03 ธ.ค. 2567 | 15:06 น.
ในช่วงปลายทศวรรษ 1950s วงการดนตรีแจ๊สกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ สุ้มเสียงของ ‘ไมล์ส เดวิส’ (Miles Davis) และ ‘จอห์น โคลเทรน’ (John Coltrane) กำลังแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่ว แต่ในขณะเดียวกัน มีอีกเสียงหนึ่งที่สงบนิ่งและอ่อนโยน ทว่ามากด้วยพลังสร้างสรรค์ นั่นคือ สุ้มเสียงจากวง ‘เดฟ บรูเบ็ค ควอร์เทท’ (Dave Brubeck Quartet) ซึ่งก่อร่างขึ้นมาด้วยการผสมผสานความงามทางดนตรีแบบคลาสสิกและเสรีภาพแห่งแจ๊สสมัยใหม่
ขณะที่นักดนตรีบางส่วนมุ่งสู่ ‘ฮาร์ดบ็อพ’ (Hard Bop) เพื่อกลับหารากเหง้าเดิมของแจ๊ส ซาวด์ในแบบฉบับของ ‘เดฟ บรูเบ็ค’ และวงควอร์เททของเขา กลับเชื่อมโยงมาสู่แนวทางของ ‘คูลแจ๊ส’ (Cool Jazz) และ ‘เวสต์โคสต์’ (West Coast Jazz) อย่างแยบยล
‘พอล เดสมอนด์’ (Paul Desmond) มืออัลโตแซ็กโซโฟน เจ้าของฉายา ‘Dry Martini’ คือผู้มอบจิตวิญญาณอันโดดเด่นให้กับวง และเป็นผู้สร้างสรรค์บทเพลงที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา นั่นคือ ‘Take Five’
เพลงนี้ มีจุดเด่นที่จังหวะ 5/4 จัดเป็น ‘Odd Time Signature’ ในทางดนตรี จังหวะ 5/4 แตกต่างจากจังหวะ 4/4 ที่พบในเพลงส่วนใหญ่ ขณะที่จังหวะ 4/4 มีโครงสร้างที่สมดุลและคุ้นหู เช่น การนับ “1 – 2 – 3 – 4” ดังที่เราได้ยินบ่อย ๆ แต่จังหวะ 5/4 เพิ่มจังหวะที่ห้าเข้ามา จึงต้องนับ “1 – 2 – 3 – 4 - 5” ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกไม่สมมาตร และนักดนตรีต้องปรับสมดุลระหว่างจังหวะที่ไม่ธรรมดานี้ กับการเล่าเรื่องดนตรีผ่านทำนอง ถือว่าแปลกใหม่สำหรับดนตรีแจ๊สยุคนั้น
พอล ในฐานะผู้แต่งเพลง เห็นโอกาสที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่แตกต่างและทรงพลัง เขาได้ร่างทำนองที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ขึ้นมา ทำนองที่ดึงดูดใจนี้ สะท้อนถึงตัวตนและวิสัยทัศน์ทางดนตรีของเขาได้อย่างลึกซึ้ง ขณะที่ เดฟ บรูเบ็ค ในฐานะนายวง มอง Take Five เป็นเสมือนบทพิสูจน์ของดนตรี ที่ผสมผสานความซับซ้อนทางดนตรีแบบคลาสสิกเข้ากับความเป็นกันเองของแจ๊ส ผลงานชิ้นนี้กลายเป็นภาพสะท้อนของความเป็นไปได้ที่ไร้ขอบเขตในโลกดนตรี
ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นในปี 1958 เมื่อพวกเขาได้รับการเชิญให้ไปแสดงดนตรีในภูมิภาคยูเรเชีย ทัวร์นี้ไม่ใช่เพียงโอกาสในการเผยแพร่แจ๊สสู่ดินแดนใหม่ ๆ แต่ยังเปิดมุมมองทางดนตรีของ เดฟ ให้กว้างไกลเกินกว่าที่เขาเคยคาดคิด การได้พบเจอจังหวะพื้นเมืองที่ไม่คุ้นเคยในตุรกี โดยเฉพาะจังหวะ 9/8 ในเพลงพื้นบ้าน ทำให้ เดฟ ตระหนักว่าแจ๊สมีศักยภาพที่จะก้าวข้ามขอบเขตของจังหวะ 4/4 แบบดั้งเดิมที่เคยเป็นมาตรฐานออกไปได้
เมื่อกลับมายังสหรัฐอเมริกา เดฟ ตั้งใจที่จะทดลองแนวคิดนี้กับสมาชิกของวง นั่นคือ การทดลองสร้างสรรค์งานที่เกี่ยวโยงกับจังหวะใหม่ ๆ ที่แตกต่างไปจากจังหวะ 4/4 หรือ 3/4 (หรือการทำเพลงบนจังหวะ Odd Time Signature) โดย ‘โจ โมเรลโล’ (Joe Morello) มือกลอง เป็นคนแรกที่เสนอแนวคิดให้วงทดลองสร้างเพลงในจังหวะ 5/4
การเสนอแนวคิดนี้มาจากความท้าทายส่วนตัวของ โจ เอง ที่ชื่นชอบการทดลองกับจังหวะที่ไม่คุ้นเคย เขามองว่าจังหวะ 5/4 เป็นโอกาสที่จะดึงศักยภาพด้านเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ของเขาออกมา และ พอล เดสมอนด์ ก็รับเอาความท้าทายนั้นมาเขียนเป็นเพลงในที่สุด
จังหวะ 5/4 ในเพลง Take Five ถูกออกแบบให้เรียบง่ายพอที่จะดึงดูดผู้ฟัง แต่ซ่อนความซับซ้อนที่นักดนตรีแจ๊สผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง มันคือการบอกเล่าผ่านทำนองซ้ำ ที่สร้างความรู้สึกสบายใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามในใจของผู้ฟังว่า “มันเป็นแจ๊สจริง ๆ หรือ?” ซึ่งเป็นคำถามที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของดนตรีแจ๊สในยุคนั้น นั่นคือ การทดลอง การท้าทาย และการไม่ยอมถูกจำกัดด้วยกรอบเดิม ๆ
พอล ไม่ได้เพียงแค่สร้างทำนอง เขาสร้างเรื่องราวเล็ก ๆ ในจังหวะของ Take Five ที่ฟังดูเหมือน “กำลังเดินเล่นในบ่ายวันอาทิตย์ที่สดใส” แต่มันเป็นการเดินเล่นที่ไม่มีวันจบ เพราะทุกครั้งที่เพลงเริ่มต้นใหม่ มันพาคุณกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอย่างนุ่มนวล โดยไม่มีความรู้สึกซ้ำซาก
หากจะกล่าวว่า พอล สร้าง Take Five ในฐานะบทกวีที่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายและเสน่ห์ บทบาทของ เดฟ คือการสร้างเวทีที่สมบูรณ์แบบสำหรับบทกวีนี้ กลองของ โจ โมเรลโล ซึ่งเล่นในจังหวะที่ผันแปรและลื่นไหล กลายเป็นหัวใจของเพลงนี้ เสียงกลองที่เขย่าเบา ๆ คล้ายฝีเท้าบนพื้นไม้ ผสานกับเสียงเปียโนของ เดฟ ที่เล่นโน้ตอย่างสุขุม เสริมให้ Take Five เป็นการบรรเลงดนตรีที่มีชีวิตชีวา
การบันทึกเสียงเพลง Take Five เกิดขึ้นในฤดูร้อนปี 1959 ที่สตูดิโอ 30th Street ของ Columbia Records ในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม ‘โบสถ์แจ๊ส’ อันเนื่องมาจากเสียงก้องอันเป็นเอกลักษณ์ในห้องโถงกว้างขวางแห่งนั้น
การบันทึกครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน ซึ่งเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นจากทุกคนในวง ทว่า ความตื่นเต้นนี้ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อพบว่าจังหวะ 5/4 ที่ดูเรียบง่าย กลับสร้างความยากลำบากอย่างคาดไม่ถึง แม้กระทั่งสำหรับนักดนตรีที่มีความสามารถสูงอย่างพวกเขา
เสียงกลองของ โจ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนจังหวะของเพลง กลายเป็นศูนย์กลางของความท้าทายนี้ แม้เขาจะเชี่ยวชาญในเทคนิคกลอง แต่การรักษาความมั่นคงในจังหวะ 5/4 ขณะที่ยังคงความลื่นไหลและการตอบโต้กับเครื่องดนตรีอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก พวกเขาลองบันทึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนถึงจุดที่ทุกคนเริ่มสงสัยว่ามันจะสำเร็จหรือไม่
ในที่สุด ความพยายามครั้งนั้นก็ถูกยกเลิก และเลื่อนไปยังวันที่ 1 กรกฎาคม เมื่อพวกเขากลับมาอีกครั้งพร้อมความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้น และในวันนั้นเอง สิ่งที่เคยดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ กลับกลายเป็นความสำเร็จอันงดงาม เพลง Take Five ถูกบันทึกเสียงใน 2 เทคที่สมบูรณ์แบบ โดยมีพลังงานและความสมดุลที่ลงตัวระหว่างเครื่องดนตรีทุกชิ้น
การบันทึกเสียงครั้งนี้ ไม่เพียงแค่สำเร็จในเชิงเทคนิค แต่ยังบ่งบอกถึงความเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมของวง พวกเขาไม่ได้มองเพียงแค่ความสมบูรณ์แบบทางดนตรี แต่ยังมองถึงวิธีที่พวกเขาสามารถผลักดันขีดจำกัดของตัวเอง พอล เคยกล่าวถึงเพลงนี้ในเชิงขำขันด้วยซ้ำว่า เขาแต่งขึ้นมา “แค่เล่น ๆ” เป็นเพลงที่ไม่จริงจังและไม่ได้คาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เพลงนี้กลับกลายเป็นผลงานที่นิยามอาชีพของเขาและเพื่อนร่วมวงไปตลอดกาล (อ้างจากบทความ ‘Ambassador of Cool’ ของ Matt Schudel ใน The Washington Post)
ความสำเร็จของ Take Five ในห้องอัด กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อมันถูกปล่อยออกมาในฐานะส่วนหนึ่งของอัลบั้ม Time Out เสียงสะท้อนจากห้องโถงของ Columbia Records กลายเป็นเสียงสะท้อนในหัวใจของผู้ฟังทั่วโลก เพลงนี้ขึ้นไปสู่อันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์แจ๊ส การเล่าเรื่องด้วยจังหวะที่แปลกใหม่ กลายเป็นภาพสะท้อนของความพยายามและความฝันที่ไม่ย่อท้อของนักดนตรีที่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น
หลังจากการเปิดตัวในอัลบั้ม Time Out เพลง Take Five กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด กระแสตอบรับจากผู้ฟังกลับพุ่งสูงขึ้นเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ เสียงเป่าแซ็กโซโฟนอันล่องลอยของ พอล และจังหวะกลองที่เร้าใจของ โจ กลายเป็นเสน่ห์ที่จับใจผู้คนในทุกมุมโลก
ในอัลบั้ม Time Out ของ เดฟ บรูเบ็ค ควอร์เทท (ชื่ออัลบั้มบอกเป็นนัยถึงการเล่นกับ time หรือ จังหวะดนตรี) ยังมีเพลงอื่น ๆ ภายใต้แนวคิดเดียวกัน เช่น เพลงเปิดอัลบั้ม อย่าง ‘Blue Rondo à la Turk’ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำจังหวะดนตรีพื้นเมืองมาผสมผสานกับแจ๊สแบบดั้งเดิม เพลงนี้ ได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงจากการเดินทางของ เดฟ ในตุรกีในปี 1958 ระหว่างทัวร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เดฟ ได้ยินจังหวะ 9/8 ที่เล่นในดนตรีพื้นบ้านตุรกี และรู้สึกประทับใจในความซับซ้อนและไพเราะของมัน
อย่างไรก็ตาม จังหวะ 9/8 ที่ใช้ใน Blue Rondo à la Turk ถูกนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่าง จากการแบ่งจังหวะ 3 + 3 + 3 แบบดั้งเดิมในดนตรีคลาสสิก เดฟ กลับเลือกใช้การแบ่งแบบ 2 + 2 + 2 + 3 เพื่อสร้างความแปลกใหม่และความเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดในแต่ละช่วงจังหวะ นอกจากนี้ ความอัจฉริยะของเพลงนี้ ยังอยู่ที่การเปลี่ยนจังหวะ ระหว่าง 9/8 และ 4/4 อย่างลื่นไหล โดยเฉพาะในช่วงโซโลที่พากลับสู่โครงสร้างแจ๊สแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่เพียงแค่เพิ่มมิติให้กับเพลง แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างดนตรีจากสองวัฒนธรรมได้อย่างงดงาม
Blue Rondo à la Turk เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการนำแนวคิดทางดนตรีจากภูมิภาคอื่นมาปรับใช้ในแจ๊สแบบอเมริกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่าดนตรีสามารถทลายพรมแดนและวัฒนธรรมได้ และเพลงนี้ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้นักดนตรีรุ่นหลังที่สนใจการทดลองจังหวะแบบใหม่ ๆ อีกด้วย
ทั้งนี้ หนึ่งในบุคคลสำคัญที่เปลี่ยนมุมมองทางดนตรีของ เดฟ คือ ‘ดาเรียส มีห์โยด์’ (Darius Milhaud) นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสที่มีอิทธิพลอย่างมากในวงการดนตรีคลาสสิกสมัยใหม่ ในช่วงที่ เดฟ ศึกษาที่ Mills College ในแคลิฟอร์เนีย มีห์โยด์ เป็นอาจารย์ที่สนับสนุนให้นักเรียนทุกคนทดลองสิ่งใหม่ ๆ และไม่กลัวที่จะก้าวออกจากกรอบดนตรีแบบดั้งเดิม
มีห์โยด์ เป็นผู้แนะนำแนวคิดทางดนตรี เช่น polytonality (การใช้โทนเสียงหลายโทนพร้อมกัน - หลายคีย์) ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งในสไตล์ดนตรีของ เดฟ บรูเบ็ค นอกจากนี้ มีห์โยด์ ยังสนับสนุนให้นำดนตรีแจ๊สมาประยุกต์ใช้ในดนตรีคลาสสิก และผลักดันให้ เดฟ ใช้แจ๊สเป็นสื่อในการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น
อิทธิพลของ มีห์โยด์ ปรากฏชัดเจนในในอัลบั้ม Time Out ซึ่งผสมผสานความซับซ้อนทางดนตรีแบบคลาสสิกเข้ากับความเป็นธรรมชาติของแจ๊ส การทดลองกับจังหวะที่แปลกใหม่ เช่น 5/4 ใน Take Five และ 9/8 ใน Blue Rondo à la Turk แสดงถึงแนวทางการบูรณาการดนตรีที่เดฟเรียนรู้จากครูของเขา
ในหลายบทสัมภาษณ์ เดฟ มักยกย่อง มีห์โยด์ ในฐานะครูที่เปลี่ยนชีวิตเขา และกล่าวว่าหากไม่ได้เรียนรู้จากครู เขาคงไม่สามารถพัฒนาแนวทางดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ได้ การผสมผสานระหว่างดนตรีแจ๊สและองค์ประกอบคลาสสิก กลายเป็นรากฐานของสไตล์ดนตรีแจ๊สที่ทำให้ เดฟ บรูเบ็ค ควอร์เทท มีชื่อเสียงในระดับโลก
แม้เวลาจะผ่านมากว่า 60 ปี Take Five และอัลบั้ม Time Out ยังได้รับความสนใจจากนักฟังรุ่นหลังอย่างต่อเนื่อง ผลงานเพลงเหล่านี้ยังคงปรากฏในโฆษณา ภาพยนตร์ และรายการโทรทัศน์ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัยที่ขับเคลื่อนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นักดนตรีรุ่นใหม่ยังคงหยิบยกแนวคิดและจังหวะของเพลงนี้มาสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง ในขณะที่ผู้ฟังยังคงค้นพบแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงทำนองที่คุ้นเคยนี้
หนึ่งในเวอร์ชันที่โดดเด่นและน่าจดจำ เป็นของ ‘คาร์เมน แมคเร’ (Carmen McRae) นักร้องแจ๊สผู้มีชื่อเสียงในเรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเสียงร้องที่ลึกซึ้ง แมคเร ได้เพิ่มเนื้อร้องที่เกี่ยวกับการเดินทางของความรักเข้าไปใน Take Five โดยยังคงรักษาโครงสร้างจังหวะ 5/4 อันซับซ้อนไว้อย่างงดงาม การตีความของเธอทำให้เพลงนี้มีชีวิตชีวาในรูปแบบใหม่ และเปิดโอกาสให้แฟนเพลงที่อาจไม่เคยฟังแจ๊สในรูปแบบดั้งเดิมได้สัมผัสกับเพลงนี้ในมิติที่แตกต่าง
‘อัล จาร์โร’ (Al Jarreau) อีกหนึ่งตำนานแจ๊ส ได้นำเพลงนี้มาเรียบเรียงใหม่พร้อมเพิ่มลูกเล่นในรูปแบบของการร้องสลับเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา การตีความของ จาร์โร เติมพลังและความสดใสให้กับเพลง โดยยังคงเคารพความเป็นต้นฉบับ ความสามารถของเขาในการดัดแปลงเพลงให้เข้ากับสไตล์ vocal jazz สมัยใหม่ ทำให้เพลงนี้เข้าถึงผู้ฟังยุคใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม
‘จอร์จ เบนสัน’ (George Benson) นักกีตาร์แจ๊สที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้ตีความเพลงนี้ผ่านเสียงกีตาร์แทนที่เสียงแซ็กโซโฟนต้นฉบับ การเล่นกีตาร์ของ เบนสัน เต็มไปด้วยเทคนิคที่ละเอียดอ่อนและการเล่าเรื่องด้วยเสียงดนตรี ทำให้เพลงนี้เปล่งประกายในรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะการแสดงสดที่เขาเติมพลังและจิตวิญญาณในแบบเฉพาะตัว
นอกจากนั้น Take Five ยังถูก remix โดยศิลปินอิเล็กทรอนิกส์และวงดนตรีร่วมสมัยหลายกลุ่ม ที่นำจังหวะ 5/4 ไปผสมผสานกับดนตรีแนวใหม่ เช่น acid jazz และ electronic dance music การนำเพลงนี้ไปใช้ในบริบทที่หลากหลายตอกย้ำถึงความเป็นสากลและความยืดหยุ่นของบทเพลง ที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจในวงการดนตรีทั่วโลก
ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลามานานเพียงใด Take Five ยังคงเป็นบทเพลงที่ได้รับการรังสรรค์ใหม่อยู่เสมอ โดยศิลปินที่ต่างนำเอกลักษณ์และมุมมองของตัวเองเข้ามาเติมเต็ม ทำให้บทเพลงนี้ไม่เพียงแต่คงอยู่ในประวัติศาสตร์ดนตรีแจ๊ส แต่ยังมีชีวิตชีวาในโลกดนตรีร่วมสมัยที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง.
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ที่มา:
Hall, Fred M. It’s About Time: The Dave Brubeck Story. 1996.