Usher : เด็กจากรายการประกวดร้องเพลง สู่ศิลปินบนเวที ‘Super Bowl’

Usher : เด็กจากรายการประกวดร้องเพลง สู่ศิลปินบนเวที ‘Super Bowl’

'อัชเชอร์' (Usher) ศิลปินอาร์แอนด์บีมากความสามารถ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพี่เลี้ยงให้กับ 'จัสติน บีเบอร์' (Justin Bieber) ปลุกปั้นจนประสบความสำเร็จ ครัง้นี้เขากลับมาพร้อมความยิ่งใหญ่ด้วยการได้ขึ้นแสดงบนเวที Super Bowl 2024

  • ‘อัชเชอร์’ จากเด็กประกวดในรายการ ‘Star Search’ จนสามารถสร้างชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในวงการดนตรีอย่างสูง อีกทั้งยังได้แสดงบนเวที Super Bowl 2024
  • ตอกย้ำความสำเร็จด้วยอัลบั้มซิงเกิลยอดฮิตตลอดกาล อย่าง ‘Yeah!’ ที่ทำยอดขายถล่มทลาย และพุ่งทะยานขึ้นสู่ชาร์ตบิลบอร์ดถึง 12 สัปดาห์
  • ครั้งหนึ่งของอัชเชอร์ เคยเป็นพี่เลี้ยงให้กับจัสติน บีเบอร์ ในตอนที่เริ่มเข้าสู่วงการดนตรี

หากจะกล่าวถึงนักร้องอาร์แอนด์บีและฮิปฮอปที่โด่งดังมีชื่อเสียง ทุกคนต่างต้องรู้จักกันเป็นอย่างดีกับ ‘อัชเชอร์’ (Usher) นักร้องที่สร้างปรากฏการณ์ในวงการเพลงอาร์แอนด์บีให้ตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยสไตล์การร้องด้วยเสียงนุ่มนวลชวนหลงใหล บวกกับการเต้นที่น่าตื่นตาตื่นใจ จนทำให้ผู้คนต่างยกให้เป็น ‘ไมเคิล แจ็กสัน’ คนต่อไป

จากเด็กผู้เข้าร่วมรายการ ‘Star Search’ ด้วยความสามารถการร้องเพลงที่โดดเด่นกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ทำให้ทุกคนต่างจับตามอง จนกลายมาเป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เจ้าของเพลงดังมากมายหลายเพลง อย่าง ‘Love in This Club’, ‘U Got It Bad’, ‘Burn’ และ ‘Yeah!’ เพลงสุดโด่งดังตลอดกาลที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง

ด้วยความสำเร็จและกวาดรางวัลมานับไม่ถ้วน ทำให้เป็นหนึ่งในศิลปินอาร์แอนด์บีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล รวมถึงปัจจุบันอันใกล้ อัชเชอร์ยังถูกรับเชิญให้แสดงบนเวที Super Bowl ในช่วงพักครึ่ง ที่ศิลปินผู้มีชื่อเสียงมากหน้าหลายตาเคยผ่านเวทีนี้มาแล้ว อย่าง ‘ริฮานน่า’, ‘ชากีรา’, ‘เดอะ วีคเอนด์’, ‘เอมิเน็ม’ และศิลปินอื่น ๆ อีกมากมาย 

และนี่คือเรื่องราวของอัชเชอร์ ยอดศิลปินผู้มากความสามารถ ที่พาตัวเองขึ้นมาสู่จุดที่ประสบความสำเร็จของวงการเพลงอาร์แอนด์บีและฮิปฮอป

เด็กผู้โด่งดังจากรายการประกวดร้องเพลง

ในช่วงวัยเด็กของ ‘อัชเชอร์ เรย์มอนด์ ที่ 4’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘อัชเชอร์’ ลืมตามองโลกนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 1978 ณ เมืองดัลลัส ในรัฐเทกซัส แต่เมื่ออัชเชอร์อายุได้เพียง 1 ขวบ แม่ของเขาก็ต้องหย่ากับพ่อ จึงทำให้ในวัยเด็กของอัชเชอร์ถูกเลี้ยงดูโดยแม่และพ่อเลี้ยง

เขาเป็นเด็กที่ชื่นชอบในการเต้นและร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ ความชอบนี้ไม่ใช่เพียงแค่ความชอบตามประสาเด็กทั่วไป แต่อัชเชอร์สามารถร้องและเต้นออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ด้วยความสามารถอันโดดเด่นนี้เอง จึงทำให้แม่ของเขาคอยสนับสนุนอย่างเต็มที่ จนเมื่ออายุ 9 ขวบ แม่จึงแนะนำให้อัชเชอร์เข้าร่วมคณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนในโบสถ์ท้องถิ่นของแชตตานูกา 

แม่ที่เห็นความสามารถและพรสวรรค์การร้องเพลงของอัชเชอร์ จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เพื่อให้อัชเชอร์มีโอกาสพัฒนาทักษะความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่ พร้อมกับแสวงโชคในเมืองใหญ่

เมื่ออัชเชอร์อายุ 10 ขวบ ได้เข้าร่วมวงดนตรีอาร์แอนด์บีท้องถิ่นที่มีชื่อว่า ‘NuBeginnings’ ที่ทำให้เขาพัฒนาทักษะการร้องกับเพื่อน ๆ อีก 5 คนในวง และบันทึกเพลงถึง 10 เพลง 

ทุกอย่างเหมือนกำลังจะไปได้ด้วยดี แต่แล้วครอบครัวของอัชเชอร์ก็ต้องย้ายที่อยู่อีกครั้ง เมื่ออัชเชอร์ย้ายมาอาศัยที่ใหม่นี้ เขาเริ่มร้องเพลงตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างลานจอดรถและห้างสรรพสินค้า จึงทำให้อัชเชอร์ค่อย ๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ รวมถึงผู้คนเริ่มพบเห็นเด็กตัวน้อยผู้มากความสามารถคนนี้มากขึ้น

วันหนึ่ง ขณะที่อัชเชอร์กำลังแสดงอยู่ในงานแสดงความสามารถพิเศษที่แอตแลนตา ด้วยพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงและการเต้นที่โดดเด่น ไปเข้าตา ‘เอ.เจ. อเล็กซานเดอร์’ (A.J. Alexander) บอดี้การ์ดประจำตัวนักร้องชื่อดังอย่าง ‘บ๊อบบี้ บราวน์’ (Bobby Brown) จึงเข้าไปพูดคุยและแนะนำให้อัชเชอร์ออดิชั่นในรายการ ‘Star Search’ ซึ่งเป็นรายการประกวดร้องเพลงเพื่อหาดาวเด่น

อัชเชอร์ที่เห็นถึงโอกาส จึงตัดสินใจเข้าร่วมออดิชั่นนั้นตามคำแนะนำ เอ.เจ. ได้เชิญ ‘ไบรอันท์ รีด’ (Bryant Reid) ตัวแทนจากค่ายเพลง ‘LaFace Records’ มาร่วมรับชม ขณะที่อัชเชอร์ร้องเพลงอยู่ ด้วยเสียงร้องอันน่าหลงใหล พร้อมกับท่าเต้นสไตล์ฮิปฮอปที่น่าดึงดูด การแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจที่สะกดสายตาผู้ชมได้อยู่หมัด จนทำให้ผู้คนตั้งฉายาให้กับเด็กวัย 13 ผู้นี้ว่า ‘ว่าที่ไมเคิล แจ็กสันคนต่อไป’

ความสามารถอันเหลือล้น ทำให้อัชเชอร์กลายเป็นเด็กอนาคตไกลที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง ไบรอันท์ รีด จึงรีบติดต่อ ‘เเอล.เอ. รีด’ (L.A. Reid) ผู้ร่วมก่อตั้ง ‘LaFace Records’ ให้เซ็นสัญญากับเด็กน้อยคนนี้โดยด่วน

อัชเชอร์วัยเพียงสิบกว่าปี ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง LaFace Records และเปิดตัวในปี 1993 พร้อมเพลง ‘Call Me a Mack’ ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ‘Poetic Justice’ ที่ขึ้นสูงสุดอันดับที่ 56 บนชาร์ตบิลบอร์ดเพลง R&B/Hip-Hop แม้จะไม่ประสบความสำเร็จมากนักก็ตาม แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของอัชเชอร์ที่จะช่วยต่อยอดให้มีชื่อเสียงในอนาคต

เดือนสิงหาคม ปี 1994 อัชเชอร์เปิดตัวอัลบั้มแรกของตนเอง ‘Usher’ ได้รับเสียงตอบรับที่ดีขึ้น โดยขึ้นสู่อันดับที่ 25 ของชาร์ตบิลบอร์ดอัลบั้ม R&B/Hip-Hop ยอดนิยม 

และปี 1997 อัชเชอร์ปล่อยอัลบั้มลำดับที่สองของตัวเองออกมา ในชื่อ ‘My Way’ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยสัปดาห์แรกสามารถขึ้นสู่งชาร์ต 5 อันดับแรกของบิลบอร์ด และขายได้มากกว่า 3 ล้านชุด ซึ่งอัลบั้มนี้มีเพลงฮิตอย่าง ‘You Make Me Wanna’ , ‘Nice & Slow’ และ ‘My Way’ ที่ทำให้ชื่อเสียงของอัชเชอร์ในวัยเพียง 19 ปี เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ด้วยชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้น ทำให้ได้รับโอกาสแสดงในภาพยนตร์อย่างเรื่อง ‘The Faculty (1998)’ และ ‘She’s All That (1999)’ อีกด้วย

อัชเชอร์ยังคงทำงานอยู่ในวงการเพลงอย่างต่อเนื่อง กระทั่งปี 2001 ได้ปล่อยอัลบั้มลำดับที่ 3 ที่มีชื่อว่า ‘8701’ ที่ขึ้น 5 อันดับแรกของบิลบอร์ด มาพร้อมกับเพลงดังที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี อย่างเพลง ‘U Got It Bad’ รวมถึง ‘U Remind Me’ และ ‘U Don’t Have to Call’ 

ด้วยผลงานเพลงยอดฮิตนี้เอง จึงทำให้อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนทำยอดขายได้มากกว่า 8 ล้านชุด รวมถึงอัชเชอร์ยังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขานักร้องอาร์แอนด์บีชายยอดเยี่ยมอีกด้วย

ตอกย้ำความสำเร็จ

ด้วยความสำเร็จจากอัลบั้มก่อนนี้ที่ทำให้ชื่อเสียงของอัชเชอร์เป็นที่รู้จักมากขึ้น จนในปี 2004 อัชเชอร์ปล่อยผลงานอัลบั้มลำดับที่ 4 ออกมาในชื่อ ‘Confessions’ ที่ตอกย้ำความสำเร็จของตนเอง ด้วยเพลงฮิตตลอดกาลอย่าง ‘Yeah!’ ที่โด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลก พุ่งทะยานขึ้นสู่ชาร์ตบิลบอร์ดอันดับ 1 อย่างรวดเร็ว และครองนานถึง 12 สัปดาห์ 

อัลบั้มนี้ทำยอดขายได้มากกว่า 1 ล้านชุดในสัปดาห์แรก จนกลายเป็นอัลบั้มยอดฮิตตลอดกาลของอัชเชอร์ อีกทั้งยังได้รับรางวัลอัลบั้มอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม นั่นจึงทำให้อัชเชอร์ถูกยอมรับว่าเป็น ‘หนึ่งในศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งวงการอาร์แอนด์บี’

แต่ชีวิตที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟสปอตไลต์ กลับสร้างปัญหาให้อัชเชอร์ไม่น้อย ตั้งแต่เรื่องครอบครัว คนรัก ความสัมพันธ์ ในปี 2008 เขาจึงได้ปล่อย ‘Here I Stand’ อัลบั้มลำดับที่ 5 ด้วยการนำเสนอตัวตนที่เติบโตขึ้น ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวปัญหาที่เขาต้องแบกรับไปพร้อมกับชื่อเสียงที่มากขึ้น

เช่นเพลง ‘Here I Stand’ ที่มีชื่อเดียวกันกับอัลบั้ม ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวความสัมพันธ์ชีวิตคู่ที่เต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ถึงกระนั้น ก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างภรรยาอันเป็นที่รักและทุ่มเททุกอย่างให้กับเธอ

และเพลง ‘Prayer for You’ เพื่อกล่าวถึงพ่อผู้ล่วงลับไป แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อจะไม่ดีนักก็ตาม แต่ในตอนนี้ที่อัชเชอร์มีลูกชาย ก็พร้อมจะทำหน้าที่ของพ่อให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

แม้อัลบั้มลำดับที่ 5 ของอัชเชอร์จะไม่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์เทียบเท่าอัลบั้มก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ก็ทำให้เห็นอัชเชอร์ที่โตขึ้น และยังเป็นอัลบั้มที่อัชเชอร์ได้ระบายความในใจออกมา

พี่เลี้ยงให้กับ ‘จัสติน บีเบอร์’

ครั้งหนึ่งอัชเชอร์เคยเป็นพี่เลี้ยงให้กับนักร้องดังแห่งยุคอย่าง ‘จัสติน บีเบอร์’ ซึ่งครั้งแรกที่อัชเชอร์ได้พบกับจัสติน บีเบอร์ เขามั่นใจอย่างแน่นอนว่าเด็กคนนี้จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังในอนาคต จนในที่สุดจัสตินวัย 14 ปี ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง ‘Island Def Jam Recordings’ 

นั่นจึงทำให้อัชเชอร์เป็นพี่เลี้ยงที่คอยให้คำแนะนำต่าง ๆ และยังได้บันทึกเสียงร่วมกันในเพลง ‘Somebody to Love’ ซิงเกิลที่ 2 จากอัลบั้มชุดแรกของจัสติน บีเบอร์ ‘My World 2.0’ ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของจัสตินเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาต่อมา

ด้วยชื่อเสียงที่มากขึ้นอย่างรวดเร็วของจัสตินที่มีอายุเพียงไม่มากนัก ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จนมีข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งเรื่องถูกจับในข้อหาเมาแล้วขับ รวมถึงคลิปวิดีโอที่จัสตินกำลังเล่าเรื่องตลกที่มีมุกการเหยียดเชื้อชาติ จนทำให้กระแสสังคมเริ่มถาโถม แต่ถึงกระนั้นอัชเชอร์ก็เป็นเพียงไม่กี่คนที่เลือกจะอยู่เคียงข้าง จัสติน บีเบอร์ แม้จะถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมแค่ไหนก็ตาม

“สิ่งที่เขาทำ เขาตัดสินใจด้วยตัวเองและต้องการความสนใจ ผมบอกได้เลยว่าบางอย่างผมก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำหรอกนะ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างเขา”

จนกระทั่งจัสตินเริ่มค่อย ๆ เติบโตขึ้นพร้อมกับปรับตัวเพื่อรับมือกับชื่อเสียงของตัวเองที่เพิ่มขึ้น  จึงทำให้จัสติน บีเบอร์ ค่อย ๆ เรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง รวมถึงวิธีการวางตัว อีกทั้งในปี 2020 อัชเชอร์ยังกล่าวถึงจัสติน บีเบอร์ ว่าเขาภูมิใจที่เห็นจัสตินเดินทางมาไกลตั้งแต่วันแรกที่เขาทั้งสองพบกัน และยังคงสนับสนุนจัสตินต่อไป แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จแล้วก็ตาม

“มันเป็นเรื่องที่ยากมาก คุณอาจไม่เข้าใจถึงความกดดัน มันดูเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมนะ ที่มีแสงสีสาดส่องเข้ามาหา และมีผู้คนจับจ้องมาที่คุณ แต่นั่นมันก็มาพร้อมกับความกดดัน ซึ่งความเป็นจริงมันเป็นเรื่องยากมากที่คุณจะใช้ชีวิตท่ามกลางแสงไฟนั่น และจัสตินก็สามารถเรียนรู้วิธีการรับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้”

อัชเชอร์ยังคงอยู่ในวงการดนตรีมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2024 ที่จะถึงนี้ อัชเชอร์เตรียมปล่อยผลงานอัลบั้มชุดที่ 9 ของตัวเอง ‘Coming Home’ ที่ห่างหายจากการปล่อยอัลบั้มก่อนหน้านี้อย่าง ‘Hard II Love’ ถึง 7 ปี

นับตั้งแต่ช่วงยุค 90’s ที่อัชเชอร์ปล่อยผลงานเพลงของตนเองออกมา ด้วยชื่อเสียงที่ค่อย ๆ สั่งสมจนประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการเพลง และยังเป็นที่พูดถึง ณ ปัจจุบัน ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความสำเร็จของเจ้าชายอาร์แอนด์บีที่ยังครองใจแฟนเพลงเสมอมา 

และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2024 เหล่าแฟนเพลง เตรียมตั้งหน้าตั้งตารอดู 13 นาทีสุดพิเศษบนเวที Super Bowl ของอัชเชอร์ ศิลปินผู้จะเสกมนต์สะกดผ่านน้ำเสียงทรงพลัง ที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ก็ยังคงทำให้คนฟังตกอยู่ในห้วงภวังค์ได้อยู่เสมอ 

 

เรื่อง : กรัณย์กร วุฒิชัยวงศ์ (The People Junior)

ภาพ : Getty Images

 

อ้างอิง :

Usher

Usher Biography: Life And Career Of The R And B Singer

Grammy-winning singer Usher

Usher’s ‘Here I Stand’ Turns 15 | Album Anniversary

Tragic Details About Usher's Life

The Truth About Justin Bieber's Relationship With Usher

THE STORY OF USHER