28 พ.ย. 2561 | 16:42 น.
ถ้าพูดถึงซีรีส์โทรทัศน์ยอดนิยมของยุคนี้ คงหนีไม่พ้น Game of Thrones ซีรีส์แฟนตาซีฟอร์มยักษ์จากช่อง HBO ที่กำลังเดินทางมาถึงภาคสุดท้ายในปี 2019 นี้ ถึงแม้ซีรีส์ดังกล่าวจะมีตัวละครมากกว่า 250 ตัว (และตายไปแล้วหลายร้อยตัวเหมือนกัน) แต่หนึ่งในตัวแปรสำคัญตั้งแต่ซีซั่น 1 ก็คือ “แดเนริส ทาร์แกเรียน” หรือ “คาลิซี” แม่มังกรผู้เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียวแห่งตระกูลทาร์แกเรียน เธอเป็นตัวละครหญิงสาวที่เริ่มจากจุดต่ำสุดในชีวิต ก่อนจะใช้ความเป็นสตรีทวงคืนอำนาจสูงสุดของตระกูลตัวเองกลับมา หากอิงตามฉบับนิยาย คาลิซีปรากฏตัวครั้งแรกด้วยวัยเพียง 13 ปี เป็นเด็กสาวหน้าใสที่มีเส้นผมขาวยาวเหลือบเงินงดงาม ส่วนฉบับซีรีส์ได้ เอมิเลีย คลาร์ก นักแสดงสาวชาวอังกฤษผู้มีผมสีบรอนซ์แดงมารับบทนำ เดิมทีการถ่ายทำตอนนำร่อง ผู้แสดงคือ แทมซิน เมอร์ชานต์ นักแสดงสาวชาวอังกฤษอีกคน แต่ไม่ทราบด้วยเหตุผลใด เมอร์ชานต์ทิ้งบทนี้หลังถ่ายทำเสร็จ เปิดโอกาสให้ เอมิเลีย คลาร์ก เข้ามาสวมบทนี้แทน และกลายเป็นบทที่เปิดประตูให้เอมิเลียเข้าสู่วงการบันเทิงเต็มตัว ดี.บี. ไวสส์ หนึ่งในโปรดิวเซอร์ Game of Thrones กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกเอมิเลียว่า “มีนักแสดงหลายร้อยคนที่มาคัดตัว แต่ตัวละครนี้ต้องเดินทางเข้าสู่แนวทางแบบ โจน ออฟ อาร์ก ที่จะต้องเสียสละอย่างแรงกล้า ซึ่งมีนักแสดงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถแสดงได้” ย้อนกลับไปเอมิเลียมีความสนใจด้านการแสดงมาตั้งแต่ 3 ขวบ วันนั้นคุณแม่ได้พาเธอไปชมละครมิวสิคคัล Show Boat ซึ่งคุณพ่อของเธอทำงานระบบเสียงอยู่เบื้องหลัง ความยิ่งใหญ่ของละครจุดประกายให้เธอปรารถนาอยากเป็นนักแสดงทันที ครั้นเติบโตเธอจึงสั่งสมความรู้ทางการแสดง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และเรียนโรงเรียนสอนการแสดงมาโดยตลอด ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังมีโอกาสเรียนศิลปะแขนงอื่นทั้งดนตรี ร้องเพลง หรือการแสดงขั้นสูงอย่างละครเวทีอีกด้วย ฉะนั้นหากเอมิเลียมิได้ทำอาชีพนักแสดง เธออาจเป็นนักร้อง สถาปนิก หรือกราฟิกดีไซเนอร์ไปแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น การรับบทคาลิซีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอ เอมิเลียต้องอ่านฉบับนิยายหลายเล่ม และการถ่ายทำก็มีความเครียดสูง เพราะคาลิซีเป็นตัวละครที่ต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาล แถมยังมีฉากเปลือยกาย รวมไปถึงฉากเพศสัมพันธ์หลายฉาก จนบางครั้งเธอไม่สามารถถอดคาแรคเตอร์ออกจากคาลิซีในโลกแห่งความจริง หนึ่งในฉากสร้างชื่อของเธอคือฉากเผากระโจมผู้นำเผ่าโดธรากีตายยกหมู่ ก่อนจะเดินเปลือยกายออกมาราวปาฏิหาริย์ เธอเคยสารภาพว่าการทำใจเปลือยกายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย กระทั่งต้องพึ่งตัวช่วยอย่างเหล้า ‘วอดก้า’ ย้อมใจก่อนถ่ายทำ อย่างไรก็ตามเอมิเลียกล่าวถึงฉากนี้ว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและทรงพลัง เพราะมันเป็นฉากเพิ่มอำนาจของสตรีอย่างแท้จริง “ฉันกังวลเหมือนกันที่จะแสดงฉากนั้น แต่มันไม่ใช่ฉากเซ็กซี่ที่เปลือยอย่างไร้เหตุผล เธอเปลือยกายเพราะเพิ่งฆ่าศัตรูจากเปลวไฟมหึมา หลังจากที่พวกเขาดูถูกเธอ” จะว่าไป Game of Thrones ไม่ใช่เรื่องเดียวที่เธอแสดงฉากเปลือย ก่อนหน้านี้ในปี 2013 เอมิเลียเคยแสดงละครเวที Breakfast at Tiffany's ซึ่งต้องมีฉากเปลือยกายลงอ่างอาบน้ำด้วย ส่วนเหตุผลที่เธอยินดีแสดงฉากเปลือยก็เพราะฉากนั้นเล่าเรื่องราวสำคัญของภาพยนตร์ "ถ้าฉากเปลือยขับเคลื่อนเรื่องราวหรือทำให้เข้าใจคาแรคเตอร์ตัวละคร ฉันก็ยินดีแสดง... ฉันปฏิเสธการใช้นักแสดงแทนเพราะนั่นคือตัวฉัน ความภาคภูมิใจ และความโดดเด่นของฉันซึ่งไม่มีใครแทนได้ ฉันมีความสุขจริงๆ ที่ตอบตกลง” ในบทสัมภาษณ์กับ The Telegraph เอมิเลียอธิบายถึงระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ได้รับบท แดเนริส ทาร์แกเรียน ว่า เป็นบทเรียนที่สอนเธอถึงพลังอำนาจของสตรี และเป็นแรงกระตุ้นให้เธอน้อมรับแนวคิดเฟมินิสม์ “การแสดงทำให้ฉันเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมและความเกลียดชัง เมื่อแดเนริสกลายเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจ คุณไม่สามารถหลบซ่อนได้อีกต่อไป คุณกำลังป่าวประกาศให้ผู้คนเข้าใจถึงสังคมที่เท่าเทียมซึ่งพวกเราอยากทำให้ได้” อีกหนึ่งเหตุผลที่เธอมีกรอบความคิดเฟมินิสม์ก็เพราะเติบโตมากับครอบครัวที่แม่เป็นคนทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวไม่ต่างจากคุณพ่อ การเห็นผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจเท่าเทียมผู้ชายจึงเป็นเรื่องปกติ “ฉันเติบโตมากับแนวคิดความเสมอภาคอย่างแท้จริง มันถูกฝังอยู่ในทุกการกระทำ ทางเลือก และพฤติกรรมของครอบครัว มันเป็นการยอมรับความเป็นจริงว่าฉันในฐานะผู้หญิงไม่ต่างอะไรกับน้องชาย หรือแม่ที่ทำงานหาเงินไม่ต่างจากพ่อ ดังนั้นการเติบโตมากับความเท่าเทียมในการหารายได้ ความเท่าเทียมในการจัดการเรื่องต่างๆ ภายในบ้านที่ผู้ชายทำได้ ผู้หญิงก็ทำได้ และควรจะทำด้วย” เอมิเลียเชื่อว่าทุกคนมีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาเพื่อสิทธิสตรีในทุกๆ วัน และเชื่อว่าทุกคนมีพลังมากพอที่จะลบความเกลียดชังด้วยความยุติธรรม การเปิดใจ และความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน “ฉันในฐานะมนุษย์ (ที่ไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง) มีโอกาสต่อกรกับความเกลียดชัง ไม่ใช่เพียงแค่ช่วงเวลานี้แต่ทุกๆ วัน ฉันเชื่อว่าเราควรเริ่มต้นที่ความเข้าอกเข้าใจกัน ความเข้าใจเพียงนิดเดียวสามารถการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ ความเมตตาคือความเซ็กซี่อย่างหนึ่ง มันเป็นสิ่งดีสำหรับพวกเรา ทำให้เรารู้สึกมีความสุขและมีคุณค่า ความเคลื่อนไหวเชิงบวกต่างๆ เกิดจากการกระทำเล็กๆ ที่ค่อยสะสมจนกลายเป็นขบวนการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ ความเคลื่อนไหวที่จะเปลี่ยนแปลงความเท่าเทียมทางสังคม... ด้วยกระบอกเสียงที่ฉันมี ฉันหวังว่าแนวคิดเฟมินิสม์ที่ถูกปลูกฝังจะกลายเป็นเรื่องปกติของคนรุ่นใหม่ เด็กผู้ชายหรือผู้หญิงจะเติบโตขึ้นมาด้วยความเข้าใจว่าพวกเขาเท่าเทียมกัน” จากดาราไร้ชื่อสู่อีกหนึ่งกระบอกเสียงสำคัญของเฟมินิสม์ กล่าวได้ว่า Game of Thrones เป็นซีรีส์สร้างชื่อให้เธอประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เธอให้สัมภาษณ์กับ ET ถึงการถ่ายทำซีซั่นสุดท้ายว่า รู้สึกใจสลายที่จะต้องบอกลา Game of Thrones บททุกหน้าที่อ่านทำเธอร้องไห้ ทั้งยังโพสต์ภาพลงอินสตาแกรมพร้อมข้อความร่ำลาแฟรนไชส์นี้ “ขอบคุณชีวิตที่ฉันไม่เคยใฝ่ฝันเลยว่าจะมาอยู่ที่นี่ได้ ฉันจะไม่หยุดคิดถึงมันเลย" เช่นเดียวกับแฟนคลับ Game of Thrones ที่เข้าไปแสดงความคิดเห็นตอบเธอว่า “ขอบคุณ” ปิดฉากบทบาท แดเนริส ทาร์แกเรียน อย่างเป็นทางการ ที่มา