16 ธ.ค. 2562 | 12:30 น.
“มารายห์เป็นคนที่รักคริสต์มาสมาก ๆ เธอชอบที่จะลงไปนอนบนหิมะ และใส่ชุดเป็นซานตาคลอส หรือกวางเรนเดียร์” เทย์ ลอเรนซ์ นักร้องประสานของมารายห์
หลังประสบความสำเร็จอย่างมากกับอัลบั้ม Music Box ในปี 1993 ต่อมา มารายห์ แครี่ (Mariah Carey) ได้รับการติดต่อจากค่ายเพลงของเธออย่าง โคลัมเบีย เรคคอร์ด และมีการพูดคุยกันถึงความเป็นไปได้ที่เธอจะหันมาทำอัลบั้มเพลงเทศกาลอย่าง “คริสต์มาส” บนความเสี่ยงที่ว่า จะแป้กในตอนที่กำลังรุ่งสุด ๆ หรือไม่? เพราะในวงการเพลงเคยมีหลักฐานออกมาให้เห็นแล้วว่า การที่ศิลปินที่กำลังรุ่งสุด ๆ หันมาทำอัลบั้มรวมเพลงคริสต์มาส ในท้ายที่สุดมันคือสัญญาณเตือนว่า อาชีพนักร้องของคุณใกล้ถึงทางตันเเล้ว ซึ่งนี่คือความกังวลของยอดโปรดิวเซอร์คู่บุญของ มารายห์ อย่าง วอลเตอร์ อฟานาเซียฟ (Walter Afanasieff) แต่ในสายตาของ ทอมมี มอตโตลา (Tommy Mottola) ผู้บริหารของโคลัมเบีย เรคคอร์ด และเป็นสามีของมารายห์ในขณะนั้น กลับมองว่าถ้าหากไม่ทำตอนที่กำลังดังสุด ๆ แล้วจะทำตอนไหนกันเล่า?
อัลบั้มเพลงคริสต์มาส มักจะเป็นผลงานที่ศิลปินหรือค่ายเพลงทำออกมาเพื่อฆ่าเวลาหรือให้สอดรับกับธีมของเทศกาล ศิลปินส่วนใหญ่มักจะเลือกหยิบผลงานเพลงฮิต ๆ ในอดีต นำมาจับแต่งตัวใหม่ให้เข้ากับสไตล์ของตัวเอง รูปแบบเหล่านี้เปรียบเหมือนเป็นบังเกอร์หลบภัย ที่คอยช่วยให้ศิลปินรอดชีวิตจากสถานการณ์ดังกล่าว มีน้อยคนนักที่จะหาญกล้าลุกขึ้นมาแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ ๆ แล้วกลบเสียงของสองนักร้องเจ้าพ่อแห่งเทศกาลนี้อย่าง บิง ครอสบี้ (Bing Crosby) หรือ แฟรงก์ ซินาตรา (Frank Sinatra) ลงได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมอฟานาเซียฟถึงไม่อยากให้ศิลปินที่เขาร่วมสร้างมาต้องตกอยู่ในสถานการณ์นั้น แต่ท้ายที่สุด มอตโตลาในฐานะผู้บริหารของค่าย เล็งเห็นว่าความสำเร็จของมารายห์ในเพลง ‘Dreamlover’ หรือ ‘Hero’ จากอัลบั้มก่อนหน้าคือสัญญาณไฟเขียวที่บอกว่ามันถึงเวลาที่เธอควรจะมีเพลงคริสต์มาสเป็นของตัวเองได้แล้วและด้วยความพยายามของมอตโตลาสุดท้ายเขาก็ได้ผลักดันให้โปรเจกต์ชิ้นนี้เกิดขึ้น
“ย้อนกลับไปตอนนั้น ศิลปินที่หันมาทำอัลบั้มเพลงคริสต์มาสยังมีจำนวนไม่มาก เรียกได้ว่าตอนนั้นไม่มีใครแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ ๆ ที่ดังได้เลย” อฟานาเซียฟเล่าถึงความกังวลของเขาในช่วงนั้น
แม้ตัวมารายห์เองจะรักเทศกาลนี้มากขนาดไหนก็ตาม แต่ตัวเธอในตอนนั้นก็ยังไม่แน่ใจเช่นกันว่า สิ่งที่สามีของเธอและค่ายเพลงกำลังวางแผนจะส่งผลดีต่ออาชีพนักร้องของเธออย่างไร
“ตอนนั้นฉันค่อนข้างจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ และไม่ค่อยแน่ใจว่ามันใช่เวลาที่ถูกหรือไม่ แต่หากมองย้อนกลับไปมันก็เป็นไอเดียที่ดี เพราะมันคือการบันทึกช่วงเวลาในตอนนั้น ฉันเลยบอกกับทุกคนว่างั้นเพลงนี้ฉันขอลองใส่อะไรที่เป็นจิตวิญญาณของคริสต์มาสสำหรับฉันลงไปได้ไหม”
ในเวลาต่อมา มารายห์ และ อฟานาเซียฟ ตัดสินใจกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง โดยมีโจทย์ที่พวกเขาเห็นพ้องร่วมกันว่า อัลบั้มชุดนี้ต้องมีเพลงคริสต์มาสใหม่ ๆ ที่ต้องฮิตด้วย สุดท้ายจากน้ำพักน้ำแรงของทั้งคู่ทำให้เกิดเป็นเพลงคริสต์มาสที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาลอย่าง ‘All I Want for Christmas Is You’
[caption id="attachment_16672" align="aligncenter" width="1000"] Merry Christmas (1994)[/caption]
15 นาที คือเวลาที่ทั้งคู่ร่วมกันแต่งเพลงนี้ขึ้นมา อฟานาเซียฟมองว่าการใช้เวลาแต่งที่สั้นแบบนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเพลงนี้คือความเรียบง่ายที่ทุกคนเข้าถึงได้ "นี่มันไม่ใช่เพลงที่ซับซ้อนขนาด ‘Swan Lake’ ของไชคอฟกี้ มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเพลงนี้ฮิต เพราะมันทั้งเรียบง่ายและกลมกล่อม” แม้ทั้งคู่จะมีเถียงกันบ้างระหว่างทำเพลงนี้ด้วยกัน แต่ อฟานาเซียฟก็เล่าต่อว่า พวกเขาค้นพบหัวใจของเพลงจากการแจมร่วมกัน
“ตอนแรก มารายห์ยืนกรานที่จะนำเมโลดี้ที่เธอคิดได้ใส่ลงไปในเพลง เธอบอกว่ามันคือแนวทางของเพลง แม้ผมจะไม่เข้าใจมันในทีแรกก็ตาม แต่สุดท้ายเราทั้งคู่ต่างร่วมกันหานิวเคลียสของเพลงเจอ ผมเริ่มเล่นเปียโนในแบบร็อกแอนด์โรลล์ ที่มีจังหวะแบบดนตรีบูกี้วูกี้ที่มือซ้าย ซึ่งมันกลายเป็นไอเดียให้เธอคิดเมโลดี้ในท่อนแรกออก เราได้โครงของทั้งเพลงภายใน 15 นาที มันเป็นเพลงที่ง่ายกว่าเพลงอื่น ๆ ที่เราเคยทำซะด้วยซ้ำ แถมยังมีทางเดินคอร์ดที่ธรรมดามาก ๆ ผมพยายามใส่อะไรที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอลงไป ซึ่งสุดท้ายมันก็ออกมาพิเศษจริง ๆ ”
เรื่องราวที่มารายห์ถ่ายทอดลงไปในเพลง คือภาพบรรยากาศของเทศกาลคริสต์มาสที่บ้านของเธอใน อัพสเตท นิวยอร์ก เธอต้องการจะให้ทุกคนที่ได้ฟังจินตนาการตามถึง ภาพการตกแต่งต้นคริสต์มาส การนำเครื่องประดับหลากสีสันต่าง ๆ มาติดตามต้นสนที่ล้อมไปด้วยดวงไฟสีเหลือง หรือ การโต้ตอบกันไปมาของผู้คนในหนังเรื่อง It's a Wonderful Life ที่เธอเปิดทิ้งไว้ที่ชั้นล่างของบ้าน ทั้งหมดคือภาพแห่งความสุขที่เธอต้องการจะสื่อสารออกมา
“ไม่ว่าจะของขวัญใต้ต้นคริสต์มาส หรือการแขวนถุงเท้าไว้ หรือแสงไฟ หรือหิมะ อะไรพวกนั้น แต่ท่อนที่ฉันชอบที่สุดในเพลงคือ “I won’t even wish for snow.” เพราะฉันฝันอยากให้มีหิมะอยู่ตลอดอยู่แล้ว ฉันอยากจะให้มันเป็นเทศกาลที่ใหญ่โตและแสนพิเศษ และตอนที่ฉันเขียนสิ่งพวกนี้ ฉันนั่งทำลิสต์สิ่งต่าง ๆ ที่ฉันนึกขึ้นได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และสร้างสรรค์มันขึ้นมา เปลี่ยนให้เป็นเหมือนคนรักที่ห่างหายกันไปนานแสนนาน และส่วนนั้นแหละ ฉันจะจดจำมันไปตลอด ตอนที่ฉันกับวอลเตอร์ (อฟานาเซียฟ) อยู่ในห้องอัดด้วยกัน เรามีไอเดียที่แตกต่างกันไป สิ่งหนึ่งที่ฉันทำตอนนั้นคือเปลี่ยนห้องอัดให้อยู่ในธีมคริสต์มาส แม้ช่วงนั้นมันจะเป็นช่วงหน้าร้อนก็ตาม”
ส่วนตัว มารายห์เป็นคนที่ค่อนข้างอินกับเทศกาลคริสต์มาสเป็นอย่างมาก เนื่องจากชีวิตวัยเด็กของเธอที่ลำบาก ทำให้ทุกคริสต์มาสสำหรับเธอเปรียบเป็นช่วงเวลาที่เด็กสาวคนหนึ่งจะได้มีความสุข นี่คือแรงบันดาลใจที่ทำให้มารายห์ ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น “Queen of R&B” ตั้งใจกับผลงานนี้มาก
“เรื่องของเรื่องคือ ทุก ๆ คริสต์มาสฉันอยากจะให้มันออกมาสมบูรณ์แบบ ตอนที่ฉันยังเด็กฉันตั้งตารอคอยเทศกาลนี้มาตลอด แต่ทุกปีมันก็จะเกิดเรื่องแย่ ๆ ขึ้นเสมอ เพราะครอบครัวฉันมีปัญหา แม้แม่ของฉันพยายามจะทำให้ทุกอย่างดูสนุก แต่ความที่บ้านของเราไม่ค่อยมีเงินมากนัก แม่เลยทำได้เพียงเอาผลไม้มาห่อ หรือเอาอะไรต่าง ๆ นานา มาทำเป็นของขวัญ ตั้งแต่นั้นฉันเลยบอกกับตัวเองว่า ถ้าฉันโตขึ้น คริสต์มาสของเราจะไม่เป็นแบบนั้นอีก และมันจะต้องสมบูรณ์แบบในทุกปี”
ครั้งแรกที่เพลงนี้ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ปี 1994 มันไม่ใช่เพลงที่ทำลายกำแพงชาร์ตบิลบอร์ด หรือมียอดขายทะลุล้านก็อปปี้ได้ในช่วงข้ามคืน ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว เพลงนี้แทบจะไม่ติด 40 เพลงในชาร์ต บิลบอร์ด ฮอต 100 ด้วยซ้ำ แต่แล้วเวลาผ่าน จิตวิญญาณของคริสต์มาสที่มารายห์หว่านไว้ ก็ค่อย ๆ ผลิดอกออกผล โดยในปี 2018 ‘All I Want for Christmas Is You’ สามารถทะยานขึ้นไปอยู่อันดับสามของชาร์ตดังกล่าว และล่าสุดในปี 2019 หลังจากรอมา 25 ปี เพลงของ มารายห์ เพลงนี้ก็สามารถขึ้นไปสู่อันดับหนึ่งของชาร์ทบิลบอร์ด ฮอต 100 ได้สำเร็จ ปรากฏการณ์เหล่านี้คือสิ่งที่ตัวมารายห์เองก็ไม่เคยคิดฝันเอาไว้
“ตอนนั้นฉันตื่นเต้นมากเลยล่ะ ฉันอยากให้มันรู้สึกคลาสสิก แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะคลาสสิกจริง ๆ ฉันพูดอย่างถ่อมตัวเพราะว่าเพลงคริสต์มาสเป็นอะไรที่พิเศษกับฉันมาก ฉันแค่ต้องการจะถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองลงในเพลง เพื่อจะให้มันออกมาเป็นเพลงที่ขนาดฉันฟังเองก็ยังรู้สึกมีความสุขกับเทศกาลนี้ เพราะฉะนั้นการที่ได้เห็นเพลงยังฮิตแม้จะผ่านมากี่ปีแล้ว มันเป็นอะไรที่วิเศษมาก ฉันไม่เคยคาดหวังเลย”
‘All I Want for Christmas Is You’ มีอายุครบ 25 ปี ในปีนี้ (2019) โดยกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมามันทำเงินให้กับมารายห์สูงถึง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,782 ล้านบาท อีกทั้งยังถูกหนังสือกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส บันทึกว่าเป็นหนึ่งในเพลงคริสต์มาสที่ประสบความสำเร็จที่สุด ทำลายสถิติเพลงประจำเทศกาลคริสต์มาสโดยศิลปินเดี่ยว ที่อยู่ในลำดับสูงที่สุดบนชาร์ตบิลบอร์ด ฮอต 100 และเป็นเพลงที่ถูกเปิดฟังมากที่สุดใน 24 ชั่วโมงบนสตรีมมิ่งชื่อดังอย่าง Spotify อีกทั้งยังเป็นเพลงประจำเทศกาลคริสต์มาสที่รั้งตำแหน่งท็อป 10 บนชาร์ตเพลงของประเทศอังกฤษต่อเนื่องหลายสัปดาห์มากที่สุด