29 ธ.ค. 2564 | 18:00 น.
หลายคนคงรู้จัก ‘ผักตบชวา’ วัชพืชไร้ราคา หรือสวะที่ลอยไปลอยมาอยู่เต็มแม่น้ำจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่พืชไร้ค่าเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับ แอล-อิสรัตน์ แซ่ลิ้ม ทายาทรุ่น 2 CHOM Hand Craft และ แม่ชม-รอดรัตน์ ผู้อยู่ในวงการเครื่องจักสานผักตบชวา จังหวัดชัยนาท มายาวนานกว่า 30 ปี CHOM เริ่มขึ้นจาก ‘แอล’ นักศึกษาจบใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สาขาวิชาการจัดการการโรงแรม ได้สัมผัสชีวิตการทำงานในฐานะนักศึกษาฝึกงานช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วค้นพบว่าการทำงานประจำไม่ใช่สิ่งที่เธอค้นหา “ตอนนั้นแอลฝึกงานที่โรงแรม ซึ่งต้องทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ ไม่ได้ทำแค่สาขาเดียว แต่ทำควบกัน 2 สาขา เราเลยเห็นภาพรวมทั้งหมด เห็นระบบการทำงานที่เป็นบริษัท เป็นองค์กร ทำให้แอลรู้สึกว่าวิถีชีวิตแบบนี้มันไม่เหมาะกับเรา เราต้องการมีเวลาอยู่กับตัวเอง เรามีหลายสิ่งที่อยากทำ เลยเริ่มคิดว่าเราจะทำยังไงต่อ “มันมีความโชคดีอยู่ตรงที่เราฝึกงานในสายการตลาด ทำการตลาดออนไลน์ ดูแลเพจให้กับโรงแรม ถ่ายภาพ เขียนแคปชัน นี่คือประสบการณ์ที่เราได้รับจากการฝึกงาน และเราสามารถนำมาต่อยอดได้ในชีวิตจริง” แอลเล่าย้อนถึงตอนที่ CHOM เปิดตัวครั้งแรกผ่านทางเฟซบุ๊กเมื่อปี 2017 สมัยที่เธอยังไม่เข้าใจโลกของผักตบชวามากนัก “ตอนนั้นเราไปหาแฟน แล้วเจอกระจาดลูกไก่ มันไม่เข้ากับไลฟ์สไตล์ชาวร็อกของแฟนแอลเลย พอถามก็ได้คำตอบว่าแม่ชม ซึ่งเป็นแม่ของแฟนเขาทำมา 20-30 ปีแล้ว ตั้งแต่ตอนแฟนยังเรียนมัธยมอยู่เลย” ประจวบกับตอนนั้นเธอเริ่มมองหางานทำเป็นหลักแหล่ง แน่นอนว่าต้องไม่ใช่งานประจำ เลยเกิดเป็นไอเดียขึ้นมาว่าอยากจะปั้นแบรนด์เครื่องจักสานของแม่ชมให้คนทั่วไปรู้จักมากขึ้น เพื่อให้หลุดพ้นออกจากวงจรการส่งสินค้านับร้อยนับพันชิ้นผ่านนายหน้า แต่ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้ผู้ลงแรงกายและแรงใจในการผลิตชิ้นงานแต่ละชิ้นอย่างแม่ชมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น “พอถึงช่วงเวลาหนึ่งคุณแม่เริ่มมีอายุมากขึ้น เริ่มมีปัญหาสุขภาพ เพราะทำงานหนัก ซึ่งงานจักสานมันเป็นงานฝีมือ ต้องใช้เวลา ต้องโฟกัสค่อนข้างมาก การเป็นซัพพลายเออร์คนอื่น มันจะมีเรื่องของพ่อค้าคนกลาง สมมติว่าเราทำหมอน เขาเอาไปขาย 100 บาท แต่เขาจ้างเราแค่ 30 บาท หากเขามีออร์เดอร์เข้ามาเยอะ ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้เงินเพิ่มขึ้น เรายังได้ค่าจ้างเท่าเดิม ในราคา 30 บาท แต่กลับกลายเป็นว่าเราต้องทำงานเพิ่มขึ้น “แอลเลยรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มันควรจบลงได้แล้ว อะไรแบบนี้มันควรจบลงสักที คือเราจะไปห้ามคุณแม่ให้เลิกทำมันก็ไม่ได้ เพราะด้วยความที่คุณแม่เป็นคนต่างจังหวัด เขาก็จะชอบหาอะไรทำตลอดเวลา ก็เลยมาหาทางออกกันว่า เราควรทำยังไงกันดี เลยเสนอแม่ว่า ‘เอาอย่างนี้ดีกว่า เรามาพบกันคนละครึ่งทางนะแม่ แอลเคารพการตัดสินใจของแม่ แต่มีเรื่องอะไรก็มาแชร์กับแอลได้’ นับแต่นั้นแอลก็ได้เข้ามาเป็นคนช่วยบริหารแบรนด์ค่ะ” แอลเล่าถึงความไม่ยุติธรรมที่แม่ชมเคยเจอมาตลอดระยะเวลา 10 ปี ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เราสัมผัสได้ว่าเธอรู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยต่อสถานการณ์ที่ครอบครัวของแฟนต้องเผชิญมาในอดีต หลังจากที่เธอเข้ามาช่วยบริหารจัดการ วางระบบหลังบ้าน รับออร์เดอร์ พร้อมทั้งเป็นลูกมือคอยช่วยแม่ชมสานงานอยู่บ่อยครั้ง ยอดขายก็เริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ และที่สำคัญคือแม่ชมมีเวลาไปรดน้ำต้นไม้ ให้อาหารน้องหมา เดินเล่นในสวน มีเวลาให้ยืดเส้นยืดสาย ไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งสานงานอยู่บนพื้นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ตัวตนใหม่ แต่ฝีมือระดับตำนาน แม้ว่าแม่ชมจะอยู่ในวงการเครื่องจักสานมานาน แต่งานสานที่เคยทำในอดีตกลับไม่เคยมีหลักฐานปรากฏออกมาว่านี่คือฝีมือของ ‘ชม-รอดรัตน์’ ด้วยเหตุนี้ ‘แอล’ ในฐานะช่างภาพและลูกสะใภ้ จึงเริ่มมองหาไอเดียใหม่ ๆ ในการนำเสนอผลงานให้เป็นที่รู้จักผ่านทางเพจเฟซบุ๊กมากขึ้น “ทุกคนจะรู้จักคุณแม่ในชื่อ ‘เปรม’ ซึ่งเป็นชื่อเล่นของคุณแม่ ไม่ใช่ชื่อ ‘ชม’ แอลก็เลยเลือกชื่อจริงของคุณแม่มาตั้ง เพราะไม่มีใครรู้จัก มันเป็นความตั้งใจของเรา ว่าอยากให้ทุกคนรู้จักตัวตนใหม่ เหมือนเป็นการรีเซตทุกอย่างใหม่หมด ฉะนั้นช่วงแรกลูกค้าที่มาซื้อก็จะไม่รู้หรอกว่ายายชมคือใคร ผู้หญิงคนนี้คือใคร ไม่มีใครรู้ รู้แค่ว่าเขาขายงานสานประเภทหนึ่งที่มีหน้าตาธรรมดา ๆ ทั่วไปเท่านั้น