07 ธ.ค. 2566 | 17:00 น.
“
ไวน์คือเครื่องมือหนึ่งที่บอกเราว่า
เราละเมียดกับชีวิตแค่ไหน
บอกว่าเราใช้ชีวิตคุ้มแค่ไหน…
”
สำหรับใครหลายคน ‘ไวน์’ คือเครื่องดื่มแอลกอฮอลชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากการที่เอาองุ่นมาเข้าสู่ขั้นตอนการหมักรูปแบบและวิธีต่าง ๆ จนออกมาเป็นเครื่องดื่มในขวดและจุกไม้คอร์ก และเสิร์ฟในร้านอาหารเพื่อทานคู่กับอาหารมื้อต่าง ๆ ด้วยอรรถรส
แต่สำหรับบางคน ‘ไวน์’ สักขวดไม่ต่างอะไรจากงานศิลปะสักชิ้น ที่ไม่เพียงอุดมไปด้วยความแตกต่างนานัปการจากศิลปินผู้สรรสร้าง แต่ยังเป็นงานศิลปะที่เคล้าผสานไปด้วยความงามและเสน่ห์ในแบบของตัวเอง และการที่จะเข้าถึงรสและความพิเศษที่ซ่อนอยู่เหล่านั้น ก็ล้วนต้องตั้งใจลิ้มรส เพื่อสัมผัสมันอย่างคุ้มค่า
และถ้าพูดถึงไวน์ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะเครื่องดื่มมากอรรถรสหรือศิลปะอันละเมียนที่บรรจุในขวดแก้ว จะมีไวน์จากแคว้นหนึ่ง ที่ไม่เพียงมีจำนวนน้อยจนทำให้ราคาค่อนข้างสูง หรือเป็นที่นิยมในแวดวงไวน์อย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ยังเป็นไวน์จากแคว้นที่แฝงไปด้วยเอกลักษณ์ในรถชาติเฉพาะตัว เป็นความละเมียดและซับซ้อนในรายละเอียดที่สมควรแต่การชมชื่นไม่ต่างอะไรไปจากภาพเขียนสักภาพเลยทีเดียว และไวน์ที่ว่าก็คือไวน์จากแคว้น ‘เบอร์กันดี’ (Burgundy) นั่นเอง
เพียงแต่มันไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในเฟรมภาพ แต่เป็นขวดและแก้วที่เราสามารถสัมผัสมันผ่านรูปลักษณืแต่รวมไปถึงกลิ่นและรสชาติอีกด้วย…
หากอยากจะชโลมกายตนเองด้วยภาพวาดจากงานศิลปะ พิพิธพันธ์ในประเทศยุโรปก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด หากต้องการประสบการณ์ที่มีความ ‘Authentic’ เฉกเช่นเดียวกับไวน์เบอร์กันดี ที่ถ้าอยากชิมให้ถึงขั้วก็คงต้องตระเวนหาไวน์ที่ว่าจากร้านต่าง ๆ หรือแม้แต่การเดินทางไปถึงฝรั่งเศส ไปถึงเซลลาร์ในแคว้นนั้น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ง่ายนักที่จะเข้าถึงสถานที่เหล่านั้น
แต่ด้วยการหลอมรวมพลังและความสนใจของกลุ่มคนที่พิสมัยต่อไวน์เบอร์กันดีในประเทศไทยเข้าด้วยกัน จึงได้เกิดเป็น ‘The Burgundy Wine Evening’ งานชิมไวน์ที่มาพร้อมกับอาหารมื้อเย็นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่เนรมิตขึ้นจากความร่วมมือกันของสื่อออนไลน์ The People คุณอนันต์ ลือประดิษฐ์, คุณกัญจนารัศม์ วงศ์พันธุ์, และคุณนฤพนธ์ พุทธิมา เจ้าของเซลลาร์ไวน์ที่ได้เก็บสะสมไวน์ ‘วินเทจ’ ที่ความงามทั้งหลายถูกกกักเก็บไว้ในขวดแก้วและจุกไม้คอร์กมาหลายทศวรรษ ซึ่งสำหรับบางขวดนั้นย้อนไกลไปถึงปี 1962 เลยทีเดียว ซึ่งเป็นเวลาที่มากกว่า 60 ปีเข้าไปแล้ว ก่อนจะถูกปลดปล่อยให้ได้ผู้เข้าร่วมได้ลองลิ้มรสศิลปะชั้นเลิศร่วมกันในครั้งนี้
The Burgundy Wine Evening จัดขึ้นในช่วงอาทิตย์อัสดงของวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566 เวลาบ่ายสามโมงตรงยาวไปจนถึงสี่ทุ่ม ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท ร้านอาหาร Trattoria ชั้น 22 โดยในช่วงบ่ายสามโมงไปจนถึงห้าโมงจะเป็นการชิมไวน์พร้อมของว่างเล็กน้อย ก่อนจะไล่เรียงไปถึงช่วงหัวค่ำ หกโมงถึงสี่ทุ่ม ที่จะเสิร์ฟอาหารห้าคอร์ส ประกบคู่ด้วยไวน์วินเทจให้ได้เริงรมย์คู่ไปกับมื้อเย็นสุดพิเศษ
คำถามที่สำคัญที่สุดสำหรับงานนี้ที่ใครหลายคนน่าจะสงสัยก็คงเป็นสิ่งใดไปไม่ได้นอกเสียงจากคำถามที่ว่าเหล่าไวน์ที่จะถูกปลดปล่อยมาสยายความงามและเสน่ห์ให้เราได้ชิมกันในครั้งนี้มีไวน์อะไรบ้าง?
ใน The Burgundy Wine Evening ในครั้งนี้ จะมีไวน์เป็นจำนวน 8 ฉลากให้ผู้ที่มาเข้าร่วมได้เชยชิมกัน ซึ่งในบรรดา 8 ฉลากที่ว่าก็จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ซึ่งก็คือไวน์แดง ไวน์ขาว และแชมเปญ ซึ่งแต่ละขวดล้วนคัดสรรโดยยึดจากคุณภาพและความเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งในไวน์แดงและไวน์ขาวก็ล้วนเป็นไวน์วินเทจที่ถูกเก็บมาอย่างทะนุถนอม และในส่วนของแชมเปญทั้ง 2 ฉลากก็มาจากผู้ผลิตจาก 10 อันดับที่สุดยอดที่สุดเลยทีเดียว
สำหรับไวน์แดงทั้ง 4 ฉลากจะประกอบไปด้วย Seguin-Manuel Bonne Mares Grand Cru จากปี 1992, Lucien Guyard Fixin จากปี 1978, Philippe de Marancourt Nuit Saint George 1er Cru Les Chabeufs จากปี 1976, และ Camus Latricieres-Chambertin Grand Cru จากปี 1962
ในส่วนของไวน์ขาวทั้ง 2 ฉลากจะประกอบไปด้วย Moingeon Saint-Aubin 1er Cru จากปี 1985 และ Chapuis Corton-Charlemagne Grand Cru จากปี 1969
นอกจากนั้นก็มีแชมเปญจากผู้ผลิตชั้นยอดทั้งสองผู้อยู่ใน 10 อันดับผู้ผลิตที่สุดยอดที่สุดของเบอร์กันดีเลยทีเดียว ซึ่งจะประกอบไปด้วย Savart Bulle de Rose NV และ Emmanuel Brochet Selected
จะเห็นได้ว่าไวน์ทั้ง 8 ฉลากที่เราได้ถูกคัดสรรมานั้นล้วนเป็นความเอ็กซ์คลูซีฟของไวน์แห่งแคว้นเบอร์กันดี ที่ไม่เพียงมีแค่ไวน์จากเซลลาร์เลื่องชื่อ แต่ยังเป็นไวน์ที่ถูกกักเก็บมาเป็นเวลานาน เป็นรสแห่งความคลาสสิกที่ถูกหมักบ่มมาหลายทศวรรษ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นไวน์ที่ไม่ได้หาง่าย ๆ ในท้องตลาด ด้วยเหตุนี้เอง The Burgundy Wine Evening จึงเปรียบเสมือนช่วงเวลายามเย็นที่เหล่าคนที่หลงใหลในเสน่ห์ของเบอร์กันดีมารวมตัวและดื่มด่ำของความพิเศษเหล่านี้ร่วมกัน
“
ผมเชื่อว่าไวน์ก็เป็นศิลปะอีกประเภทหนึ่ง
และไวน์นี้เองก็เต็มไปด้วยความหลากหลาย
มีทั้งถูก ทั้งแพง จากหลักร้อยไปจนถึงหลักล้านก็มี
ซึ่งไวน์ทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะของผู้ผลิต
”
คือคำกล่าวของ ‘นฤพนธ์ พุทธิมา’ หนึ่งในแกนสำคัญที่ช่วยเนรมิตงาน The Burgundy Wine Evening เขาคือคนเลือกสรรไวน์จากเซลลาร์ของตนเองมาลองนำเสนอและแบ่งปันให้ผู้เข้าร่วมได้ลองสัมผัสอรรถรสร่วมกัน แม้ว่าจะไวน์อาจดูเป็นเครื่องดื่มที่ยากจะเข้าถึง ต้องอาศัยทักษะทางด้านการดู การรับกลิ่น และรสสัมผัสที่ซับซ้อน แต่นฤพนธ์มองว่าเสน่ห์ของไวน์หาได้ต่างจากศิลปะแขนงอื่น ๆ บางคราวหลักการที่ซับซ้อนอาจไม่จำเป็นเสมอไป เพียงแค่คุณได้ลิ้มรสมันและประสบเสน่ห์และความงามในแบบที่คุณสัมผัสได้ เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการดื่มด่ำกับไวน์ในแง่ของศิลปะแล้ว
นฤพนธ์ยังได้อธิบายต่อว่าการจะสัมผัสความงามของสิ่งบางสิ่ง หากมุ่งมั่นยึดโยงกับหลักการมากจนเกินไปก็อาจทำให้เสน่ห์บางแง่เสียรสไปได้ การดื่มไวน์จากมุมของนฤพนธ์จึงกลายเป็นการเข้าถึงในแบบของตัวเอง และในแบบของนฤพนธ์ ความงามจากไวน์ที่เขาสัมผัสได้ บางคราวก็สามารถบรรยายออกมาเป็นบทกลอนเลยเสียด้วยซ้ำ
“
ไวน์ดี ๆ สักขวดก็เปรียบเสมือนกับภาพเขียนดี ๆ สักภาพ
”
The Burgundy Wine Evening อาจไม่ใช่งานที่อุดมไปด้วยหลักการที่สุด อาจไม่ใช่งานจะมอบความรู้คับแก้ว อาจไม่ใช่งานที่จะบอกว่าต้องดื่มไวน์เช่นไร แต่แก่นสำคัญที่ The Burgundy Wine Evening คาดหวังที่จะมอบให้กับใครหลายคนที่มาเป็นส่วนหนึ่งกับงานในครั้งนี้คือ ‘ประสบการณ์’ สักครึ่งในชีวิตที่ได้เข้าถึงเสน่ห์ของไวน์เบอร์กันดีที่คงไม่ได้หาชิมที่ไหนง่าย ๆ นั่นเอง