‘ลานา เดล เรย์’ นักร้องผู้ร่ายมนต์สะกดทั้งโลก ด้วยเพลงหม่นเศร้า หมกมุ่นกับความตาย

‘ลานา เดล เรย์’ นักร้องผู้ร่ายมนต์สะกดทั้งโลก ด้วยเพลงหม่นเศร้า หมกมุ่นกับความตาย

เหตุผลที่ ‘ลานา เดล เรย์’ นักร้องชาวอเมริกันผู้บุกเบิกแนวเพลง ‘sadcore’ ที่เน้นความเศร้าโศกในชีวิต ก้าวมาถึงจุดนี้

  • ชีวิตวัยเด็กของเดล เรย์ ไม่ได้สดใสเรียบง่ายนัก เธอกลายเป็นเด็กที่ขี้ตื่นตระหนกและวิตกกังวล เป็นผลจากเมื่อตอนอายุ 4 ขวบ เธอได้ดูรายการทีวีที่มีการนำเสนอเรื่องคนถูกฆ่าตาย ด้วยความสงสัยเธอจึงหันไปถามพ่อแม่ว่า “เราทุกคนจะตายกันหมดหรือคะ?”
  • เธอเข้าเรียนสาขาอภิปรัชญา ที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมในย่านบรองซ์ โดยให้เหตุผลที่ตัดสินใจเรียนด้านนี้เพราะเป็นวิชาที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างพระเจ้ากับวิทยาศาสตร์ 
  • เนื้อเพลงที่เดล เรย์ แต่ง เจาะลึกหัวข้อที่ซับซ้อนมากมาย เช่น ความรัก ความสัมพันธ์ ประสบการณ์ของเธอกับชื่อเสียง วัฒนธรรมป็อป ศาสนา ความรักชาติ และความโหยหาอดีต ทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านการผสมผสานระหว่างเวทมนตร์ ความเย้ายวนใจ ความงาม ความกล้าหาญ การทำลายล้าง และความโศกเศร้า อย่างมีเอกลักษณ์

ด้วยความตลาดเพลงป็อปช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของ ‘เคที เพร์รี’ และ ‘บริทนีย์ สเปียร์ส’ จึงไม่แปลกที่เมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 2010 แฟนเพลงจะเริ่มโหยหาอะไรใหม่ ๆ

นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ ‘ลานา เดล เรย์’ (Lana Del Rey) ปรากฏตัวขึ้นในโลกดนตรี ด้วยเสียงหลอนอันเป็นเอกลักษณ์ ร้องคลอไปกับดนตรีที่บรรเลงกันสด ๆ ล่อลวงคนฟังให้หลงใหล ก่อนจะถูกดึงให้จมลงไปในเรื่องราวของเนื้อเพลงอันเศร้าหม่นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

‘อเล็กซานดรา ชุลแมน’ บรรณาธิการ ‘British Vogue’ เคยให้เหตุผลไว้เมื่อปี 2012 ว่า ทำไมเดล เรย์ จึงไม่ถูกกลืนจมไปกับคลื่นความสำเร็จของอัลบั้ม 21 ของ ‘อะเดล’

“ฉันเป็นหนึ่งในหลายพันคนที่หลงใหลการเปล่งเสียงจากลำคอสุดเย้ายวนของลานา เดล เรย์ ตอนที่ฉันได้ชมการแสดงของเธอที่อีเวนต์เล็ก ๆ ในลอนดอน ฉันเชื่อว่าเธอต้องดังแน่นอน”

ทว่าเสียงหลอน ๆ ยังไม่ทำให้เธอเปล่งประกายพอในโลกดนตรีที่เต็มไปด้วยนักร้องมากพรสวรรค์

“ผู้คนยังไม่สนใจฉันมากพอ ฉันจึงลดโทนเสียงให้ต่ำลงเพราะเชื่อว่ามันจะช่วยให้ฉันโดดเด่นขึ้น” เดล เรย์กล่าว พร้อมกันนั้นเธอยังปั้นแต่งตัวเองด้วยสไตล์วินเทจยุค 50s ถึง 60s ทั้งการแต่งหน้าแต่งตัว ที่ดูลงตัวเข้ากับเธอมาก ๆ

เดล เรย์ รักษาสไตล์ที่ว่ามานี้อย่างคงเส้นคงวานับตั้งแต่อัลบั้มเปิดตัว ‘Born to Die’ ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นแรงบันดาลใจของศิลปินชื่อดังหลายคน ที่ชื่นชอบการนำเสนอที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นโอลิเวีย โรดริโก, บิลลี ไอลิช และเมดิสัน เบียร์

ส่วนรุ่นใหญ่ในวงการต่างก็พากันชื่นชมเธอไม่ขาดปาก เช่น ‘เอลตัน จอห์น’ ที่ถึงขั้นเปรียบเทียบเธอกับ ‘พริ้นซ์’ นอกเหนือจากความสามารถทางดนตรีแล้ว เธอยังมีความสามารถด้านบทกวี เคยออกหนังสือบทกวีชื่อ ‘Violet Bent Backwards over the Grass’ ซึ่ง ‘นายใหญ่แห่งวงการอเมริกันร็อก’ อย่าง ‘บรูซ สปริงส์ทีน’ ยกย่องให้เธอเป็นหนึ่งในนักแต่งเพลงชาวอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ขณะที่นิตยสารทรงอิทธิพลแห่งโลกดนตรีอย่าง ‘Rolling Stone’ จัดอันดับให้เธออยู่ใน 200 รายชื่อ นักร้องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ประจำปี 2023 ส่วน ‘Rolling Stone UK’ ยกย่องให้เธอเป็นนักแต่งเพลงชาวอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21

อะไรคือเหตุผลที่ ‘ลานา เดล เรย์’ นักร้องชาวอเมริกันผู้บุกเบิกแนวเพลง ‘sadcore’ ที่เน้นความเศร้าโศกในชีวิต ก้าวมาถึงจุดนี้ เรื่องราวต่อไปนี้คือคำตอบ 

‘ลานา เดล เรย์’ นักร้องผู้ร่ายมนต์สะกดทั้งโลก ด้วยเพลงหม่นเศร้า หมกมุ่นกับความตาย

จุดกำเนิดพระแม่ผู้รันวงการเพลงเศร้า 

ลานา เดล เรย์ คือชื่อในวงการของ ‘เอลิซาเบธ วูลริดจ์ แกรนต์’ (Elizabeth Woolridge Grant) หรือ ‘ลิซซี’ (Lizzy) สาวเชื้อสายสก็อตแลนด์ ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1985 ในเมืองแมนฮัตตัน นิวยอร์กซิตี้ สหรัฐอเมริกา

ตอนที่ เดล เรย์ เกิด พ่อแม่ของเธอทำงานในแวดวงโฆษณาในนิวยอร์กซิตี้ แต่หลังจากเธออายุได้ประมาณ 1 ปี พวกเขาก็หันหลังให้ชีวิตฟู่ฟ่าในเมือง แล้วย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านเลคพลาซิด (Lake Placid) ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก ซึ่งทำให้ เดล เรย์ และน้องอีก 2 คน ได้แก่ ‘แคโรไลน์’ และ ‘ชาร์ลี’ เติบโตขึ้นท่ามกลางวิวธรรมชาติที่งดงาม โดยพ่อของเธอหันไปทำงานให้กับบริษัทเฟอร์นิเจอร์ ก่อนจะผันตัวไปลงทุนออนไลน์ ส่วนแม่ทำงานเป็นคุณครู

แต่ชีวิตวัยเด็กของเดล เรย์ ไม่ได้สดใสเรียบง่ายนัก เธอกลายเป็นเด็กที่ขี้ตื่นตระหนกและวิตกกังวล เป็นผลจากเมื่อตอนอายุ 4 ขวบ เธอได้ดูรายการทีวีที่มีการนำเสนอเรื่องคนถูกฆ่าตาย ด้วยความสงสัยเธอจึงหันไปถามพ่อแม่ว่า “เราทุกคนจะตายกันหมดหรือคะ?”

หลังจากพ่อแม่ตอบว่า “ใช่” สาวน้อยเสียใจหนักมาก เธอเอาแต่ร้องไห้และพูดว่า “เราต้องย้ายแล้ว”

เหตุการณ์นี้ทำให้เธอเอาแต่ ‘หมกมุ่น’ เรื่อง ‘ความตาย’ จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่

เมื่อถึงวัยเข้าเรียน เดล เรย์เข้าเรียนในโรงเรียนคาทอลิก ซึ่งเปิดโอกาสให้เธอได้แสดงความสามารถในฐานะนักร้องต้นเสียงคณะนักร้องประสานเสียงของโบสถ์ ตอนนี้เธอเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองมีความสนใจเรื่องดนตรีและการร้องเพลง

แต่แทนที่จะมุ่งมั่นเดินไปตามเส้นทางที่ฝัน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออายุ 14 – 15 ปี เธอกลับติดแอลกอฮอล์อย่างหนัก ซึ่งเธอเคยให้สัมภาษณ์ถึงช่วงเวลาอันมืดหม่นนั้นว่า “ตอนนั้นฉันเป็นนักดื่มตัวยงเลย ฉันดื่มทุกวัน ดื่มคนเดียว ฉันคิดว่าเรื่องนี้เจ๋งมาก สิ่งที่ฉันเขียนไว้มากมายใน Born to Die ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับช่วงเวลารกร้างว่างเปล่านี้แหละ

“พ่อแม่ของฉันค่อนข้างกังวล ฉันเองก็กังวล ฉันรู้ว่ามันเป็นปัญหาตอนที่ฉันชอบมันมากกว่าการทำสิ่งอื่นใด ฉันแม่งโคตรเลว เลวจริง ๆ”

เมื่อไม่สามารถรับมือกับลูกสาวขี้เมาได้ พ่อแม่จึงส่งเธอไปเข้าโรงเรียนเคนต์ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำที่เข้มงวดในคอนเนตทิคัต โดยมีลุงซึ่งทำงานที่โรงเรียนเคนต์เป็นคนส่งเสีย

แต่พอย้ายโรงเรียนใหม่ ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นอีก นั่นคือปัญหาเรื่องการเข้าหาเพื่อน ซึ่งกลายเป็นปัญหาติดตัวเธอตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นยาวไปถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น

​เมื่อต้องเลือกเส้นทางอาชีพ

หลังเรียนจบมัธยมตอนอายุ 18 ปี ชีวิตเดล เรย์ จึงเริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น เธอขอไปอยู่กับป้าและลุงที่ลองไอส์แลนด์ 1 ปี ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ ก่อนจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย

ที่ลองไอส์แลนด์นี้เอง ลุงของเธอได้สอนให้เธอเล่นกีตาร์ ซึ่งทำให้เธอเกิดความคิดว่า เธอจะแต่งเพลงให้ได้เป็นล้านเพลงจากคอร์ดเพียงแค่ 6 คอร์ดที่ลุงสอน

จากนั้นเธอก็เข้าเรียนสาขาอภิปรัชญา ที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมในย่านบรองซ์ โดยให้เหตุผลที่ตัดสินใจเรียนด้านนี้เพราะเป็นวิชาที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างพระเจ้ากับวิทยาศาสตร์

“ฉันสนใจในพระเจ้าและวิธีการที่เทคโนโลยีจะนำพาเราเข้าใกล้การค้นพบว่า เรามาจากไหน และทำไม”

ระหว่างเรียน เดล เรย์ ซึ่งมีเพื่อนไม่มาก อุทิศตัวให้กับงานอาสาสมัครในโครงการเพื่อเยาวชนไร้บ้าน ผู้ติดยาเสพติด และผู้ติดแอลกอฮอล์ เธอยังเคยไปช่วยทาสีและสร้างบ้านให้ชาวอินเดียนแดงในรัฐยูทาห์ด้วย

“ฉันจำได้แม่นเลยตอนที่ฉันตัดสินใจว่าจะเป็นนักร้อง ตอนนั้นฉันกำลังเรียนมหาวิทยาลัย และกำลังอยู่ที่เขตสงวนของชาวอินเดียแดง วันนั้นฉันตระหนักว่า ฉันมี 2 ทางเลือก ไม่ทำเพลงก็เป็นอาสาสมัคร แล้วฉันก็เลือกทางเลือกแรก ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้เป็นนักร้อง ฉันอาจจะทำงานสังคมสงเคราะห์อยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่ไหนสักแห่งก็ได้”

​ที่มาชื่อ ‘ลานา เดล เรย์’

เมื่อกำหนดเส้นทางชัดเจน เธอจึงเดินหน้าเขียนเพลงและตระเวนแสดงตามไนต์คลับทั่วเมือง โดยใช้ชื่อในการแสดงว่า ‘สปาร์เคิล จัมป์ โรป ควีน’ (Sparkle Jump Rope Queen) ไม่ก็ ‘ลิซซี แกรนต์ แอนด์ เดอะ ฟีโนมีนา’ (Lizzy Grant and the Phenomena) รวมถึง ‘เมย์ เจลเลอร์’ (May Jailer)

ระหว่างปี 2005 – 2006 เธอบันทึกอัลบั้มอะคูสติกชื่อ ‘Sirens’ โดยใช้ชื่อ ‘เมย์ เจลเลอร์’ (อัลบั้มนี้หลุดออกมาทางอินเทอร์เน็ตในช่วงกลางปี 2012)

ปี 2006 เธอเข้าร่วมการประกวดแต่งเพลง ที่ถึงแม้จะไม่ชนะ แต่ก็ฉายแววเข้าตากรรมการคนหนึ่ง ที่ต่อมาได้ช่วยเธอทำเดโมจนสำเร็จ นำไปสู่การเซ็นสัญญากับค่ายเพลงอินดี้ ‘5 Points’ พร้อมรับเงิน 1 หมื่นดอลลาร์ เธอจึงจัดการเก็บกระเป๋าย้ายจากแมนฮัตตันไปอยู่ที่ลานจอดรถพ่วงในนิวเจอร์ซีย์ เพื่อไล่ล่าความฝัน

อัลบั้มแรกของเธอภายใต้สังกัด 5 Points เป็นอัลบั้มที่ปล่อยออกมาแค่ในรูปแบบดิจิทัล ชื่อว่า ‘Lana Del Ray A.K.A. Lizzy Grant’ ปล่อยออกมาเมื่อปี 2010 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มใช้ชื่อ ‘ลานา เดล เรย์’ ชื่อที่เธอชอบเพราะชวนให้นึกถึงเสน่ห์ของชายทะเล และฟังดูงดงามเมื่อเปล่งเสียงออกมาพร้อมขยับปลายลิ้น ทั้งยังเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างชื่อนักร้องคนโปรด ‘ลานา เทอร์เนอร์’ กับชื่อรุ่นรถยนต์ ‘เดล เรย์’ ของฟอร์ด ที่กำลังติดหูคน

แต่ผ่านไปไม่กี่เดือนก็เริ่มเห็นเค้าลางแล้วว่าอัลบั้มนี้ไปไม่รอด ส่วนหนึ่งเพราะต้นสังกัดไม่มีเงินสนับสนุน สุดท้าย เดล เรย์จึงขอซื้อลิขสิทธิ์อัลบั้ม และดึงเพลงทั้งหมดออกจาก iTunes

หลังโบกมือลา 5 Points เดล เรย์ย้ายไปอยู่ลอนดอนและมุ่งมั่นกับการแต่งเพลง เธอยังพยายามสร้างตัวตนใหม่เพื่อไม่ให้คนสับสนกับชื่อเก่า ด้วยการย้อมผมสีบลอนด์และแต่งตัวด้วยสไตล์วินเทจ เปลี่ยนมาใช้ชื่อ ‘ลานา เดล เรย์’ โดยใช้ตัว e แทนตัว a ในคำว่า เรย์ แล้วมุ่งมั่นอยู่กับการแต่งเพลง กระทั่งปี 2011 เธอได้อัปโหลดมิวสิกวิดีโอโฮมเมด ‘Video Games’ ขึ้นทางยูทูบของตัวเอง

​ผลงานเปลี่ยนชีวิต

ปรากฏว่าเอ็มวีตัวนี้กลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว มีคนดูมากถึง 20 ล้านวิว ภายในเวลารวดเร็ว ส่วนใหญ่พากันประทับใจในเสียงโทนต่ำ ฟังแล้ววูบ ๆ หวิว ๆ ใช้ภาพประกอบเป็นฟุตเทจเก่า ๆ ของฮอลลีวูด ทั้งวิธีร้องและการนำเสนอดูจะหลุดกรอบจากศิลปินคนอื่น ๆ

ทั้งหมดเป็นเหตุผลมากพอที่ทำให้ชื่อของเธอถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง

ตุลาคมปีเดียวกัน เธอเซ็นสัญญากับค่าย Interscope/Polydor ในเครือยักษ์ใหญ่ Universal Music ซึ่งทำให้มีการตั้งข้อสงสัยเรื่องความสามารถของเธอ ว่าแท้จริงแล้วเธอสร้างสรรค์ผลงานก่อนหน้านี้ด้วยตนเอง หรือมีทีมงานของค่ายคอยช่วยอยู่เบื้องหลัง คำกล่าวหารุนแรงถึงขั้นที่มีการกล่าวหาว่าเธอ ‘ไม่ใช่ของจริง’

อีกหนึ่งข้อครหาคือ เธอไม่ได้มีความสามารถเหนือกว่าศิลปินคนอื่น เพียงแต่มีพ่อที่เป็นมหาเศรษฐีให้ทุนสนับสนุน ซึ่งในเวลาต่อมาเธอปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง พ่อเธอไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น

‘ลานา เดล เรย์’ นักร้องผู้ร่ายมนต์สะกดทั้งโลก ด้วยเพลงหม่นเศร้า หมกมุ่นกับความตาย

​เปรี้ยงทุกอัลบั้ม

ปี 2012 เดล เรย์ ปรากฏตัวในรายการ ‘Saturday Night Live’ และถูกจวกยับว่าร้องเพลงด้วยความประหม่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สตูดิโออัลบั้มชุดแรกของเธอ ‘Born to Die’ ที่มีเพลงฮิตติดหูอย่าง ‘Summertime Sadness’ ก็ประสบความสำเร็จด้วยดี พุ่งไปได้ถึงอันดับ 2 บนชาร์ต Billboard 200 มียอดขายมากกว่า 7 ล้านชุดทั่วโลก

ตั้งแต่นั้นมา เดล เรย์ก็พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง เธอคลอดอัลบั้มต่อมาอย่าง ‘Paradise’ ที่ทำได้ยอดเยี่ยมจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ มีเพลงดังอย่าง ‘Ride’ และ ‘Cola’ ต่อด้วยอัลบั้ม ‘Ultraviolence’ ที่นำเสนอเพลงบัลลาดด้วยเสียงและธีมที่เข้มข้นขึ้น เปิดตัวที่อันดับ 1 ในชาร์ต Billboard 200 จากนั้นจึงเป็นคิวของอัลบั้ม ‘Honeymoon’ ที่เดล เรย์ ให้คำจำกัดความว่าเป็น ‘เครื่องบรรณาการแด่ลอสแองเจลีส’ กวาดคำชมไปได้อย่างล้นหลาม บางคนถึงกับเรียกผลงานอัลบั้มนี้ว่า ผลงานที่ดีที่สุดของเดล เรย์

สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 5 ‘Lust For Life’ เธอก็ยังรักษาคุณภาพไว้ได้เช่นเคย จนสื่อเพลงหลายสำนักบรรจุให้อยู่ในรายชื่อ 50 อัลบั้มที่ดีที่สุดแห่งปี ขณะที่อัลบั้มชื่อแรง ๆ อย่าง ‘Norman F*****g Rockwell’ ก็ส่งให้ชื่อของเธอได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ ทำให้เธอโด่งดังมากขึ้นไปอีก

หลังจากนั้นเธอก็ออกผลงานตามมาอีก 3 อัลบั้ม ได้แก่ Chemtrails Over the Country Club, Blue Banisters และ Did you know that there’s a tunnel under the Ocean Blvd

นอกจากผลงานเพลงที่เธอแต่งเอง เธอยังร่วมเขียนบท กำกับ และแสดงนำในเอ็มวีภาพยนตร์สั้น ‘Tropico’ ที่ขับเน้นความไฮบริดของเธอที่เป็นทั้งศิลปินและนักแสดงให้ชัดเจนขึ้น

​Hollywood sadcore

เนื้อเพลงที่เดล เรย์ แต่ง เจาะลึกหัวข้อที่ซับซ้อนมากมาย เช่น ความรัก ความสัมพันธ์ ประสบการณ์ของเธอกับชื่อเสียง วัฒนธรรมป็อป ศาสนา ความรักชาติ และความโหยหาอดีต ทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านการผสมผสานระหว่างเวทมนตร์ ความเย้ายวนใจ ความงาม ความกล้าหาญ การทำลายล้าง และความโศกเศร้า อย่างมีเอกลักษณ์

เดล เรย์ ขนานนามงานศิลปะทางดนตรีของเธอว่า ‘Hollywood sadcore’ ที่ไม่ได้ประกอบด้วยเพลงฮิตกระแสหลัก แต่คงเอกลักษณ์เฉพาะตัวในรูปแบบการเขียนและการร้อง ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครในเพลงป็อปสมัยใหม่หรือเพลงอัลเทอร์เนทีฟ

นี่คือเรื่องราวของ ‘ลานา เดล เรย์’ หญิงสาวที่มีปมฝังใจตั้งแต่วัยเด็ก และไหน ๆ ก็ ‘ก้าวข้าม’ ไม่ได้แล้ว เลยใช้มันเป็นวัตถุดิบในการแต่งเพลงซะเลย

 

เรื่อง : พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง :

udiscovermusic
biography
thefactsite
buzzfeednews