โฮเซ่ อันเดรส : เชฟระดับโลกที่ส่งอาหารช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

โฮเซ่ อันเดรส : เชฟระดับโลกที่ส่งอาหารช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

โฮเซ่ อันเดรส เชฟระดับโลกที่ใช้ความรักในอาหารช่วยโลก เขาเริ่มจากการคุมไฟในครัวบ้านและกลายเป็นผู้ก่อตั้ง World Central Kitchen ที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั่วโลก ด้วยความเชื่อว่าแม้การกระทำเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้

KEY

POINTS

  • โฮเซ่ อันเดรส เติบโตจากการช่วยพ่อทำอาหาร จนกลายเป็นเชฟระดับโลกที่ใช้รสชาติบอกเล่าเรื่องราว
  • ความรักในอาหารพาเขาก่อตั้งองค์กร World Central Kitchen เพื่อส่งอาหารช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั่วโลก
  • อันเดรสเชื่อว่าแม้การกระทำเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ และสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่

“ทุกอย่างที่เราทำ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย” 

โฮเซ่ อันเดรส เป็นเด็กที่หลงรักการทำอาหารตั้งแต่เด็ก ถึงพ่อจะมอบหน้าที่ให้เขาคุมไฟครัว แต่เรื่องราวในวันนั้น คือ ก้าวแรกที่ทำให้เขากล้าออกจากความกลัวจนกลายเป็นเชฟชาวสเปนที่ส่งอาหารไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั่วโลก

ปัจจุบันเขาเป็นเชฟระดับโลก มีร้านอาหารมากกว่า 30 แห่ง และทุก ๆ ร้านต่างเป็นเรื่องราว รวมถึงสะท้อนชีวิตของเขาลงบนจานอาหาร 

สำหรับอันเดรสเขาใช้ใจทำอาหาร และนำสิ่งที่รักช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมแล้วทำให้โลกใบนี้ดีขึ้น

เด็กชายที่คุมไฟในครัวบ้าน

โฮเซ่ อันเดรส (José Andrés) เกิดที่เมืองมีเอเรส รัฐอัสตูเรียส ของสเปน แต่ย้ายมาอยู่บาร์เซโลน่าตอนอายุ 5 ขวบ และเขายังเป็นลูกชายของพ่อแม่ที่เป็นพยาบาล แต่กลับชอบทำอาหารสุดใจ

ช่วงเวลาสุดสัปดาห์พ่อจะชอบทำอาหาร เมนูประจำ ก็คือ ปาเอยา ลักษณะคล้ายข้าวอบเนื้อสัตว์ เพราะเป็นการนำข้าวไปหุง กับเนื้อสัตว์และเครื่องเทศด้วยน้ำสต็อกในกระทะแบนใหญ่

“พ่อของผมชอบทำอาหารช่วงวันหยุดสุปสัปด่าห์ ส่วนแม่ก็ทำตอนวีนธรรมดา สำหรับพวกเรา การไปกินข้าวนอกบ้านเป็นสิ่งที่หรูหรา ผมเลยสนุกกับการทำอหารที่บ้าน แม่จะขี่จักรยานไปตลาด ซื้อขนมปัง ส่วนผมช่วยพ่อแม่ปอกพริกเพื่อเอาไปย่าง มันเป็นช่วงเวลาแสนวิเศษ และทำให้ผมตกหลุมรักการทำอาหาร” 

ด้วยความเป็นเด็กพ่อไม่ได้ให้อันเดรสทำอะไรมากนัก แต่กลับมอบหน้าที่สำคัญและเป็นหน้าที่หลักมาตลอด คือ การให้เขาจุดและควบคุมไฟ

เป็นแบบนั้นอยู่หลายปี จนไฟความโกรธปะทุขึ้น…

แทนที่พ่อจะดุ แต่พ่อกลับนั่งลงข้าง ๆ แล้วพูดกับอันเดรสว่า “จริง ๆ แล้ว พ่ออยากให้ลูกทำอาหาร แต่พ่อจำเป็นต้องให้ลูกคุมไฟ เพราะสำหรับการทำอาหาร การควบคุมไฟและการดูแลไฟต่างหากที่สำคัญที่สุด ลูกเอ๋ย ถ้าลูกสามารถควบคุมไฟได้ ลูกก็จะทำอาหารอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ”

บทเรียนจากครัวที่บ้านกลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของการใช้ชีวตและเป็นจุดเริ่มต้นของเดินทางตามหาตัวตนและความฝันของตัวเอง

พ่อครัวในกองทัพ

อันเดรสในวัย 15 ปี ตัดสินใจสมัครเรียนที่ เมื่ออายุ 15 ปี  อันเดรสได้ลงทะเบียนเรียนที่ Escola de Restauració i Hostalatge โรงเรียนสอนทำอาหารในบาร์เซโลนา เริ่มต้นศึกษาการทำอาหารอย่างจริงจัง พอเรียนจบก็ได้ทำงานอยู่ร้านอาหาร El Bulli ที่มีชื่อเสียงในเมืองโรซัสประเทศสเปน ก่อนจะตเองไปรับใช้ชาติ

ในกรมทหาร อันเดรสรับหน้าที่เป็นพ่อครัวให้กับพลเรือเอกบนเรือ ประสบการณ์นี้ทำให้เขาออกจากยุโรปครั้งแรก และทำให้เห็นถึงความสำคัญของอาหาร รวมถึงช่องทางที่จะช่วยเพื่อนร่วมโลกที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก 

"การรับราชการทหารทำให้ผมรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ประเทศของเราดีขึ้น ทำให้โลกของเราดีขึ้น และมันยังแสดงให้ฉันเห็นถึงความหมายของการทำงานเป็นทีม" 

"ตอนผมอยู่บนเรือ ผมเข้าใจว่า ลมอาจจะพัดต่อต้านเรา และกระแสน้ำอาจพาเราไปในทิศทางที่ผิด แต่ 300 คนบนเรือก็ร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีคลื่นหรือลมไหนที่จะพาเราออกจากจุดหมายของเราได้"

เมื่อปลดประจำการ อันเดรสกลับไปทำงานที่ El Bulli เรียนรู้ ฝึกมือ และเรียนรู้ความชำนาญในการทำอาหารจาก เฟอรัน อาเดรีย (Ferran Adrià) หนึ่งในเชฟที่ดีที่สุดและสร้างสรรค์ที่สุดในโลก 

ตอนนั้น เขาได้ลองทำอาหารแบบ avant-garde ที่เน้นความคิดสร้างสรรค์และการผสมผสานศาสตร์อาหารต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แต่หลังจากนั้นเขาก็ลาออก และย้ายไปสหรัฐอเมริกาในปี 1991

เชฟที่ถ่ายทอดชีวิตบนจานอาหาร

พอย้ายไปนิวยอร์ก อันเดรสเลือกทำร้านอาหาร Eldorado Petit ในแมนฮัตตัน แล้วย้ายไปอยู่ที่ Washington DC ในปี 1993 เพื่อดูแลครัวของร้านอาหารสเปน และทำให้ร้านนี้กลายเป็นร้านยอดนิยมได้ในเวลาอันรวดเร็ว 

หลังจากนั้น เขาก็เป็นหัวหน้าเชฟ ดูแลเมนู Nuevo Latino ที่ร้าน Café Atlántico ในปี 1995 ต่อด้วยยการเปิดร้าน Zaytinya ซึ่งเป็นร้านอาหารเมดิเตอร์เรเนียน และ Oyamel ร้านอาหารเม็กซิกัน ไปพร้อมกับเปิด minibar by José Andrés ร้านอาหารที่ตอนนี้ได้รับดาวมิชลิน 2 ดวง

"ผมไม่ได้เปิดร้านอาหาร แต่ผมกำลังเล่าเรื่อง ผมคิดว่าร้านอาหารของผมทุกแห่งในทางหนึ่งก็เป็นเรื่องราว" อันเดรสให้สัมภาษณ์

ปี 2006 อันเดรสรวมธุรกิจของเขาเข้าไปอยู่ใน บริษัทแม่ที่ชื่อว่า ThinkFoodGroup รวมถึงร้าน  é by José Andrés ในลาสเวกัสและตลาด Mercado Little Spain ในมหานครนิวยอร์ก โดยปัจจุบันมีร้านอาหารทั้งหมด 30 แห่งทั่วโลก 

เอาจริง ๆ รากฐานของร้านอาหารอื่น ๆ ก็คือ การสะท้อนอารมณและชีวิตจริงลงบนแต่ละจาน

"เมื่อมีคนมาที่ Jaleo (ภัตตาคารของอันเดรส) แล้วสั่งโครเกต้า พวกเขาไม่ได้แค่กินอาหารซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสเปน แต่พวกเขากำลังกินอาหารที่มีรากฐานจากยุคหลังสงครามกลางเมือง หากมองให้ลึกลงไป อาหารจานนี้สามารถสะท้อนถึงสถานการณ์ทางสังคมและการเมืองในสเปน รวมถึงสงครามและความอดอยากของครอบครัวผู้มีรายได้น้อยได้ในมิติที่ลึกกว่านั้น"

จึงไม่น่าแปลกใจที่ร้านของเขาแต่ละที่จะมีเอกลักษณ์และประสบการณ์ที่แตกต่าง มันไม่ใช่แค่ร้านอาหาร แต่เป็นเวทีสำหรับการบอกเล่าเรื่องราวผ่านรสชาติที่ตราตรึงใจ

เปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังแห่งการช่วยเหลือโลก

อันเดรสเชื่อมาเสมอว่า อาหารสามารถเป็นพลังที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ นอกเหนือจากการเป็นเชฟ ปี 2010 ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งประธาน องค์กรไม่แสวงหากำไร DC Central Kitchen เขาก็พบเป้าหมายใหม่ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเฮติ ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 200,000 คน

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการก่อตั้ง ‘World Central Kitchen (WCK)’ องค์กรระดับนานาชาติที่ให้ความช่วยเหลือโดยตรงผ่านอาหาร ผ่านวิสัยทัศน์ที่ว่า ‘เข้าแนวหน้าก่อนใคร จัดหาอาหารสดเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตด้านมนุษยธรรม ภัยพิบัติทางสภาพอากาศ และปัญหาชุมชน’

เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ผมเป็นคนใจร้อน และผมไม่ชอบยืนดูอยู่ข้างสนาม ผมอยากทำเอง อยากลงพื้นที่เฮติ เราเห็นประเทศที่ยากจนอยู่แล้วได้รับความเสียหายมหาศาล ผมไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อช่วยเหลืออย่างเดียว แต่ไปเพื่อเรียนรู้ และจากนั้นก็ค่อย ๆ เข้าใจว่า สิ่งที่จำเป็นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากความตั้งใจที่จะทำให้มันเกิดขึ้นจริง"

"เพราะถึงแม้ว่าเราจะขับรถไม่ได้ หรือเคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้ เราก็ยังต้องกิน ยังต้องดื่ม เพื่อให้มนุษยชาติเดินหน้าต่อไป อาหารควรได้รับความสำคัญมากกว่านี้ เราต้องทำให้แน่ใจว่าระบบอาหารของเรามั่นคงและถูกต้องจริง ๆ”

เหตุการณ์แรกผ่านไป WCK ก็เดินหน้าส่งอาหารช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการขนกล่องอาหารไปแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยจากพายุเฮอริเคนโดเรียนที่บาฮามาสในปี 2019 หรือการช่วยเหลือผู้ประสบกัยในสงครามยูเครน-รัสเซีย

ตั้งแต่ปี 2010 WCK ได้แจกจ่ายอาหารไปแล้วกว่า 350 ล้านมื้อทั่วโลก โดยร่วมมือกับองค์กรในพื้นที่ และระดมเครือข่ายร้านอาหาร รถขายอาหาร และครัวฉุกเฉินให้เข้ามาช่วยเหลือ 

ความตั้งใจและการส่งอาหารช่วยเหลือผู้คนทำให้อันเดรสได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2019 เขาบอกว่า เขาเชื่อมั่นว่า ทุกคนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเรื่องราวเล็ก ๆ คือ พลังแสนยิ่งใหญ่

"คุณไม่จำเป็นต้องเดินทางไปอีกทวีป คุณสามารถช่วยเหลือได้ในประเทศของคุณเอง ผมคิดว่าผมโชคดีมาก แม่ของผมเป็นพยาบาล และเธอมักจะพูดว่า ‘เราต้องช่วยทุกคน’  ทุกคนจริง ๆ" 

"เราช่วยครอบครัวที่กำลังลำบาก ช่วยเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ… ทุกอย่างที่เราทำ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย"

อ้างอิง

'I don't open restaurants, I tell stories': Chef José Andrés on his singular approach to food / BBC

José Andrés / Britannica

José Andrés / BIOGRAPHY

What I've Learned: José Andrés / Esquire

Meet José Andrés / joseandres

Chef Jose Andres discusses his mission to feed the hungry in times of disaster

José Andrés’ Life Is “the Story of One More Immigrant” / TUFTS NOW