13 มิ.ย. 2567 | 19:00 น.
KEY
POINTS
เป็นที่ทราบกันดีว่าในโลกปัจจุบันที่หลาย ๆ สังคมและวัฒนธรรมได้เริ่มเปิดกว้างสำหรับเรื่องความหลากหลายทางเพศกันมากขึ้น จากอดีตที่ผู้คนมักมองกลุ่มเพศทางเลือกเป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่ปัจจุบันมันก็กลายเป็นเรื่องสามัญทั่วไป
แต่หากเรามองย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่สังคมยังคงปิดกั้นและไม่ยอมรับกับเพศทางเลือกมากนัก ยังมีหลายคนที่ต้องปิดบังตัวตนไว้ ไม่ให้ใครได้รับรู้ เฉกเช่นเดียวกับ ‘ร็อบ ฮาลฟอร์ด’ (Rob Halford) นักร้องนำวง ‘Judas Priest’ ที่ออกมาเปิดเผยต่อสื่อสาธารณะครั้งแรกเมื่อปี 1998 ว่าตัวเขานั้นเป็นเกย์
แม้ว่าในขณะนั้นจะมีผู้คนต่อต้านและไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่เสียงส่วนใหญ่ก็เป็นไปในแง่บวก พร้อมกับให้กำลังใจนักร้องเสียงสูงท่านนี้ ที่กล้าออกมายอมรับอย่างเปิดเผย ท่ามกลางยุคที่ผู้คนยังคงกีดกันเพศทางเลือก
ร็อบยังเปิดเผยเรื่องราวต่อ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้เขาจะเป็นร็อกสตาร์ที่มีผู้คนรู้จักทั่วทุกมุมโลก ทำยอดขายเป็นล้าน ๆ ต่อปี มีแฟนเพลงนับหมื่นคนอยู่ต่อหน้าขณะที่ขึ้นทำการแสดง แต่ในความเป็นจริง เขาต้องเก็บซ่อนโลกอีกใบเอาไว้กับตัวเอง จนมันทำให้เขารู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยว
ร็อบ ฮาลฟอร์ด เกิดมาในครอบครัวชนชั้นกรรมกร และต้องทำงานโรงงานที่เมืองวอลซอลล์ ประเทศอังกฤษ ทำให้เขาคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเครื่องจักรและตึกโรงงานมากมาย รวมถึงภาพลักษณ์ของชายฉกรรจ์ที่ต้องเข้มแข็ง
แม้จะถูกรายล้อมไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมก็ตาม แต่ร็อบกลับสนใจดนตรีตั้งแต่อายุเพียงแค่ 5 ขวบ เขามักจะตั้งใจฟังเพลงจากวิทยุอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมกับร้องไปตามเสียงที่กำลังบรรเลงอยู่ และกิจกรรมยามว่างนี้เอง ที่ทำให้เขารู้จักกับร็อกสตาร์แห่งยุคมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘The Beatles’ , ‘Elvis Presley’ และ ‘Little Richard’
ด้วยความชื่นชอบในการร้องเพลง ทำให้เขาเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนหรือชุมชนอยู่บ่อยครั้ง และนั่นก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เขาค้นพบพรสวรรค์อีกอย่างหนึ่งของตนเอง ก็คือ ‘การร้องเสียงสูง’
นอกเหนือจากที่ร็อบค้นพบว่าตนเองชื่นชอบการร้องเพลงแล้ว เขายังค้นพบความจริงอีกอย่างหนึ่ง คือ ตอนที่อายุได้ 10 ขวบ เขารู้สึกหลงใหลในเพศเดียวกัน ซึ่ง ณ ขณะนั้น สังคมยังคงมองว่าเรื่องการหลงรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่ผิดแปลก และถูกมองว่าเป็นตัวน่ารังเกียจ จึงทำให้ร็อบเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเริ่มเติบโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เขาเข้าร่วมวงดนตรีมากมายตามละแวกบ้าน กระทั่งในปี 1973 เมื่อร็อบอายุได้ 22 ปี ก็ได้รับคำชักชวนจากวงดนตรีวงหนึ่ง ที่กำลังหานักร้องนำคนใหม่ เพื่อเตรียมตัวที่จะออกผลงานอัลบั้มชุดแรก ซึ่งเป็นคำแนะนำจากน้องสาวร็อบ ที่กำลังคบหากับมือเบสของวง อย่าง ‘เอียน ฮิลล์’ (Ian Hill)
ไม่รอช้า ร็อบจึงตกปากรับคำเชิญนั้นในทันที พร้อมกับออดิชั่นให้เสร็จสรรพ และในที่สุด เขาก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในวงร็อก ที่จะมีส่วนสำคัญต่อหน้าประวัติศาสตร์ดนตรีเฮฟวี่เมทัล ซึ่งวงนั้นมีนามว่า ‘Judas Priest’
เมื่อสมาชิกวงครบองค์ประกอบ พร้อมกับเข้าห้องบันทึกเสียง จนในปี 1974 ทางวงก็ปล่อยผลงานอัลบั้มชุดแรกออกมา อย่าง ‘Rocka Rolla’ แม้ผลตอบรับจะไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไร แต่ในอัลบั้มชุดที่สองที่ปล่อยออกมาในปี 1976 อย่าง ‘Sad Wings of Destiny’ กลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ถูกยกย่องว่าเป็นตัวกำหนดทิศทางดนตรีเฮฟวี่เมทัลให้เป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น
กระทั่งทางวงเริ่มมีการหารือเกี่ยวกับทิศทางของวง ร็อบจึงปรับเปลี่ยนวิธีการแต่งเนื้อร้อง ทำนอง รวมถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ในวงก็ปรับเปลี่ยนให้ดนตรีมีความหนักแน่นมากยิ่งขึ้น จนในปี 1978 เมื่อวงปล่อยอัลบั้มผลงานชุดที่ 5 ออกมา ที่มีชื่อว่า ‘Killing Machine’ มาพร้อมเพลงบัลลาดร็อกฮิตติดหู อย่าง ‘Before the Dawn’ จนทำให้ชื่อเสียงของวงเริ่มเป็นที่รู้จัก พร้อมกับคิวโชว์ที่ตามมาแบบติด ๆ
หลังจากความสำเร็จของซิงเกิลยอดฮิต ต่อมาก็เริ่มเข้าสู่ช่วงยุค 80s ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการดนตรี จากเพลงร็อกแบบดั้งเดิม ก็ถูกปรุงแต่งให้มีความหนักแน่นยิ่งขึ้น อีกทั้งการอัดบันทึกเสียงที่มีคุณภาพมากกว่าเดิม ทำให้ในปี 1982 วงปล่อยผลงานอัลบั้มชุดที่ 8 ออกมา อย่าง ‘Screaming for Vengeance’
และนี่เองคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้วงโด่งดังแบบก้าวกระโดด มาพร้อมกับดนตรีที่หนักแน่น สดใหม่ สไตล์การแต่งเพลงที่มีการพัฒนามากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงการขับรถ ‘ฮาร์ลีย์ส’ (Harleys) ขึ้นบนเวทีพร้อมกับชุดหนังสีดำ เพื่อทำการเปิดโชว์ จนกลายเป็นหนึ่งในภาพจำของวง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทางวงก็ปล่อยอัลบั้มออกมาเรื่อย ๆ และก็ดังเปรี้ยงปร้างไปเสียทุกอัลบั้ม ทำให้ Judas Priest กลายเป็นหนึ่งในวงร็อกอังกฤษที่ทรงอิทธิพล และเป็นต้นแบบให้กับวงดนตรีอีกหลาย ๆ วง อีกทั้งร็อบ ฮาลฟอร์ด ที่มีเอกลักษณ์เสียงสูงทรงพลัง ทำให้ได้รับฉายานามว่า ‘Metal God’
แม้ว่าความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน รวมถึงยอดขายที่ถล่มทลาย มันกลับกลายเป็นดาบสองคมที่สร้างความกดดันให้เขาอย่างสูง เพราะในยุคที่ดนตรีร็อกกำลังเฟื่องฟูถึงขีดสุด มันก็ถูกตีตราว่าเป็นหนึ่งในเครื่องหมายที่แสดงออกถึงความเป็นเพศชาย
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ร็อบกดดันต่อการเก็บซ่อนตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ เขาเดินขึ้นเวทีเพื่อมอบความสุขให้เหล่าแฟนเพลง แต่เมื่อเดินลงจากเวที ก็ต้องกลับไปเศร้าเสียใจอยู่ในมุมเล็ก ๆ ของตนเอง
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มันทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าง ในยุคที่ Judas Priest กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ดนตรีร็อกกำลังรุ่งเรือง กลับกัน ร็อบต้องทนใช้ชีวิตแบบโลกสองใบตลอดมา ด้านหนึ่ง เขาเป็นฟรอนต์แมนวงร็อกระดับโลก ที่มีภาพลักษณ์เสื้อหนัง ดุดัน และโหดเหี้ยม แต่อีกด้าน เขาเป็นเพียงชายคนหนึ่ง ที่หลงรักเพศเดียวกัน และมิอาจที่จะเปิดเผยตัวตนนี้ให้ใครได้ล่วงรู้แม้แต่คนเดียว
ร็อบรู้สึกว่าตนเองแทบจะไม่มีความสุขเลยด้วยซ้ำ มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดและกดดัน ราวกับว่าต้องสวมหน้ากากไว้ตลอดเวลา และจะถอดมันออกได้ก็ต่อเมื่อถึงคราวที่อยู่ตัวคนเดียว
จนในปี 1992 ร็อบตัดสินใจยุติหน้าที่การเป็นนักร้องนำของวง Judas Priest เพื่อออกไปแสวงหาดนตรีในรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งได้ก่อตั้งวง ‘Fight’ และ ‘2wo’ ขึ้นมาเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะยุบวงไป
เมื่อกาลเวลาผันผ่านไป ร็อบเริ่มคิดทบทวนถึงความอึดอัดที่ต้องคอยเก็บซ่อนเอาไว้ มันคงถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเสียที เขารวบรวมความกลัวทุกอย่างที่มี และแปรเปลี่ยนให้เป็นความกล้าที่จะเผชิญกับโลกภายนอก
จนในปี 1998 ร็อบออกมาเปิดเผยครั้งแรกว่าตนเองเป็นเกย์ ผ่านการให้สัมภาษณ์กับ MTV News ซึ่งช่วงเวลาในขณะนั้น วงการร็อกยังคงเข้มงวดในภาพลักษณ์ของการแสดงออกถึงความเป็นชายที่เข้มแข็ง แต่ร็อบเลือกที่จะเปิดเผยเรื่องราวตัวตนทางเพศอย่างตรงไปตรงมา
ร็อบอธิบายว่าเขาเก็บเรื่องนี้มานานหลายปี การได้ออกมาเปิดเผย ทำให้เขารู้สึกเป็นอิสระและมีความสุขมากขึ้น มันไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใดเลย กับการที่ใครสักคนจะยอมรับตัวตนของตัวเอง มันไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของเขาระหว่างแฟนเพลงหรือเพื่อนร่วมงานลดน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย
“ผมคิดว่าทุกคนรู้ดีว่าผมเป็นเกย์มาโดยตลอด แต่เมื่อไม่นานมานี้ มันทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า คงถึงเวลาที่จะต้องรับมือกับสิ่งเหล่านี้สักที
“ความเกลียดชังคนรักร่วมเพศยังคงมีอยู่มากในวงการดนตรี หากใครก็ตามที่มีปัญหากับพวกเกย์หรือเลสเบี้ยน คนเรานั้นก็คงไม่ต่างอะไรจากพวกเหยียดเชื้อชาติหรือศาสนา ผมคิดว่าเราทุกคนควรจะมีความเป็นมนุษยธรรม และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง”
หลังจากที่ร็อบได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวทางเพศของตนเอง เหล่าแฟนเพลงและเพื่อนร่วมวงการก็ยกย่องถึงความกล้าหาญ เพราะการที่ใครสักคนจะออกมาเปิดเผยเรื่องราวเพศของตนเอง ในยุคที่เพศทางเลือกยังไม่ถูกยอมรับมากนัก และยิ่งเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง นับว่าต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างสูง
รวมถึงในช่วงเวลาที่ร็อบยังอยู่ในวง Judas Priest เขาก็แฝงนัยบางอย่างเอาไว้ในบทเพลงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลง ‘Call for the Priest’ หรือ ‘Raw Deal’ เพื่อต้องการจะปลดปล่อยความอัดอั้นที่อยู่ในใจมาโดยตลอด
หลังจากนั้นไม่นานนัก ร็อบ ฮาลฟอร์ด ก็กลับมาร่วมวง Judas Priest ในปี 2003 และออกอัลบั้มลำดับที่สิบสี่ อย่าง ‘Demolition’ ซึ่งการกลับมาของเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเหล่าแฟนเพลง และเพื่อนร่วมวงเป็นอย่างดี
ปัจจุบัน ร็อบ ฮาลฟอร์ด เป็นศิลปินที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดอีกคนหนึ่งแห่งวงการดนตรี ทั้งในแง่ของผลงานและความกล้าที่จะยอมรับตนเอง พร้อมกับผลักดันและสนับสนุนประเด็นความหลากหลายเรื่องเพศ ให้เปิดกว้างมากขึ้น
การออกมาเปิดเผยตัวตนของร็อบ นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการยอมรับในตนเอง รวมถึงประเด็นเรื่องเพศ ที่ถูกสังคมคอยกีดกันเสมอมา จนสุดท้ายกำแพงแห่งความแบ่งแยกก็ค่อย ๆ พังทลายลง ทำให้ผู้คนเข้าใจถึงความหลากหลายในสังคมยิ่งขึ้น พร้อมกับเป็นการประกาศให้ทุกคนอย่ากลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง :
Rob Halford Discusses Sexuality Publicly For The First Time | MTV