KISS : วงร็อกฉายา ‘จุมพิตอสุรกาย’ กับการขายวิญญาณมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์

KISS : วงร็อกฉายา ‘จุมพิตอสุรกาย’ กับการขายวิญญาณมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์

เปิดเรื่องราวของ ‘KISS’ วงร็อกกับใบหน้าเพนท์สีในตำนานกับเส้นทางที่เดินมาถึงวันที่ตัดสินใจขายแบรนด์ของตัวเองในราคา 300 ล้านดอลลาร์!

KEY

POINTS

  • เปิดประวัติการเกิดขึ้นของวง KISS กับที่มาและความหมายของแต่ละใบหน้า
  • แม้จะเดินทางมานาน แต่เพราะเหตุใด ‘KISS’ จะไม่มีวันตาย
  • วันที่ขายแบรนด์ KISS ด้วยราคา 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ชายสี่คนทาหน้าสีขาวตัดกับลวดลายสีดำนานาแบบ เสื้อหนังสีดำประกับไปด้วยสีเงินเสมือนชุดเกราะ กับลีลาแลบลิ้นปลิ้นตาและวีรกรรมความห่ามตามแบบฉบับร็อกแอนด์โรล กับโลโก้ของวงที่มีเพียงสี่ตัวอักษรประกอบเป็นเพียงคำสั้นแต่ได้ใจความ ซึ่งเรากำลังพูดถึงวง ‘KISS

Kiss คือวงร็อกอเมริกัน ก่อตั้งขึ้นในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1972 ด้วยภาพลักษณ์อันโดดเด่นของวง คือสมาชิกทั้ง 4 แต่งหน้าแต่งตา ทาสี ที่มาพร้อมพร็อพชุดแต่งกายสุดหวือหวา! พวกเขาได้สร้างชื่อเสียงในช่วงกลางทศวรรษ 1970 ถึงต้นทศวรรษ 1980 ด้วยการแสดงบนเวทีแบบงานสร้างอลังการดาวล้านดวง มีทั้งการพ่นไฟ การบ้วนเลือด จุดพลุ ไปจนถึงการเผากีตาร์!

พวกเขาได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำถึง 24 แผ่น จากยอดขายมากกว่า 20 ล้านแผ่นในอเมริกาเหนือ และยอดขายทั่วโลกมากกว่า 70 ล้านแผ่น ‘วิฑูรย์ วทัญญู’ ตำนานดีเจชื่อดังของไทยแห่งรายการวิทยุ Top Teen Talent ได้ตั้งฉายาให้กับวง Kiss ว่า ‘จุมพิตอสุรกาย’!

แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีข่าวออกมาว่า KISS ได้ตัดสินใจขายลิขสิทธิ์ในแบรนด์ของตัวเองเป็นราคากว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น? ในวันนี้เราจะพาไปรู้จักที่มาที่ไปของวง ๆ นี้ พร้อมหาคำตอบกับคำถามนี้กัน ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ในบทความนี้

จุดกำเนิด ‘ดาว-ปีศาจ-มนุษย์อวกาศ-แมว’

เบื้องหลังใบหน้าที่ถูกเพนท์จนเสมือนหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูนหรือภาพยนตร์สักเรื่อง ตัวตนของสมาชิกดั้งเดิมของวง Kiss ประกอบด้วย ‘พอล สแตนลีย์’ (Paul Stanley) ร้องนำ และกีตาร์, ‘จีน ซิมมอนส์’ (Gene Simmons) ร้องนำและเบส, ‘เอซ เฟรห์เลย์’ (Ace Frehley) กีตาร์โซโล่และร้องประสาน, ‘ปีเตอร์ คริสส์’ (Peter Criss) กลองและร้องประสาน 

ดังที่กล่าวไป วง Kiss ประสบความสำเร็จ และเป็นที่รู้จักมากที่สุด จากพร็อพเสื้อผ้าหน้าผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแต่งหน้าที่ดูเหมือนตัวละครจากหนังสือการ์ตูน ประกอบด้วย ปีศาจ ‘เดอะเดมอน’ (The Demon) (ซิมมอนส์), ดาว ‘สตาร์ไชด์’ (The Starchild) (สแตนลีย์), มนุษย์อวกาศ ‘สเปซแมน’ (The Spaceman) (เฟรห์เลย์) และแมว ‘แคตแมน’ (The Catman) (คริสส์)

เบื้องหลังฉายา และการแต่งหน้าของสมาชิกแต่ละคน เริ่มจาก ‘เดอะเดมอน’ อสุรกายที่ขบถต่อสังคมภายใต้ความหม่นมืด ‘สตาร์ไชด์’ คือตัวแทนของความโรแมนติกที่สิ้นหวัง ส่วน ‘สเปซแมน’ คือผู้ที่อยากจากโลกนี้ไปอยู่ที่ดาวดวงอื่น ด้วยการขับขี่ยานอวกาศออกไปท่องจักรวาล และ ‘แคตแมน’ ผู้ที่เชื่อว่าตนคือแมว 9 ชีวิตจากวัยเด็กอันโชกโชนในบรู๊กลิน

หลังเปิดตัว และประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงกลางทศวรรษ 1970 ถึงต้นทศวรรษ 1980 วงการดนตรีร็อกมีศิลปินหน้าใหม่มากฝีมือเกิดขึ้นมาเป็นคู่แข่งของ Kiss มากมาย และที่สำคัญ ส่วนหนึ่งเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ฝีไม้ลายมือของ Kiss ว่าเป็นวงร็อกธรรมดา ที่ใช้การแต่งหน้าเป็นกลยุทธ์เรียกความสนใจเพียงเท่านั้น

ด้วยเหตุนั้นเอง จึงทำให้ในปี ค.ศ. 1983 วง Kiss ได้ใช้ Cleansing เช็ดเครื่องสำอางออก และทำอัลบั้มใหม่ พร้อมถ่ายปกแบบ ‘หน้าสด’ จนกลายเป็นอัลบั้ม ‘Lick it Up’ สร้างความฮือฮาและกระตุ้นชื่อเสียงกลับคืนมาสั้น ๆ ในช่วงนั้น

จนเข้าสู่ทศวรรษ 1990 อันเป็นยุคทองของอัลเทอร์เนธีฟร็อก ทว่า กลับมีกระแสรำลึกถึงวง Kiss เกิดขึ้นจากแฟนพันธุ์แท้ ทำให้สมาชิกยุค Classic Line-up ประกาศกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง และที่สำคัญก็คือ ทุกคนกลับมาแต่งตัวแต่งหน้าแบบจัดเต็มเช่นเดิม

ฃในปี ค.ศ. 1996 Kiss ออก World Tour ภายใต้รหัส Kiss Alive / Worldwide / Lost Cities / Reunion Tour ถือเป็นทัวร์ที่ทำรายได้ดีที่สุดของวง และของปี ค.ศ. 1996 และปี ค.ศ. 1997

หลังทัวร์สิ้นสุด คริสส์และเฟรห์ลีย์ ที่เคยถูกไล่ออกจากวงไปในยุครุ่งเรือง และกลับมารวมตัวใหม่ในครั้งนี้ ก็ได้ออกจากวงไปอีกครั้ง

โดยคราวนี้ ทั้งคู่ถูกแทนที่โดย ‘อีริก ซิงเกอร์’ (Eric Singer) และ ‘ทอมมี เทเยอร์’ (Tommy Thayer) ที่พร้อมเดินทางไกลครั้งใหม่อย่างถาวร ร่วมกับ สแตนลีย์และซิมมอนส์ สมาชิกรุ่นบุกเบิก และสองผู้ก่อตั้งวงคนสำคัญ

ทุกวันนี้ วง Kiss ยังคงขึ้นแสดงคอนเสิร์ตตามที่ต่าง ๆ แบบแต่งหน้า และร่ายลีลาแบบจัดเต็มยิ่งกว่าช่วงหนุ่ม ๆ เสียอีก พร้อมกับการก้าวเข้าสู่วัฒนธรรมดิจิทัลร่วมสมัยอย่างไม่แคร์อายุ จนกลายเป็นหนึ่งในวงที่มีภาพจำอันแสนไอคอนนิคที่สุดแห่งโลกร็อกแอนด์โรล

 

เปิดตัว ‘อวตาร’ ตอกย้ำ ‘ตำนานไม่มีวันตาย’

อยู่ ๆ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2023 วงร็อกระดับตำนานของอเมริกาอย่าง Kiss ก็ได้กลายเป็นวงดนตรีวงแรกของสหรัฐฯ ที่เปิดตัว ‘อวตาร’ สมาชิกวง เพื่อก้าวเข้าสู่ความร่วมสมัยในวัฒนธรรมดิจิตอล พร้อมทั้งเป็นการตอกย้ำการคงอยู่อย่างยืนยงในสถานะตำนานที่ไม่มีวันตาย!

โดยวง Kiss ได้ประกาศปิดทัวร์ในคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายนามว่า The End of the Road World Tour ที่ Madison Square Garden นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พร้อมเดินหน้าต่อในการแสดงรอบ Encore ซึ่งสมาชิกยุคก่อตั้งวงคือ พอล สแตนลีย์ และ จีน ซิมมอนส์ รวมถึงสมาชิกใหม่คือ ทอมมี เธเยอร์ และ เอริก ซิงเกอร์ ได้ก้าวลงจากเวที พร้อมๆ กับการเปิดตัว ‘อวตารดิจิทัล’ ของแต่ละคน ที่สวนทางขึ้นเวทีมา

โดยอวตารทั้ง 4 ได้ออกมาโชว์ลีลาร็อกเกอร์แบบเสมือนจริงในเพลง God Gave Rock and Roll to you ซึ่งเป็นเพลง Cover ที่ทาง Kiss เคยออกไว้ในปี ค.ศ. 1991

เทคโนโลยีอวตารดิจิทัล ล้ำยุคนี้ ถูกนำมาใช้เพื่อเรียกน้ำย่อยเหล่าแฟนพันธุ์แท้ Kiss ที่โลดแล่นอยู่ในแวดวงดนตรีร็อกระดับโลกมากว่า 50 ปี และต่อจากนี้ สแตนลีย์ซิมมอนส์ในฐานะเจ้าของ Brand วง Kiss ได้ตัดสินใจสรรค์สร้างงานดนตรีในรูปแบบอวตารดิจิทัลเพื่อให้ชื่อของวงยังคงอยู่ต่อไปในวงการแบบไม่มีวันตาย!

ทั้งนี้อวตารดิจิทัลของวง Kiss ได้รับการสร้างสรรค์โดยบริษัท Industrial Light & Magic ของผู้กำกับชื่อดังอย่าง ‘จอร์จ ลูคัส’ (George Lucas) ซึ่งโด่งดังจากฝีไม้ลายมือด้าน  Special Effects ให้กับภาพยนตร์ระดับโลกมากมาย โดยเฉพาะกับภาพยนตร์ในตำนานอย่าง Star Wars นั่นเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการนี้อยู่ภายใต้ความร่วมมือระหว่างวง Kiss โดย พอล สแตนลีย และ จีน ซิมมอนส์ กับบริษัท Industrial Light & Magic และ  Pophouse Entertainment Group ซึ่งเป็นธุรกิจดนตรีของ ‘บยอร์น อุลเวาส์’ (Björn Ulvaeus) แห่งวง Abba

ที่ผ่านมา Industrial Light & Magic และ Pophouse Entertainment Group ได้ร่วมกับจัดคอนเสิร์ตในรูปแบบ “อวตารดิจิทัล” เช่น โชว์เต็มรูปแบบของ Abba ในกรุงลอนดอนเมื่อเร็วๆ นี้ โดยผู้ที่แสดงคือ “อวตาร” ของสมาชิก Abba ทั้ง 4 

เพอร์ ซุนดิน’ (Per Sundin) CEO แห่ง Pophouse Entertainment Group ระบุว่า เทคโนโลยีอวตารดิจิทัล จะเป็นโอกาสของวง Kiss ที่จะโลดแล่นต่อไปในวงการดนตรีร็อกระดับโลก และเดินหน้าต่อไปแบบชั่วนิจนิรันดร เพอร์ ชี้ว่า ในอนาคต วงร็อกในตำนานแบบ Kiss อีกหลายวง สามารถเปิดการแสดงคอนเสิร์ตพร้อมกัน 3 เวทีใน 3 เมืองของ 3 ทวีปได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย

 

Kiss “ขายวิญญาณ” มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ ให้ Pophouse

หลังจากที่วง Kiss โดยสแตนลีย์และซิมมอนส์ กับบริษัท Industrial Light & Magic และ Pophouse Entertainment Group ได้ร่วมมือกันจนเกิดเป็นโปรเจคต์ “Kiss อวตารดิจิทัล” อุลเวาส์เจ้าของ Pophouse ได้ถามทั้งสแตนลีย์และ ซิมมอนส์เล่น ๆ ว่า ในอนาคตข้างหน้า พวกคุณเคยคิดอยากขายแบรนด์วง Kiss บ้างไหม?

ปรากฏว่า พอล สแตนลีย์ และ จีน ซิมมอนส์ ตอบว่า 

 

ขายตอนนี้เลย!

 

จึงเป็นที่มาของดีลระดับโลกซึ่งเป็นที่ฮือฮาทั้งในวงการเพลง และแวดวงธุรกิจบันเทิง ที่ว่าฮือฮาก็คือ ดีลดังกล่าว เป็นการขายแบบเหมาเข่ง ซึ่งรวมลิขสิทธิ์ของ Kiss ทั้งหมด ทั้งตัวเพลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาสเตอร์ต้นฉบับ ชื่อแบรนด์วง Kiss โลโก้วง คาแรกเตอร์สมาชิกวง ไปจนถึงสิทธิ์ในการดัดแปลงด้วย

รวมมูลค่าทั้งสิ้น 300,000,000 ดอลลาร์ หรือเทียบเป็นเงินไทยก็จะตกราวๆ 11,000,000,000 บาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันล้านบาท) โดยผู้ที่ได้รับมอบลิขสิทธิ์จาก สแตนลีย์และซิมมอนส์” ก็คือ Pophouse Entertainment Group

จากผลงานที่ พอล สแตนลีย์ และ จีน ซิมมอนส์ ชื่นชอบแนวทางการทำงาน และฝีไม้ลายมือการบริหารงานของ Pophouse จากโครงการคอนเสิร์ต อวตารดิจิทัล ของวง Kiss ซึ่งถือเป็น ‘คอนเสิร์ตสุดท้ายในร่างมนุษย์’ ของวง Kiss ที่นครนิวยอร์ก เมื่อปลายปี ค.ศ. 2023 ดังได้กล่าวไป

ซึ่งตอนนั้น ยังไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนการทางธุรกิจ หรือการประกาศยุบวง แต่หลังจากสิ้นสุดคอนเสิร์ตครั้งนั้น ทางวง Kiss โดย สแตนลีย์และซิมมอนส์ ได้ประกาศว่า ต่อจากนี้ วง Kiss ของพวกเขา จะ ‘ไม่แสดงคอนเสิร์ตในร่างมนุษย์อีกต่อไปแล้ว’ โดยหลังจากนี้วง Kiss จะอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Pophouse ซึ่งมีแผนงานทัวร์คอนเสิร์ตผ่านการใช้ ‘อวาตารดิจิทัล’ ในปี ค.ศ. 2027
จีน ซิมมอนส์’ ซึ่งได้รับมอบหมายจาก ‘พอล สแตนลีย์’ ให้เป็นผู้ตรวจสอบความเรียบร้อยของแอนิเมชัน ได้กล่าวว่า กว่าจะถึงตอนนั้น ผลลัพธ์จะออกมาดูดียิ่งใหญ่กว่านี้อีก ไม่เชื่อคอยดู!