หลิวเต๋อหัว - เหลียงเฉาเหว่ย จากสองคนสองคม เส้นขนานได้บรรจบกันอีกครั้งใน The Goldfinger

หลิวเต๋อหัว - เหลียงเฉาเหว่ย จากสองคนสองคม เส้นขนานได้บรรจบกันอีกครั้งใน The Goldfinger

เส้นทางในอาชีพการแสดงของสองพระเอกดัง ‘หลิวเต๋อหัว’ และ ‘เหลียงเฉาเหว่ย’ ที่กลับมาบรรจบกันอีกครั้ง หลัง 2 คน 2 คม

  • ทางทีวีบีในช่วงต้นยุค 80 สนใจในด้านการพัฒนาบรรดานักเรียนการแสดงของสถานีให้ขึ้นมาเป็นนักแสดงทั้งพระเอกนางเอกมากขึ้น กระทั่งในปี 1983 ทางทีวีบีประสบความสำเร็จอย่างสูงกับละครโทรทัศน์ ‘มังกรหยก’ ทั้งสองภาค จนก่อตั้ง  ‘กลุ่มห้าพยัคฆ์ทีวีบี’ ขึ้นมา 
  • กลุ่มห้าพัคฆ์ทีวีบีนั้น ประกอบไปด้วยห้าพระเอกดาวรุ่งของช่อง 5 คน คือเหมียวเฉียวเหว่ย, ทังเจิ้นเยี่ย, หวงเย่อหัว, หลิวเต๋อหัว และเหลียงเฉาเหว่ย 
  • ในปี 2002 หลิวเต๋อหัวและเหลียงเฉาเหว่ย ได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ ‘สองคน สองคม’ (Infernal Affairs/2002) ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์

是谁在敲打我窗
ใครกันที่กำลังเคาะหน้าต่างฉัน
是谁在撩动琴弦
ใครกันที่กำลังเล่นเครื่องสาย
那一段被遗忘的时光
ช่วงเวลาเหล่านั้นถูกลืมเลือนไป
渐渐地回升出我心坎
ช่วงเวลานั้นค่อย ๆ กลับคืนสู่ในความทรงจำ

บทเพลง เพลง เป้ยอี๋วั่งเตอสือกวง (被遺忘的時光) หรือ The Forgotten Times เพลงประกอบภาพยนตร์ชุด ‘สองคนสองคม’ (Internal Affairs 2002) ในฉากที่ตัวละคร ‘สารวัตรหมิง’ ที่แสดงโดย ‘หลิวเต๋อหัว’ และ ‘อาหยั่น’ ที่แสดงโดย ‘เหลียงเฉาเหว่ย’ เปิดฟังขณะที่กำลังทดสอบเครื่องเสียง เป็นฉากสุดคลาสสิกของภาพยนตร์ฮ่องกงที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของใครอีกหลายคน 

ย้อนไปในช่วงยุค 80s ฮ่องกงในช่วงเวลานั้น ธุรกิจวงการบันเทิงกำลังเติบโต โดยเฉพาะวงการโทรทัศน์ ทางสถานีโทรทัศน์ ‘เทเลวิชัน บรอดคาสต์ ลิมิเต็ด’ (Television Broadcasts Limited) หรือที่รู้จักในชื่อ ‘ทีวีบี’ ได้กลายเป็นสถานีโทรทัศน์อันดับหนึ่งของฮ่องกง กำลังขยายเครือข่ายการจัดหน่ายมายังไต้หวัน และประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์ การสร้างละครโทรทัศน์เริ่มมีการพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั้งคุณภาพและจำนวนการผลิต ขณะที่ดาราในสังกัดของช่องนั้นมีจำนวนค่อนข้างจำกัด ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ก็จะมี เจิ้งเส้าชิว, หลิวสงเหยิน, โจวเหวินฟะ, วังหมิงฉวน และจ้าวหย่าจือ

ดังนั้นทางทีวีบีในช่วงต้นยุค 80 จึงมีความสนใจในด้านการพัฒนาบรรดานักเรียนการแสดงของสถานีให้ขึ้นมาเป็นนักแสดงทั้งพระเอกนางเอกมากขึ้น จนกระทั่งในปี 1983ทางทีวีบีประสบความสำเร็จอย่างสูงกับละครโทรทัศน์ ‘มังกรหยก’ ทั้งสองภาค จนก่อตั้ง ‘กลุ่มห้าพยัคฆ์ทีวีบี’ ขึ้นมา 

ห้าพยัคฆ์ทีวีบีนั้น นับว่าเป็นนักแสดงไอดอลของเอเชียกลุ่มแรก ๆ ที่มีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมอย่างสูงสำหรับในเอเชียยุคนั้น ทั้งงานแสดงและงานเพลง (ส่วนใหญ่เป็นเพลงประกอบละคร) ซึ่งกลุ่มห้าพัคฆ์ทีวีบีนั้น ประกอบไปด้วยห้าพระเอกดาวรุ่งของช่อง 5 คน คือเหมียวเฉียวเหว่ย, ทังเจิ้นเยี่ย, หวงเย่อหัว, หลิวเต๋อหัว และเหลียงเฉาเหว่ย 

ทั้งห้าล้วนเป็นพระเอกที่มีชื่อเสียงของทีวีบี และเป็นเหล่านักเรียนการแสดงทีวีบีทั้งสิ้น โดยมีหลิวเต๋อหัว และเหลียงเฉาเหว่ยเป็นนักเรียนการแสดงในรุ่นที่สิบ และรุ่นที่สิบเอ็ดตามลำดับ สำหรับหลิวเต๋อหัวและเหลียงเฉาเหว่ยนั้นเคยร่วมงานกันมาก่อน จาก ละคร ‘มือปราบจ้าวอินทรี’ (The Emissary,1982) ที่หลิวเต๋อหัวได้แสดงเป็นพระเอกครั้งแรก ส่วนเหลียงเฉาเหว่ยรับบทเป็นน้องชายของเขา 

ในตอนที่ก่อตั้งกลุ่มห้าพยัคฆ์ทีวีบีนั้น หลิวเต๋อหัวนับว่าเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับเอเชียแล้วจากบทบาท ‘เอี้ยก้วย’ ในละครมังกรหยก ภาคสอง ตอน จอมยุทธอินทรี (The Return of the Condor Heroes 1983) ส่วนเหลียงเฉาเหว่ยนั้นมาประสบความสำเร็จจาก ‘นักสู้ผู้พิทักษ์’ (Police Cadet ,1984) และได้แสดงประกบกับหลิวเต๋อหัวอีกครั้งใน ‘จอมยุทธอุ้ยเสี่ยวป้อ’ (The Duke of Mount Deer 1984) 

แต่ภายหลังหลิวเต๋อหัวมีปัญหาเรื่องการต่อสัญญากับทางทีวีบี ทำให้ของถูกทางทีวีบีแช่แข็งเป็นเวลา 400 วัน บทบาทสำคัญที่จะต้องได้แสดงก็ถูกยกให้กับนักแสดงคนอื่นหมด ในช่วงเวลานี้เอง หลิวเต๋อหัวก็หันไปสนใจงานภาพยนตร์ และงานร้องเพลงมากขึ้น ส่วนเหลียงเฉาเหว่ยได้รับการโปรโมตให้เป็นพระเอกเบอร์หนึ่งของช่องทดแทนโจวเหวินฟะ ที่หมดสัญญาและเข้าสู่วงการภาพยนตร์อย่างเต็มตัว 

ในปี 1985 หลังจากที่ ‘องเหม่ยหลิง’ เสียชีวิต ทางทีวีบีรีบรวบรวมดาราทั้งสถานี รวมถึงหลิวเต๋อหัว มาแสดงละครโทรทัศน์เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการโทรทัศน์ เรื่อง ‘ขุนศึกตระกูลหยาง’ (The Yang's Saga 1985) ที่รวบรวมห้าพยัคฆ์ทีวีบี และเหล่านักแสดงนับร้อยไว้ในเรื่องเดียว 

หลังจากนั้นหลิวเต๋อหัวก็เข้าสู่วงการภาพยนตร์อย่างเต็มตัวตามรอยรุ่นพี่อย่างโจวเหวินฟะ ในช่วงแรกหลิวเต๋อหัวจะแสดงภาพยนตร์ตลก และแอ็คชั่น มาเฟียตามความนิยมของยุคสมัย 

จนกระทั่งเขาได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวและเป็นดาราอันดับต้น ๆ ของเอเชีย จากบทบาท ‘อาหว่อ’ ในภาพยนตร์ ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ (A Moment of Romance 1990) ที่มีอิทธิพลอย่างสูงสำหรับวัยรุ่นเอเชียในยุค 90s ทั้งการแต่งตัวด้วยเสื้อยีนส์ แว่นตา Ray Ban Aviator ที่หลิวเต๋อหัวสวมใส่ในฉากปล้นครั้งแรก รวมการขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ 

ความสำเร็จของผู้หญิงข้าใครอย่าแตะทำให้ตลาดวงการภาพยนตร์เอเชีย อ้าแขนรับเขาในฐานะ ‘ซุปเปอร์สตาร์พระเอกสายโศก’ คือทุกเรื่องตัวละครของเขามักจะเสียชีวิตในตอนจบเพื่อเรียกน้ำตาแฟน ๆ โดยเฉพาะสาว ๆ จนถึงปัจจุบันหลิวเต๋อหัวแสดงภาพยนตร์ในบทนำแล้วประมาณ 160 เรื่อง และเสียชีวิตในภาพยนตร์ 46 เรื่อง 

เส้นทางในยุคทองของวงการภาพยนตร์ของเหลียงเฉาเหว่ยกลับแตกต่าง เมื่อเขาเข้ามาสู่วงการภาพยนตร์ ดาราอย่างเฉินหลง โจวเหวินฟะ หลิวเต๋อหัว โจวซิงฉือ และ หลี่เหลียนเจี๋ย (เจ็ท ลี) ต่างยึดบทบาทยอดนิยมที่ติดอยู่ในใจผู้ชมไปหมดแล้ว หนังแอ็กชันเสี่ยงตายไม่มีใครโดดเด่นเกินเฉินหลง หนังมาเฟียเจ้าพ่อหรือโคตรเซียนก็ไม่มีใครแย่งตำแหน่งของโจวเหวินฟะไปได้ หนังตลกก็ไม่มีใครที่จะตลกได้มากกว่าโจวซิงฉือ พระเอกสุดเท่เรียกรอยยิ้มและน้ำตาสาว ๆ ก็ไม่มีใครเด่นเกินกว่าหลิวเต๋อหัว และหนังกังฟูก็ไม่มีใครที่มีลีลากังฟูงดงามและดุดันได้เท่ากันกับหลี่เหลียนเจี๋ย 

หลังจากหมดสัญญากับทางทีวีบี เหลียงเฉาเหว่ยได้มีโอกาสร่วมงานกับยอดผู้กำกับแอ็คชั่นอย่าง ‘จอห์น วู’ สองเรื่อง คือ ‘กอดคอกันไว้อย่าให้ใครเจาะกะโหลก’ (Bullet in the Head 1990) และ ‘ทะลักจุดแตก’ (Hard Boiled 1992) แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก รวมถึงความพยายามที่จะแสดงภาพยนตร์ตลก อย่าง ‘เข้าแก๊งค์ไหนหัวหน้าตายหมด’ (Days of Being dumb 1992)  และ ‘มังกรหยกหยกก๊าหว่า’ (Eagle Shooting Heroes 1993) แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ 

จนกระทั่ง เขาได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้กำกับ ‘หว่องกาไว’ อย่างเต็มตัว ในภาพยนตร์เรื่อง ‘ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง’ (Chungking Express 1994) ทำให้เหลียงเฉาเหว่ยพบแนวทางทางการแสดง และทำให้เขาเป็นพระเอกสายภาพยนตร์เข้าชิงรางวัลตามเทศกาลต่าง ๆ

ในช่วงยุค 90s ทั้งหลิวเต๋อหัวและเหลียงเฉาเหว่ยนั้นมีแนวทางการแสดงของตัวเองอย่างชัดเจน หลิวเต๋อหัวได้รับรางวัลนักแสดงยอดนิยมสูงสุด (No.1 Boxoffice Actor award) ของวงการหนังจีนฮ่องกงและวงการภาพยนตร์เอเชียในรอบ 20 ปี สมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งเกาะฮ่องกงได้จัดเก็บสถิติรายได้ภาพยนตร์ในช่วงรุ่งเรือง ตั้งแต่ปี 1985 - 1997 ก่อนประเทศอังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนสู่จีนแผ่นดินใหญ่ หลิว เต๋อหัว เป็นนักแสดงที่มียอดรายได้ภาพยนตร์ (Box Office) สูงกว่า 1,200 ล้านเหรียญฮ่องกง (HKD) จากภาพยนตร์ที่เขาแสดงนำ (Leader Actor) ในภาพยนตร์ทุนจีนฮ่องกง จำนวน 73 เรื่อง 

ส่วนเหลียงเฉาเหว่ย เขาเป็นนักแสงชายที่ทำสถิติ นักแสดงที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมากที่สุดจากสองเวที คือ ‘Hong Kong Film Award’ และ ‘ม้าทองคำไต้หวัน’ รวมถึงการเป็นนักแสดงชายคนแรกของเอเชียที่คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก ‘เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์’ และล่าสุดกับการคว้ารางวัล ‘Lifetime Achievement Award’ จากเทศกาลภาพยนตร์เวนิสครั้งที่ 80  

เส้นทางขนานได้บรรจบ 

ในปี 2002 หลิวเต๋อหัวและเหลียงเฉาเหว่ย ได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ ‘สองคน สองคม’ (Infernal Affairs/2002) ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ ในปีนั้น เหลียงเฉาเหว่ยก้าวเข้ามาสู่การเป็นนักแสดงทำเงินอย่างเต็มตัวเพราะนอกจากสองคนสองคมแล้ว เขายังมีผลงานระดับ บล็อกบัสเตอร์ของจีนอย่าง ‘Hero’ (2002) ผลงานกำกับของ ‘จางอี้โหมว’ ส่วนหลิวเต๋อหัว ก็คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในเวทีม้าทองคำไต้หวัน  จาก ‘ปิดตำนานสองคนสองคม’ (2003) ภาคสามของหนังไตรภาคชุดนี้ 

ในช่วงปลายปี 2023 ภาพยนตร์เรื่อง ‘The Goldfinger’ ภาพยนตร์ดราม่าอาชญากรรม ที่เล่าถึงคดีทุจริต ‘Carrian Group’  ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถึง 1980 ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่หลิวเต๋อหัวและเหลียงเฉาเหว่ยได้แสดงร่วมกันอีกในรอบ 20 ปี หลังจาก ปิดตำนานสองคนสองคม (Infernal Affairs II 2003) และยังได้ ‘เฟลิกซ์ ช่ง’ ผู้เขียนบทไตรภาค สองคนสองคม และ ผู้กำกับ ‘เกมหักเหลี่ยม เฉือนคม’ (project gutenberg   2018) มากำกับและเขียนบทอีกด้วย 

The Goldfinger (2023) นับว่าเป็นอีกบทบันทึกสำคัญในวงการภาพยนตร์และภาพสะท้อนความสำเร็จอย่างยาวนานกว่า 40 ปีของ ซุปเปอร์สตาร์หลิวเต่อหัว และเหลียงเฉาเหว่ยที่จะออกฉายในเมืองไทยในวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ 

 

เรื่อง : เพจ เก้ากระบี่เดียวดาย
ภาพ : GSC Movies / Youtube