ อาร์มาส' และ 'แดเนียล เคร็ก' ก่อนที่เธอจะกลับมาเล่นเรื่อง Halloween Kills ในปี 2021
ปี 2022 เธอแสดงร่วมกับ 'มิเชล โหย่ว' ใน 'Everything Everywhere All at Once' ภาพยนตร์แนวไซไฟคอมเมดี้ที่ได้รับคำชื่นชมอย่างกว้างขวาง กวาดรางวัลบนเวทีออสการ์ไปมากถึง 7 รางวัล แน่นอนว่าชื่อของเจมีอยู่ในความสำเร็จนี้ด้วย
เธอได้รับรางวัลออสการ์ครั้งแรก ในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากบทผู้ตรวจสอบบัญชีชื่อ ‘ดีร์เดรอ’ ซึ่งเธอยอมรับว่าเคยได้พบคนที่มีนิสัยคล้ายๆ ตัวละครนี้ ในช่วงที่เธอเข้ารับการบำบัด
“เป็นคนที่ใช้อำนาจในการทำงาน ไม่มีใครรู้จักตัวตนพวกเขามากไปกว่ารู้ว่าพวกเขาทำงานอะไร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวที่คนพวกนี้ทุ่มเทให้ ขณะเดียวกันอำนาจจากการทำงานนี่แหละ ที่ทำให้พวกเขาผิดหวัง โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาเลิกงานแล้วกลับมานั่งเหงาๆ ในอพาร์ทเมนต์ของตัวเอง มันน่าเศร้ามากๆ เลย”
เจมียังเล่าถึงภาพยนตร์เรื่อง Everything Everywhere All at Once ด้วยว่า ครั้งแรกที่เธอได้รู้เรื่องเกี่ยวกับฉาก ‘จักรวาลฮอทด็อก’ เธอตกใจมาก เพราะนึกไม่ออกว่ามันจะมีหน้าตายังไง แล้วก็ยิ่งทำให้เธองงไปด้วยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกมาเป็นแบบไหน
“สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจที่สุดก็คือตอนที่เราเล่นฉากจักรวาลฮอทด็อกกัน ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันไม่เข้าใจตัวภาพยนต์เลย แต่พอได้เห็นฉากก็พบว่ามันสวยมากค่ะ ฉันกับมิเชลเหมือนได้อยู่ในดินแดนที่สวยงามมาก”
หลังจากภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามเรื่องนี้ เจมียังแสดงในเรื่อง 'Halloween Ends' ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของผู้กำกับเดวิด เธอยังบอกด้วยว่านี่คือภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเธอในแฟรนไชส์นี้
เจมีหวังอยู่เสมอว่าการกลับมาเล่นภาพยนตร์ของเธอจะทำให้ผู้คนเห็นว่าผู้หญิงสูงอายุจะต้องมีหน้าตาอย่างไร และฮอลลีวูดควรจะต้องมีพื้นที่ให้หญิงสูงอายุมากขึ้นอีก
"ฉันเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนความงามตามธรรมชาติ ฉันผ่านการศัลยกรรมความงามมา มันไม่ได้ผลหรอก และมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่" เจมีกล่าวในวัย 60
"เราทุกคนต้องตาย ทำไมคุณต้องอยากดูเหมือนอายุ 17 ทั้งที่คุณ 70 แล้ว ฉันคนหนึ่งหล่ะที่อยากจะดู 70 ตอนที่อายุ 70"
อ้างอิง: